สติปัญญาเป็นเครื่องถอดถอนจิตออกจากกองทุกข์
ผมเพิ่งไปกราบหลวงปู่สุวัจน์ แห่งวัดป่าเขาน้อย บุรีรัมย์
และได้ปรึกษากับญาติธรรมเกี่ยวกับการสร้างสุญญาคาร
การไปคราวนี้ได้พบญาติธรรมที่เพิ่งสูญเสียคุณแม่ไปเมื่อไม่นานมานี้
เห็นว่าจิตของเธอยังจมแช่อยู่กับกองทุกข์
จึงอธิบายให้เธอฟังว่า จิตของสัตว์ทั้งหลาย
ย่อมจมแช่อยู่กับกองทุกข์กองกิเลสเสมอๆ
จะโดยรู้ตัว หรือไม่ ก็ตาม
ผู้ไม่ได้ปฏิบัติ เขาไม่ค่อยทราบหรอกว่า
จิตของเขาจมแช่กองทุกข์และกิเลสอยู่
ส่วนผู้ปฏิบัติ มักจะทราบว่า จิตกำลังมีความทุกข์
หรือทราบว่าจิตจมแช่อยู่กับกิเลส
แต่ยอมจำนน เพราะไม่ทราบว่าจะแก้ไขอย่างไรดีบ้าง
หรือพยายามแก้ไข อันเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์มากยิ่งขึ้นบ้าง
การยอมจำนน ไม่ใช่ทาง
แต่การพยายามแก้ไข ก็ไม่ใช่ทางเช่นกัน
เพราะทางมีทางเดียวคือ
การรู้สภาวธรรมที่กำลังปรากฏ ด้วยจิตที่เป็นกลาง
การที่จะรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้มากน้อยเพียงใดนั้น
ขึ้นอยู่กับกำลังของสติปัญญาโดยตรง
หากสติหยาบ ก็กำหนดรู้ได้เฉพาะอารมณ์ที่หยาบ
หากสติละเอียด ก็กำหนดรู้ได้ทั้งอารมณ์ที่หยาบและละเอียด
ส่วนปัญญาที่หยาบ ก็ละได้เฉพาะอารมณ์ที่หยาบ
ปัญญาละเอียด ก็ละได้ทั้งอารมณ์ที่หยาบและละเอียด
เมื่อเวลาลงมือปฏิบัตินั้น แรกทีเดียวสติยังมีกำลังน้อย
ผู้ปฏิบัติก็รู้ได้เฉพาะกิเลสหยาบๆ เช่นโทสะหยาบๆ และราคะหยาบๆ
เมื่อสติกำหนดรู้ลงไปที่อารมณ์อันนั้นแล้ว ด้วยจิตที่ตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิ
สัมปชัญญะคือตัวปัญญา
ก็จะถอดถอนจิตออกจากอารมณ์หรือกิเลสที่หยาบนั้นเอง
หากกำลังของปัญญายังไม่เพียงพอ
ผู้ปฏิบัติก็จะรู้สึกว่า จิตจมแช่อยู่กับอารมณ์หรือกิเลสนั้น
แต่หากกำลังปัญญาเพียงพอ
จิตก็จะถอดถอนตนเองออกจากกองทุกข์กองกิเลสนั้นได้เอง
โดยผู้ปฏิบัติไม่ต้องใช้ความพยายาม ในการแยกจิตออกจากทุกข์หรือกิเลส
เมื่อสติละเอียดยิ่งขึ้น ก็จะสามารถกำหนดรู้สภาวธรรมที่ละเอียดได้
เช่นสามารถรู้ถึงความขัดใจ ก่อนที่จะพัฒนาไปเป็นโทสะ
สามารถรู้ถึงความพึงพอใจ ก่อนที่จะพัฒนาไปเป็นกามราคะหยาบๆ
สามารถรู้ถึงมานะ รูปราคะ และอรูปราคะอันเป็นราคะละเอียด
สามารถรู้ถึงโมหะ ทั้งที่เป็นความหมองมัวซึมเซา และที่เป็นความฟุ้งซ่านของจิต ฯลฯ
เมื่อสติรู้เท่าทันสภาวธรรมที่กำลังปรากฏแล้ว
หากปัญญามีกำลังไม่เพียงพอ ผู้ปฏิบัติจะรู้สึกถึงความจมแช่ของจิต
อยู่ในกองทุกข์ กองกิเลสนั้น
แต่หากกำลังเพียงพอ จิตก็จะถอดถอนตนเอง
ออกจากกองทุกข์และกองกิเลสละเอียดนั้น
เช่นเดียวกับที่ปัญญาอย่างหยาบ
ช่วยถอดถอนจิตออกจากกองทุกข์และกองกิเลสหยาบๆ นั่นเอง
ผมเล่าให้เธอฟังต่อไปว่า
ถ้าผู้ปฏิบัติมีสติรู้เท่าทันสิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งหยาบ/ละเอียดขั้นไหน
ปัญญา ซึ่งจะเกิดตามหลังมา
ก็จะประหัตประหารกองทุกข์ กองกิเลสได้ หยาบ/ละเอียดในขั้นนั้น
ปัญญาจะไปประหารกองทุกข์ กองกิเลส
ที่ละเอียดกว่ากำลังของสติจะกำหนดรู้ ไม่ได้
เพราะปัญญา จะเกิดขึ้นได้จากการมีสติ
ไปรู้สภาวธรรม หรือปรมัตถธรรม ที่กำลังปรากฏ
ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง เท่านั้น
เมื่อสติรู้ชัดเพียงใด ปัญญาก็ละได้เพียงนั้น
ผมเล่าให้เธอฟังต่อไปว่า แม้แต่จิตของผมเองในขณะนี้
ก็จมแช่อยู่กับกองทุกข์ กองกิเลสที่มองไม่เห็น
เมื่อมองไม่เห็น จึงไม่เกิดปัญญาที่จะถอดถอนจิตออกจากโลกได้
แต่ที่ทราบว่าจิตยังติดข้องอยู่ ก็เพราะได้รู้เห็นสภาวจิตของพ่อแม่ครูอาจารย์
ที่ท่านไม่ติดข้องกับอะไรๆ ในโลกแล้ว
จำเป็นที่ผมจะต้องให้เวลากับตนเองเพื่อพัฒนากำลังของสติ สมาธิ ปัญญา
ให้ละเอียดเท่าทันกับกองทุกข์และกองกิเลส
ที่ละเอียดจนเหมือนเนื้อเดียวกับความว่าง
หากทำไม่สำเร็จ ก็จะติดอยู่เพียงเท่านี้เอง
เพราะไม่รู้เห็นสภาวะหรือปรมัตถธรรมที่จิตไปติดข้องอยู่
สรุปแล้ว สติละเอียดเพียงใด ปัญญาก็เกิดได้ละเอียดเพียงนั้น
ส่วนสติจะละเอียดเพียงใด ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนในด้านสมาธิ หรือปัญญาด้วย
คือถ้าจิตมีสัมมาสมาธิ สติก็บริสุทธิ์ มีกำลังมาก
หรือหากมีปัญญาอันเกิดจากการเจริญสติมาก
ก็ส่งเสริมให้สติสามารถรู้เท่าทันอารมณ์ที่ละเอียดยิ่งขึ้นไปได้อีก
การปฏิบัติ จึงมีทั้งแบบที่ใช้สมาธินำ และใช้ปัญญานำ
แต่ไม่ว่าจะใช้สิ่งใดนำ ในที่สุดก็ต้องมีพร้อมทั้งสติ สมาธิ และปัญญา
จิตจึงสามารถถอดถอนตนเอง ออกจากกองทุกข์และกองกิเลสได้
โดยคุณ สันตินันท์ (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)
เมื่อ วัน อาทิตย์ ที่ 12 พฤศจิกายน 2543
เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓
ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่
สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่
ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่
คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่