Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

วิธีฝึกให้จิตตั้งมั่น

mp3 (for download):วิธีฝึกให้จิตตั้งมั่น

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : วิธีที่เราจะฝึก(ให้จิตตั้งมั่น) เราก็ใช้สตินี่แหล่ะ สติเป็นตัวที่คอยรู้ทัน อย่างตอนที่เราฝึกให้มีศีล เราใช้สติรู้ทันจิตที่มีกิเลสนะ กิเลสเกิดกับจิตรู้ทัน กิเลสครอบงำจิตไม่ได้ ศีลก็เกิด ตรงนี้เราก็เหมือนกัน เราก็อาศัยสติรู้ทันจิตนะ จิตไหลไปคิด รู้ทัน จิตไหลไปคิดรู้ทัน หรือจิตไหนไปอยู่ที่เท้า รู้ทัน จิตไหลไปอยู่ที่ท้องรู้ทัน จิตของเรานะ เคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลานะ เดี๋ยวเคลื่อนไปทางตา เคลื่อนไปทางหูนะ เคลื่อนไปทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เคลื่อนไปทางใจ ส่วนใหญ่เคลื่อนไปคิด ถ้าเป็นนักปฏิบัติจะเคลื่อนไปเพ่งนะ เคลื่อนนะเคลื่อนไป ๒ แบบ ถ้าไม่เคลื่อนไปคิด ก็เคลื่อนไปเพ่งนิ่ง ๆอยู่ที่เดียวนะ

เบื้องต้นให้เราคอยรู้ทันจิตที่เคลื่อนไปเคลื่อนมา ทำกรรมฐานอย่างหนึ่งขึ้นมา ต้องทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่งขึ้นมา จะดูท้องพองยุบก็ได้ จะพุทโธก็ได้ จะหายใจก็ได้นะ แล้วคอยรู้ทันจิตไว้ เช่น เราพุทโธ พุทโธ ไป จิตเราไหลไปคิด ลืมพุทโธแล้วหนีไปคิดเรื่องอื่นแล้ว เรารู้ทันว่าจิตหนีไปคิดแล้ว เรารู้ลมหายใจนะ หายใจเข้า หายใจออก จิตหนีไปคิด เรารู้ทันว่า โอ้ ลืมลมหายใจแล้วหนีไปคิดแล้วนะ

ตรงที่เรารู้ทันว่าจิตไหล หนีไปคิด จิตจะตั้งมั่นขึ้นชั่วขณะ ชั่วขณะเท่านั้นเอง เรียกว่า “ขณิกสมาธิ”นะ สมาธิจะเกิดขึ้นเป็นขณะ ๆ แต่ตัวนี้สำคัญมาก อย่าดูถูกว่าหนึ่งขณะจิตไม่สำคัญนะ เวลาที่เกิดอริยมรรคเนี่ย เกิดหนึ่งขณะจิตเท่านั้นนะ ไม่มีสองขณะจิตเลย ในขณะที่อริยมรรคเกิดขึ้น เกิดชั่วแว๊บเดียวเท่านั้นเอง งั้นหนึ่งขณะเนี่ยเราอย่าดูถูก เราต้องมาฝึกจิตให้ตั้งมั่นเป็นขณะ ๆ ขึ้นมาไม่ใช่ตั้งแล้วสงบ ซึม ๆ อยู่เฉย ๆนะ ตั้งซึมมา ๓ วัน ๓ คืน ก็ซึมอยู่อย่างนั้นแหละ อย่างนั้นจะไม่ใช่สมาธิที่เอาไว้เดินปัญญานะ สมาธิที่เราจะใช้เดินปัญญาเนี่ย สมาธิธรรมดานี่เองนะ ใจเราไหลไป เรารู้ทัน ใจเราไหลไป เรารู้ทัน เบื้องต้นทำกรรมฐานอย่างหนึ่งก่อน ช่วยให้เรารู้ทันจิตที่ไหลไปได้ง่ายขึ้น

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมที่ อยุธยาพาร์ค เมื่อ วันพฤหัสบดีที่ ๒๕ เดือนเมษายน พ.ศ.๒๕๕๖

File: 560425.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๘ วินาทีที่ ๑๕ ถึง นาทีที่ ๒๐ วินาทีที่ ๒๓

ตัด/ถอดคลิปส์โดยคุณ ok2077
ตรวจทานโดยคุณ พัลวัน

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

วิธีการฝึก และประโยชน์ ของสมาธิทั้งสองชนิด

mp3 for download : วิธีการฝึก และประโยชน์ ของสมาธิทั้งสองชนิด

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ :เนี่ยพวกเรา จุดสำคัญนะ ก่อนที่พวกเราจะก้าวไปสู่การเจริญปัญญาซึ่งว่ากันเป็นของดีของวิเศษ ในทางพระพุทธศาสนา เราต้องมาปรับจิตใจของเราก่อน ให้พร้อม ต้องมาเตรียมความพร้อมของจิตเสียก่อน จิตที่จะไปเจริญปัญญาได้ต้องมีสมาธิที่ถูกต้อง

สมาชิกทั้งสองชนิดมีประโยชน์ทั้งคู่ สมาธิเพื่อความสงบก็มีประโยชน์ แต่ประโยชน์ของสมาธิเพื่อความสงบนั้นน่ะ ทำให้จิตใจสดชื่น มีเรี่ยวมีแรงนะ ส่วนสมาธิที่ใช้เจริญปัญญานั้นทำให้จิตใจฉลาด คนละแบบกัน มีประโยชน์ทั้งคู่ ถ้าเราทำสมาธิได้ทั้งสองชนิด ดีที่สุด ถ้าทำชนิดแรกไม่ได้นะ ทำไปเพื่อความสงบไม่ได้ ทำอย่างที่สองได้ ก็ยังเอาตัวรอดได้

ในสมัยพุทธกาลนะ ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านก็อธิบายให้พวกพระฟัง บอกว่าในบรรดาพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ มี ๖๐ องค์ได้วิชา ๓ วิชา ๓ ก็คือ ระลึกชาติได้ รู้ว่าใครตายแล้วไปเกิดที่ไหน แล้วก็ล้างกิเลสได้ ๓ อย่าง พระอรหันต์ที่ได้วิชา ๓ เนี่ย มี ๖๐ องค์ จาก ๕๐๐ (คิดเป็นร้อยละ ๑๒ – ผู้ถอด) คนที่ได้วิชา ๓ เนี่ย ต้องทรงฌานนะ ต้องทรงฌาน ในบรรดา ๕๐๐ องค์

นอกจากวิชา ๓ แล้วนะ ยังมีพวก อภิญญา ๖ นะ เช่นได้หูทิพย์ ตาทิพย์ รู้วาระจิตคนอื่นอะไรอย่างนี้ มีทิพยโสต ทิพยจักษุ เจโตปริยญาณ จำไม่ได้แล้ว มีหลายอัน พระอรหันต์ที่ได้อภิญญา ๖ มี ๖๐ องค์ (คิดเป็นร้อยละ ๑๒ – ผู้ถอด) คนที่ได้อภิญญา ๖ น่ะ ต้องทรงฌานนะ เพราะฉะนั้นรวม ๒ กลุ่มนี้ ได้ ๑๒๐ จาก ๕๐๐ (รวมเป็นร้อยละ ๒๔ – ผู้ถอด)

ก็ยังมีพระอรหันต์อีกจำพวกหนึ่ง ท่านเรียกว่า อุภโตภาควิมุติ อุภโตภาควิมุตินั้นไม่เหมือนพระอรหันต์ทั่วๆไป คือตอนที่บรรลุมรรคผลเนี่ย ท่านเข้าอรูปฌาน พระอรหันต์ทั่วๆไปเนี่ย บรรลุมรรคผล เข้ารูปฌาน พวกที่เข้าถึงอรูปฌานก็ดับรูป ดับรูปธรรมด้วยอรูปฌาน ดับนามธรรมทั้งหลายด้วยวิปัสสนาญาณ เลยเรียกว่า “ดับโดยส่วนทั้งสอง” คือ ดับทั้งรูปทั้งนาม ดับทั้งรูปทั้งนามไม่ใช่ไม่มีอะไรเหลือ ว่างเปล่า นะ ไม่มีอะไรเลยเรียกว่าพรหมลูกฟัก ไม่ใช่ ยังมีจิตอยู่ แต่ไม่มีความปรุงแต่งหยาบๆอย่างที่พวกเราเห็น คือท่านปล่อยวางความยึดถือทั้งในรูปธรรมและในนามธรรมได้ แต่ปล่อยรูปธรรมไปเพราะเข้าอรูปฌาน พระอรหันต์จำพวกนี้มี ๖๐ องค์เหมือนกัน

รวมทั้ง ๓ ชนิดนะ ๖๐ + ๖๐ + ๖๐ ได้เท่าไหร่ ๑๘๐ จาก ๕๐๐ (คิดเป็นร้อยละ ๓๖ – ผู้ถอด) พระอรหันต์ที่เหลือ ๓๒๐ (คิดเป็นร้อยละ ๖๔ – ผู้ถอด) คือคนซึ่งธรรมดาๆอย่างพวกเรานี่แหละ ไม่ใช่ว่าทรงฌานอย่างชำนิชำนาญมาก่อน อาจจะเดินปัญญาไป จิตไม่ได้ทรงฌาน เดินปัญญารวดไปเลย แห้งแล้ง พระอรหันต์ที่ปฏิบัติไปนะ บรรลุมรรคผลนิพพานไปด้วยใจที่แห้งแล้ง หมายถึงไม่มีความชุ่มฉ่ำหรอก เห็นแต่ทุกข์ล้วนๆเลย ภาวนาไปเนี่ย ใจไม่ได้พัก เพราะฉะนั้นจะทุกข์ยากเยอะเลย ทุกข์มากนะ ภาวนาแล้วจะรู้สึกแห้งแล้ง เรียกว่าพระอรหันต์สุกขวิปัสสกะ ไม่ได้ทรงฌาน แต่ตอนที่เป็นพระอรหันตแล้วนะ ตอนที่เป็นพระโสดาบันแล้วน่ะ จะได้ฌานอัตโนมัติ อย่างน้อยจะได้ปฐมฌานขึ้นมา แต่ตอนที่เดินไปสู่ความเป็นพระอริยบุคคลเนี่ย ไม่ได้ทำฌาน

เพราะฉะนั้นไม่ใช่ พวกเราจะไปสรุปตามใจชอบนะว่า ต้องนั่งสมาธิเข้าฌานได้ก่อน ถึงจะเจริญปัญญาได้ บางคนสรุปแบบนี้นะ ใช้ไม่ได้เลยนะ มันขัดกับพระไตรปิฎกเลย คนส่วนน้อยหรอก ที่ทรงฌาน คนส่วนมากก็คือคนอย่างพวกเรานี้แหละ แล้วทำไมถึงไปบรรลุมรรคผลได้ ก็เพราะมีสมาธิอีกชนิดหนึ่ง ท่านที่บรรลุมรรคผลโดยทรงฌาน ท่านก็มีสมาธิอย่างที่สองด้วย ถ้ามีสมาธิแต่อย่างแรกน่ะ จะบรรลุมรรคผลไม่ได้หรอก

สมาธิสองชนิดต่างกันอย่างไร สมาธิอย่างแรกที่เป็นไปเพื่อความสุขความสงบนั้นน่ะ มันมีลักษณะที่ว่า มีจิตเป็นหนึ่ง มีอารมณ์เป็นหนึ่ง จิตก็เป็นหนึ่งอารมณ์เป็นหนึ่ง จิตไปรวมสงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว เพราะฉะนั้นไม่เดินปัญญา ยกตัวอย่าง พุทโธ พุทโธ พุทโธ นะ จิตอยู่กับพุทโธไม่หนีไปไหนเลย สงบอยู่กับพุทโธ นี่คือสมาธิชนิดที่หนึ่ง ไปรู้ลมหายใจ จิตไม่หนีไปไหนเลย จิตจับอยู่ที่ลมหายใจอย่างเดียวเลย นี่คือสมาธิอย่างที่หนึ่ง ไปดูท้องพองยุบ เห็นท้องพองท้องยุบ จิตจับเข้าไปที่ท้อง ไม่ไปไหนเลย สงบอยู่กับท้องเท่านั้นเอง นี่เป็นสมาธิอย่างที่หนึ่ง ไปเดินจงกรมยกเท้าย่างเท้า จิตไปเพ่งอยู่ที่เท้า หรือเพ่งอยู่ที่ร่างกายทั้งร่างกาย นิ่งอยู่ในอารมณ์อันเดียว นี้คือสมาธิอย่างที่หนึ่ง

ปกติจิตของคนเรานะ จะส่ายตลอดเวลานะ จะวิ่งหาอารมณ์ตลอดเวลา เดี๋ยวก็วิ่งไปทางตา ไปหาอารมณ์ทางตา เรียกว่า รูปารมณ์ คือ อารมณ์คือรูป บางทีก็วิ่งไปหาอารมณ์ทางหู คือเสียงนะ บางทีก็ไปหากลิ่น หารส หาสิ่งที่มาสัมผัสร่างกาย บางทีก็วิ่งไปนึกคิดปรุงแต่งทางใจ ถ้าทางใจเรียกว่า ธรรมารมณ์ จิตของเราจะจับจดในอารมณ์ต่างๆนะ วิ่งไปจับอารมณ์นั้นทีหนึ่ง วิ่งไปจับอารมณ์นี้ทีหนึ่ง มันวิ่งไปเพราะอะไร เพราะมันเที่ยวแสวงหาความสุข มันไปดูรูป มันหวังว่าจะมีความสุข มันไปฟังเสียง มันหวังว่าจะมีความสุข ไปดมกลิ่น ไปลิ้มรส ไปรู้สัมผัสทางกาย ไปคิดนึกทางใจ หวังว่าจะมีความสุข แล้วมันไม่อิ่ม มันไม่เต็ม มันก็วิ่งพล่านไปหาอารมณ์อื่นต่อไปอีกนะ คล้ายๆหมาตัวหนึ่งนะ หมาจรจัด ไม่มีใครเลี้ยง ก็วิ่งไปทางนี้ ได้กินอาหารนิดหน่อยนะ คุ้ยขยะได้อาหารมานิดหน่อยนะ ไม่อิ่มน่ะ ก็ต้องวิ่งไปที่อื่นอีก ไปคุ้ยที่อื่นนะ บางทีกินได้หน่อยหนึ่งไม่อิ่มนะ ก็วิ่งต่อไปอีก

จิตของเราที่มันไม่ได้ทรงสมาธินะ ไม่ได้ทรงสมาธิชนิดที่ใช้พักผ่อนน่ะ เป็นจิตที่หิวอารมณ์ จิตของเราเหมือนหมาจรจัด ไม่เต็ม ไม่อิ่ม จะหิวโหยอารมณ์อยู่ตลอดเวลา แล้วมันจะวิ่งพล่านไปทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตลอดเวลาเลย

มันก็มีวิธีการที่จะทำให้จิตสงบอยู่ในอารมณ์อันเดียวนะ ให้เราเลือกอารมณ์กรรมฐานสักอย่างหนึ่ง แทนที่จะปล่อยให้จิตสะเปะสะปะ เที่ยวหาอารมณ์ร่อนเร่ไปตามยถากรรม เราก็มาดูว่าจริตนิสัยของเรา ควรจะทำกรรมฐานอะไรเพื่อให้จิตมีความสุข เคล็ดลับของการทำสมถกรรมฐาน สมาธิชนิดที่ ๑ สมาธิที่ใจสงบเนี่ย อยู่ที่การเลือกอารมณ์ ว่าเรารู้จักเลือกอารมณ์ที่เหมาะกับจริตนิสัยของเรามั้ย ยกตัวอย่างคนไหนช่างคิดมากก็อาจจะหายใจ รู้ลมหายใจไป คนไหนขี้โมโหมากก็อาจจะเจริญเมตตาไป คนไหนความยึดความคิดความเห็นรุนแรงอะไรมากนะ ทะเลาะกับเขาไปทั่ว อาจจะคิดถึงความตายขึ้นมาก็ได้ คนไหนบ้ากามมากก็มาคิดถึงร่างกาย ที่เป็นปฏิกูล เป็นอสุภะ ไม่สวยไม่งาม อย่างนี้ใจมันได้อารมณ์ที่พอเหมาะ มันจะสงบ

สรุปง่ายๆว่า ถ้าเรารู้จักเลือกอารมณ์ ที่จิตไปรู้แล้วมีความสุข จิตก็มีจะมีความสุขอยู่ในอารมณ์อันนั้นแล้วไม่วิ่งพล่านไปหาอารมณ์อันอื่น คล้ายๆหมาตัวนี้่วิ่งๆมานะ มาเจอคนใจบุญ คนใจบุญให้อาหารกินเต็มอิ่มเลย หมานี้ไม่ต้องวิ่งพล่านไปที่อื่นแล้ว หมาก็อยู่กับที่นะ เดี๋ยวนอนไป ตื่นขึ้นมา หิวอีกแล้ว คนก็ให้กินอีก ไม่หนีไปไหนเลย สุดท้ายเป็นหมาขี้เกียจ นอนอยู่อย่างนั้แหละ พวกที่ติดสมาธินั้นแหละ เปรียบเทียบรุนแรงไปมั้ย พวกที่หิวอารมณ์นะ ก็เหมือนหมาจรจัดนะ พวกที่ติดสมาธิก็เหมือนหมาที่มีเจ้าของ ได้กินอิ่มก็ไม่ไปไหน มีแต่ความสุขอยู่แค่นั้นเอง

เพราะฉะนั้นอยู่ที่การเลือกอารมณ์นะ ทำได้ ควรจะทำ ถ้าทำแล้วจิตใจะมีเรี่ยวมีแรง มีประโยชน์นะ ไม่ใช่ไม่มี สมถกรรมฐานมีประโยชน์ ถ้าเราได้พักอยู่ในอารมณ์อันเดียวเป็นครั้งเป็นคราว และเราไม่ได้ติดอยู่ในอารมณ์อันนั้น จิตจะมีกำลัง แต่ถ้าไปติดสมถะเนี่ย จะไม่เดินปัญญา

ตรงที่บางคนมาหาหลวงพ่อนะ สมัยก่อน ซึ่งพวกเรายังไม่ได้จิตที่รู้ที่ตื่นกันนั้น คนที่มาหาหลวงพ่อยุคแรกๆนะ เป็นพวกติดเพ่งมาแทบทั้งนั้น เพราะสมัยโบราณนะ คิดถึงการปฏิบัติเมื่อไหร่ก็นั่งเพ่งเอาเมื่อนั้น เหมือนที่เจ้าชายสิทธัตถะท่านทำนั้นแหละ ออกจากวังมา สิ่งแรกที่ท่านทำก็คือ ไปนั่งสมาธิกับฤๅษี พวกเราเมื่อสักสิบปีก่อน มักจะติดเพ่งกันเป็นส่วนใหญ่ พอไปหาหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ต้องแก้การที่ติดเพ่งนี่ก่อน บางคนนั้นหลวงพ่อบอกว่าให้หยุดการทำสมาธิไว้ก่อน พอได้ยินอย่างนี้ก็เลยคิดว่าหลวงพ่อไม่ให้ทำสมาธิ ที่จริงก็คือ ทำสมาธิมาผิดนั่นเอง ต้องแก้ก่อน เสร็จแล้วก็ต้องมาฝึกให้ใจมันตื่นขึ้นมา ตรงที่ใจมันตื่นนั้นแหละ เราได้สมาธิอย่างที่สอง เพราะฉะนั้นถ้าพวกเราคนไหนติดเพ่งนิ่งๆว่างๆนะ สบายอยู่แค่นั้น

แค่นั้นไม่พอนะ แค่นั้นมันเหมือนหมาที่เจ้าของใจดีแค่นั้นเอง ต้องมาฝึกสมาธิอีกชนิดหนึ่ง สมาธิชนิดแรกน่ะ จิตเป็นหนึ่ง อารมณ์เป็นหนึ่ง จิตรวมเข้ากับอารมณ์อยู่ด้วยกัน พักผ่อนอยู่ในอารมณ์ที่สบาย สมาธิอย่างที่สองเนี่ย จิตเป็นหนึ่ง อารมณ์เป็นแสนเป็นล้านก็ได้ อารมณ์เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตลอดเลย แต่จิตเป็นหนึ่ง เป็นแค่คนดู ไม่ใช่คนสงบนิ่งนะ เป็นแค่คนดู

คือเราต้องมาฝึกจิตให้เป็นคนดูให้ได้ ถอยออกมาจากปรากฏการณ์ของรูปธรรมนามธรรม ส่วนใหญ่ของคนเราก็คือ เวลาที่เกิดปรากฏการณ์ของรูปธรรมนามธรรมแล้ว จิตจะไหลเข้าไปรวมกับปรากฎการณ์นั้น ยกตัวอย่างเวลาเราดูโทรทัศน์ จิตจะไหลเข้าไปอยู่ในโทรทัศน์ หรือเวลาที่เราคิดถึง ดูโทรทัศน์ ดูข่าว ดูอะไรนะ พูดถึงนายกฯหญิงสวยงามอะไรอย่างนั้นนะ ใจเราไปคิดถึงเขา ใจเราลอยไป ใจเราลอยแล้วลืมตัวเราเอง เนี่ยใจที่มันล่องลอยแล้วมันลืมตัวมันเองเนี่ย คือใจที่ขาดสมาธิชนิดอย่างที่สอง เป็นสมาธิที่จิตตั้งมั่น คนที่ขาดสมาธิชนิดที่จิตตั้งมั่นเนี่ย มีร่างกายก็ลืมร่างกายมีจิตใจก็ลืมจิตใจของตัวเอง มัวแต่ไปดูรูป แล้วก็ลืมกายลืมใจของตัวเอง มัวแต่ไปฟังเสียง แล้วก็ลืมกายลืมใจของตัวเอง มัวแต่ไปดมกลิ่นแล้วก็ลืมกายลืมใจของตัวเอง

ก่อนหลวงพ่อบวชนะ หลวงพ่อก็ไป เป็นฆราวาสนี่ ก็เดินตามศูนย์การค้าอะไรก็ไปบ้าง ไปซื้อของอะไรเนี่ย จะมีที่ขายน้ำหอมน่ะนะ พวกเราเห็นมั้ย พวกผู้หญิงก็จะไปยืนเป็นแถวเลยนะ แล้วก็เอามาทามือนะ ดมๆ ดมๆ ไปเรื่อยนะ ในขณะที่ดมน้ำหอม นึกออกมั้ย รู้อะไร รู้กลิ่นของน้ำหอม ใช่มั้ย ในขณะนั้นเราลืมกายลืมใจของตัวเอง หรือเราเห็นคนโทรศัพท์มั้ย เดินโทรฯ ทำท่าแปลกๆ ขณะที่คุย เม้าธ์ เพลินไปนะ ร่างกายเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ จิตใจของตัวเองเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ มันลืมตัวมันเอง สภาวะที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สภาวะที่จิตใจลืมตัวเอง ลืมกายลืมใจของตัวเอง นี่แหละคือสภาวะที่จิตขาดสมาธิชนิดที่จิตใจตั้งมั่น

เพราะฉะนั้นสมาธิอย่างที่สองเนี่ยนะ ถ้าจะพูดง่ายๆก็คือสภาวะที่จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ร่อนเร่ไปทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ รู้สึกตัวอยู่ เพราะฉะนั้นจิตเป็นหนึ่ง ไม่ได้มี ๖ คือ วิ่งไปทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ แต่รู้สึกตัวอยู่ เป็นหนึ่งเท่านั้นเอง แต่ว่าอารมณ์ทั้งหลายนั้นเคลื่อนที่ ทั้งที่รูปธรรมนามธรรมนี้ เคลื่อนที่ผ่านความรับรู้ของจิตไปเรื่อยๆ เช่นตามองเห็นรูป ใจก็เป็นคนดู ก็เห็นรูปเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงต่างหาก ใจเป็นคนดู เมื่อไรขาดสติ จิตก็ปรุงแต่ง เห็นรูป โอ้สวย ใจมีราคะ ไม่รู้ทัน ถ้าใจตั้งมั่น ใจกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว ก็จะเห็นว่า ตอนนี้เกิดราคะอยู่ ตอนนี้เกิดโทสะอยู่ เนี่ยใจมันต้องตั้งมั่นอยู่กับเนื้อกับตัว ถ้าจิตใจลืมเนื้อลืมตัว มีร่างกายก็ลืมร่างกาย มีจิตใจก็ลืมจิตใจ จิตใจที่ลืมเนื้อลืมตัว ก็คือจิตใจที่ไม่มีสมาธิอย่างที่สอง ไม่มีความตั้งมั่นของจิต

ปกติจิตของเราร่อนเร่ตลอดเวลานะ ถึงไปทำฌาน จิตก็ไหลไปรวมเข้ากับอารมณ์อันเดียว จิตไม่ได้ตั้งมั่น เพราะฉะนั้นเราต้องมาฝึกให้จิตตั้งมั่น วิธีฝึกให้จิตตั้งมั่น ก็คล้ายๆกับวิธีฝึกให้จิตสงบนั่นแหละ เวลาที่เราจะฝึกให้จิตสงบนะ เราก็เลือกอารมณ์ขึ้นสักอารมณ์หนึ่ง ที่มีความสุข แล้วน้อมจิตไปอยู่กับอารมณ์อันนั้น คนไหนพุทโธแล้วมีความสุขก็พุทโธไปเรื่อยๆ จิตมีความสุขกับพุทโธ จิตไม่หนีไปที่อื่น ได้ความสงบ แต่ถ้าจะฝึกให้จิตตั้งมั่นนะ พุทโธไปแล้วรู้ทันจิต ไม่ได้น้อมจิตไปอยู่ที่พุทโธ แต่พุทโธแล้วคอยรู้ทันจิตนะ หรือรู้ลมหายใจ ก็ไม่น้อมจิตไปอยู่ที่ลมหายใจ ถ้าน้อมจิตไปอยู่ที่ลมหายใจ ใจจะเป็นสมาธิชนิดที่สงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว แต่ถ้าเราหายใจไปแล้วจิตตั้งมั่นเป็นคนดู รู้ทันจิตอยู่ หายใจไปจิตหนีไปคิดแล้วรู้ทัน จิตเคลื่อนไปอยู่ที่ลมหายใจ รู้ทัน หายใจไปแล้วรู้ทันจิตที่เคลื่อนไป เราจะได้สมาธิชนิดที่ตั้งมั่น คือไม่เคลื่อน

เพราะฉะนั้นสมาธิจึงมีสองชนิดนะ ชนิดหนึ่งเคลื่อนไปอยู่ในอารมณ์อันเดียว ก็ได้สมถะได้ความสงบเฉยๆ เอาไว้พักผ่อน อีกอันนะจิตไม่เคลื่อน แต่อารมณ์นั้นเคลื่อน รูปก็เคลื่อนไหว เสียงก็เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง กลิ่นก็เปลี่ยนแปลง รสก็เปลี่ยนแปลง สิ่งที่มาสัมผัสร่างกายก็เปลี่ยนแปลง ตาหูจมูกลิ้นกายก็เปลี่ยนแปลง ใจของเราก็เปลี่ยนแปลง ธรรมารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจนะ ความรู้สึกนึกคิดทั้งหลาย ก็เปลี่ยนแปลง แต่ใจของเราเป็นคนดู ใจเราเป็นหนึ่งอยู่อย่างนั้น ใจเราเป็นคนดูอยู่ ไม่ได้ยากอะไร ถ้ารู้วิธีแล้ว ไม่ได้ยากอะไรเลย ให้จิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน เพราะฉะนั้นเราคอยรู้ทัน ทำกรรมฐานขึ้นมาอันหนึ่งแล้วคอยรู้ทันจิตไว้ การที่เราทำกรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา จะทำให้เรารู้ทันจิตได้ง่าย แต่ถ้าเราไม่ทำกรรมฐานเลย แล้วอยู่ๆจะไปรู้ทันจิต จิตมันจะส่ายไปในอารมณ์ทางทวารทั้ง ๖ มันเปลี่ยนแปลงรวดเร็วจนเราดูไม่ทัน

เพราะฉะนั้นเราก็หาอารมณ์กรรมฐานมาสักอันหนึ่ง แต่เราไม่ได้น้อมจิตให้นิ่งอยู่ในอารมณ์กรรมฐานนั้น หาอารมณ์กรรมฐานมาเป็นเครื่องรู้เครื่องอยู่นะ แล้วเมื่อจิตเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไป มันหนีไปเมื่อไหร่เราคอยรู้ทัน มันเคลื่อนไปเมื่อไหร่เราคอยรู้ทัน จิตจะเคลื่อนไป ๒ แบบเท่านั้น ๑ เคลื่อนไปคิด หรือหลงไปทีอื่นซะ อันที่ ๒ เคลื่อนไปเพ่งอยู่ในอารมณ์อันเดียว เช่นเรารู้ลมหายใจอยู่นะ จิตหนีไปคิดก็มีนะ ลืมลมหายใจไป จิตเคลื่อนไปเกาะที่ลมหายใจไป กลายเป็นสมถะกรรมฐาน ก็มีนะ ถ้าเคลื่อนไปเกาะอยู่ในอารมณ์อันเดียว กลายเป็นสมถะ เป็นสมาธิชนิดสงบ ถ้าเคลื่อนหนีไปคิดเลยนะ สมาธิชนิดสงบก็ไม่มีนะ ฟุ้งซ่านอย่างเดียว

แต่ว่าการเคลื่อนไปนั้นมีสองชนิด เคลื่อนไปหาอารมณ์อื่นเคลื่อนไปคิดเรื่องอื่น กับเคลื่อนไปเพ่งอยู่ในอารมณ์อันเดียว ถ้ารู้ทันว่าจิตเคลื่อน จิตจะตั้งมั่นโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องบังคับให้ตั้งมั่น เขาจะตั้งของเขาเอง แต่ถ้าสมาธิของเรายังไม่แข็งแรงนะ จะเคลื่อนแล้วรู้สึกขึ้นมา ตั้งได้แว็บเดียว แล้วก็เคลื่อนไปอีก บางทีเคลื่อนไปนานเลยนะ แล้วรู้สึกขึ้นมาอีกแล้ว ตั้งขึ้นมาอีกแว้บหนึ่ง จะเป็นอย่างนั้น

เพราะฉะนั้นพวกเราต้องฝึกให้มากนะ ฝึกเพื่อให้จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวให้ได้ ถ้าจิตใจยังไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ยังเดินปัญญาไม่ได้


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
แผนที่ : 1 2 3
แสดงธรรมที่ วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันศุกร์ที่ ๘ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๖
File: 560208
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๙
ระหว่างนาทีที่ ๙ วินาทีที่ ๗ ถึงนาทีที่ ๒๗ วินาทีที่ ๒๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ได้สมาธิที่มีสติมีจิตตั้งมั่น มาใช้เจริญปัญญา

mp3 for download : ได้สมาธิที่มีสติมีจิตตั้งมั่น มาใช้เจริญปัญญา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ขอขอบคุณภาพจาก บ้านจิตสบาย
retouched by Dhammada.net

หลวงพ่อปราโมทย์ :เมื่อเราได้สมาธิ (ชนิดจิตตั้งมั่น – ผู้ถอด) ใจเราจะเป็นคนดู ใจจะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นคนดู มันจะเห็นรูปธรรมนามธรรมมันเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไป ตรงที่เรามีใจเป็นคนดูได้เนี่ย เราถึงจะเจริญปัญญาได้ ถ้าใจยังไม่เป็นผู้ดูแต่เป็นผู้แสดงเสียเองนะ ไม่ได้เรื่องหรอก ยังเจริญปัญญาไม่ได้จริง

ยกตัวอย่างคนที่ยังไม่ได้ภาวนานะ เวลาโกรธเนี่ย จะไม่รู้เลยว่าตัวเองโกรธ พวกนี้ต่ำสุดเลย จะรู้แต่คนที่ทำให้โกรธ ไอ้คนนี้ทำให้โกรธ ไปสนใจเขา นักปฏิบัติเบื้องต้นนี้จะรู้ว่ากำลังโกรธอยู่

พอปฏิบัติเก่งขึ้นมาก็จะรู้เลยว่า ความโกรธกับจิตนั้นเป็นคนละอันกันนะ จะเห็นว่าจิตไม่ได้โกรธหรอก แต่จิตเป็นตัวที่กำลังรู้ว่าโกรธอยู่ เห็นสภาวะความโกรธนั้นแยกออกไปต่างหากน่ะ ถ้าเห็นอย่างนี้ได้นะ มันจะไม่ใช่ “เราโกรธ” แล้ว จะเห็นว่าความโกรธมีอยู่ แต่ไม่ใช่เราโกรธ ความโลภมีอยู่แต่ไม่ใช่เราโลภ ความหลงมีอยู่แต่ไม่ใช่เราหลง ความสุขมีอยู่แต่ไม่ใช่เราสุข ความทุกข์มีอยู่แต่ไม่ใช่เราทุกข์ ร่างกายมีอยู่แต่ไม่ใช่ร่างกายของเรา จะเห็นแต่ว่า สภาวธรรมทั้งหลาย รูปธรรมนามธรรมทั้งหลาย มีอยู่ แต่ไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่ของเราหรอก เป็นแค่สภาวะ ร่างกายก็เป็นแค่สภาวะของรูปธรรม ความสุขความทุกข์ก็เป็นแค่สภาวะอีกอย่างหนึ่งทางนามธรรม เรียกว่าเวทนา ความจำได้หมายรู้ก็เป็นสภาวะอีกอย่างหนึ่ง ความปรุงดีปรุงชั่ว เช่นความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นสภาวะอีกอย่างหนึ่ง (มีชื่อเรียกว่า สังขารขันธ์ – ผู้ถอด) เนี่ยเราฝึกไปเรื่อยนะ ถ้าใจเราตั้งมั่นขึ้นมา เราถึงจะเห็นได้ว่า มันเป็นแค่สภาวะมันไม่ใช่เราหรอก ไม่อินเข้าไป

ของเรา เวลาทำอะไรใจยังอินมั้ย เช่นดูหนังดูอะไรเนี่ยนะ ยังมีลุ้นมั้ย เชียร์คนนี้ ไม่เชียร์คนนี้ มีมั้ย ดูบอลล์ ใครชอบดูบอลล์บ้าง ใครดูบอลล์ แล้วต้องเลือกข้างมั้ย ถ้าไม่เลือกข้างไม่สนุกนะ ต้องเลือกข้าง แล้วอย่าไปเลือกข้างที่เก่งมากนะ เลือกข้างที่เก่งมากก็จืดชืดนะ ต้องลุ้นหน่อยๆ แบบสูสีอะไรอย่างนั้นถึงจะสนุก ผิดกันมากดูไม่สนุก เราเนี่ยไม่มีการดูอะไรทุกอย่าง อย่างที่เป็นกลาง เราจะต้องเอียงข้าง มีอคตินะ แล้วก็ใส่อารมณ์ลงไป แล้วก็ลุ้นอันนี้ เกลียดอันนี้ ชอบอันนี้ เกลียดอันนี้ ชอบอันนี้ เกลียดอันนี้ อยู่อย่างนี้เรื่อยๆนะ ไม่เป็นกลางหรอก เราจะไม่สามารถเห็นความจริงได้

ยกตัวอย่างเวลาเราเห็นเขาชกมวยนะ ถ้าเราเชียร์ข้างไหนนะ เราจะรู้สึกเองแหละว่านักมวยของเราชกเก่ง ชกถูกนะ แต่กรรมการไม่เห็น อะไรอย่างนี้ หรือเชียร์บอลล์ เราเชียร์ฝั่งหนึ่งนะ อีกข้างหนึ่งแฮนด์บอลล์แล้วแต่กรรมการไม่เห็นน่ะ แหมเราเห็นชัดกว่ากรรมการอีก อยู่ห่างตั้งหลายสิบเมตรนะ แหมเห็นได้ใกล้เคียงได้ชัดเจน อะไรอย่างนี้ เนี่ยอคติล่ะ

เพราะฉะนั้นถ้าใจของเราเป็นกลางจริงๆ เราจะเห็นทุกอย่างตรงตามความจริง ถ้าใจเราไม่เป็นกลางเราจะเห็นแบบมีอคติ ลำเอียงเพราะรักก็ได้ เพราะชอบคนนี้ ลำเอียงเพราะเกลียดก็ได้ ลำเอียงเพราะกลัวก็ได้ ลำเอียงเพราะหลงก็ได้ หลงก็ทำให้ลำเอียงได้

ยกตัวอย่างบางยุคนะ บ้านเมืองมีหลายอุดมการณ์ เราลำเอียงเพราะหลง คือเราชอบอันนี้ ชอบอุดมการณ์นี้ ไม่ชอบอุดมการณ์นี้ ไอ้ข้างนี้พูดอะไรเราเห็นด้วยหมดเลย ไอ้ข้างนี้พูดอะไรเราไม่เห็นด้วยหมดเลย ทั้งๆที่เราไม่สนใจเลยว่า ข้อมูลที่แท้จริงคืออะไร นี่ล่ะ ลำเอียง ความลำเอียงมันเกิดขึ้นตลอดเวลา

ใจของเราต้องถอนตัวออกมาให้ได้นะ จากสถานการณ์ตอนนั้น ถอนตัวออกมาเป็นแค่คนดู เราไม่ใช่คู่ชกของนักมวย เราไม่ใช่คู่แข่งขันของนักฟุตบอล เราเป็นคนดู เป็นกรรมการ เป็นคนดูเฉยๆ ใครจะแพ้ใครจะชนะ ไม่สำคัญ เราเป็นแค่คนดู เนี่ยถ้าถอนตัวออกมาเป็นคนดูที่ซื่อตรงได้นะ เราจะเห็นความจริงทุกอย่างได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุดนะ เพราะฉะนั้นตัวใจที่ถอนตัวออกมาเป็นคนดูได้เนี่ยสำคัญมากเลย เนี่ยแหละคือสมาธิที่แท้จริง สมาธิที่ใช้เดินปัญญา

ส่วนสมาธิที่เขาฝึกกันส่วนใหญ่ ที่นั่งแล้วเห็นโน้นเห็นนี้นะ อันนั้นมีมาก่อนพระพุทธเจ้า สมาธิอย่างนั้นไม่ได้เอาไว้เดินปัญญา หลวงพ่อก็ทำเป็น ตั้งแต่เจ็ดขวบก็ทำได้แล้ว นั่งสมาธินะ แล้วออกเที่ยวสวรรค์เที่ยวอะไรนะ แต่นรกไม่ไป เรื่องอะไรจะไป ไปก็ไปดูของสวยสิ ใช่มั้ย ไปดูของไม่สวยไปดูทำไม นั่งสมาธิทีแรกก็ไม่ได้ไปไหนหรอก นั่งสมาธิรู้ลมหายใจนะ ลมยาว.. หายใจอยู่ไม่นาน ลมก็ตื้นๆตื้นๆ ละเอียดนะ ถ้าไม่สองสามวันก็อาทิตย์หนึ่ง จำไม่ได้แล้ว ลมหายใจกลายเป็นแสงสว่าง แต่แสงสว่างนั้นแทนที่ใจจะอยู่กับแสงนะ แล้วก็สงบเข้าฌงเข้าฌาน ไม่ไปหรอก มีแสงขึ้นมาแล้วเกิดสนใจ อยากดูสวรรค์อะไรอย่างนี้ ฉายแสงออกไปเหมือนสป็อตไลต์ จิตก็ตามแสงออกไปเลย แล้วนิมิตรมันเกิดน่ะ เห็น เห็นจริงๆ แต่ของที่ถูกเห็นนั้น จริงหรือไม่จริง ไม่รู้หรอก จิตของเราอาจจะหลอนเอาทั้งหมดเลยก็ได้ เชื่อถือไม่ได้หรอกนะ ใจไหลออกไป สมาธิอย่างนี้ ไม่เป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพานเลย เป็นสมาธิที่ออกไปข้างนอก ไปเพลิดเพลินกับโลกภายนอก หรือโลกในจินตนาการของตนเอง

ฝันไปเห็นนางกินรอย่างนี้ สังเกตมั้ยคนไทยเวลาเห็นเทวดานะ ก็แต่งตัวแบบคนไทย ไม่เห็นมีเทวดาใส่สูทมาเยี่ยมเลยนะ ทำไมเป็นอย่างนั้น ก็เพราะว่ามันชินอย่างนั้น ทีนางฟ้าที่ไปวาดในโบสถ์นะ นางฟ้าไม่เคยใส่เสื้อเลย อะไรอย่างนี้ ถ้าฝรั่งมีนางฟ้าแต่งตัวแบบนั้นต้องทุกข์ทรมาณมากเลย เพราะมันหนาว ต้องแต่งตัวเยอะๆ ถึงจะเป็นนางฟ้าได้ ผ้ารุงรังอะไรอย่างนี้ มีอะไรเยอะแยะ เนี่ยมันเป็นโลกของจินตนาการนะ จริงเท็จไม่สำคัญหรอก สำคัญคือจิตออกนอก


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
แผนที่ : 1 2 3
แสดงธรรมที่ วัดสวนสันติธรรม
วันจันทร์ที่ ๓๑ เดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า
File: 551231A
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๘
ระหว่างนาทีที่ ๑๗ วินาทีที่ ๕๒ ถึงนาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๕๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ฝึกสมาธิ สำคัญที่มีสติรู้ทันจิต ไม่ใช่ท่าทางร่างกาย

mp3 for download : ฝึกสมาธิ สำคัญที่มีสติรู้ทันจิต ไม่ใช่ท่าทางร่างกาย

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ขอขอบคุณภาพจาก บ้านจิตสบาย
retouched by Dhammada.net

หลวงพ่อปราโมทย์ :ทำสมาธิ ไม่ถนัดนั่งก็เดิน ไม่ถนัดเดินก็นั่ง ตัวสำคัญไม่ใช่อยู่ที่ท่านั่งท่าเดิน ไม่ใช่เดินท่าไหนถูก นั่งท่าไหนถูก จะเอามือไว้ตรงไหน เรื่องไร้สาระเลย อันนั้นเป็นเรื่องเฉพาะตัว คนไหนจะถนัดเอามือไว้ตรงไหนก็เอาไป จุดสำคัญคือรู้ทันจิต เพราะฉะนั้นบทเรียนในการทำสมาธิท่านถึงเรียกว่า “จิตตสิกขา” ไม่ใช่ให้เรียนเรื่องกายเรื่องจะเอามือเอาไม้ไว้ที่ไหนหรอก ใครจะถนัดเอามือไว้อย่างไรก็เอาไว้อย่างนั้นแหละ

มีคราวหนึ่งนะ หลวงพ่อไปหินหมากเป้ง ตอนนั้นหลวงปู่เทสก์ยังอยู่ ท่านสรางมณฑปใหม่แล้วท่านไปอยู่ในมณฑป กุฏิเก่ายังไม่รื้อ เป็นไม้ ท่านให้หลวงพ่อไปพักที่กุฏิเก่าของท่าน กุฏิเก่ากับมณฑปนี้ห่างกันนิดเดียว จากกุฎิเก่ามองเข้าไปทะลุ ผนังเป็นกระจก มณฑปนั้นเป็นกระจกนะ มองเห็นท่านได้ทั้งคืนเลย เราไปถึงก็เนื้อยเหนื่อยนะ ไปถึงแต่มืดเลยเดินทางมาทั้งคืนแล้ว ไปถึงหินหมากเป้งตอนเช้า ไม่ได้พักนะ ภาวนาไปอะไรไป กะว่าค่ำๆจะนอน หลวงปู่ให้ไปอยู่กุฏิเก่าของท่าน มองเห็นท่านอยู่ ท่านเดินจงกรมอยู่เราไม่กล้านอนน่ะ ครูบาอาจารย์ยังไม่นอนเลย ลูกศิษย์นอนก่อน เสียสถาบันนักปฏิบัติ ก็นั่งสมาธิ เดินก็ไม่ไหวแล้ว หนาวพิลึกพิลั่นเลย คอยนั่งสมาธิ คอยลืมตา หลวงปู่ยังเดินอยู่ กะว่าสี่ทุ่มท่านคงพักมั้ง ปลอบใจตัวเอง เปล่าสี่ทุ่มก็ไม่พักนะ ห้าทุ่ม ห้าทุ่มแล้วหลวงปู่ พอเสร็จแล้วดึกๆมากนะ เห็นท่านพัก ท่านพักเราก็รีบนอนเลย นอนไปจนถึงตีหนึ่งกว่าๆ ตีสองอะไรอย่างนี้ อู๊ยมันหนาวจัดนะ ตื่นมา ชะโงกดู อุ๊ย..หลวงปู่มาเดินอยู่อีกแล้ว ต้องลุกขึ้นนั่ง หนาวแทบตายเลย

เห็นท่านเดินจงกรม เป็นเงาตะคุ่มๆนะ มืดๆ ท่านไม่ได้เปิดไฟอะไรไว้ ในห้องที่ท่านอยู่มืดๆ แต่พอมองเห็น เพราะผนังมันเป็นกระจก ด้านหนึ่งพระจันทร์มันก็ส่องอะไรอย่างนี้ เห็นท่านเดินตะคุ่มๆ ใจก็สงสัยขึ้นมา เอ๊..หลวงปู่ หลวงปู่เดินจงกรมเนี่ย หลวงปู่เอามือไว้ตรงไหน ไว้อย่างนี้หรือเปล่า หรือว่าเอาไว้อย่างนี้ แต่ละสำนักเขาสอนไม่เหมือนกัน นึกถามท่านนะ ถามจบปุ๊บท่านก็.. เนี่ย เดินอย่างนี้เลยนะ อ๋อเข้าใจแล้วครับ พอใจบอกว่าเข้าใจแล้วครับ ท่านก็เอามือเก็บ

มันไม่ได้อยู่ที่ท่าทาง อยู่ที่สติ พออีกวันไปหาท่าน ท่านก็พูดเรื่องการปฏิบัติ ให้ทำด้วยความมีสติ เพราะฉะนั้นอิริยาบถท่าทางอะไร ใครถนัดอะไรก็เอาอันนั้นแหละ บางคนแกว่งแขนแล้วสติกระเด็นไปหมดเลยใช่มั้ย ก็เลยชอบให้นิ่งๆ มือเคลื่อนไหวมากๆนะจิตใจกระเจิดกระเจิงไป บางคนเดินเร็ว บางคนเดินช้า นั่นไม่สำคัญหรอก สำคัญที่รู้ทันจิต เพราะฉะนั้นเดินไปแล้วให้มีสติรักษาจิตอยู่ จิตหนีไปแล้วรู้ทัน จิตไปคิดแล้วรู้ทัน จิตไปเพ่งรู้ทัน เนี่ยจะได้สมาธิขึ้นมา


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
แผนที่ : 1 2 3
แสดงธรรมที่ วัดสวนสันติธรรม
วันจันทร์ที่ ๓๑ เดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า
File: 551231A
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๘
ระหว่างนาทีที่ ๑๔ วินาทีที่ ๓๒ ถึงนาทีที่ ๑๗ วินาทีที่ ๕๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ต้องฝึกทุกวัน

mp3 for download : ต้องฝึกทุกวัน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ขอขอบคุณภาพจาก บ้านจิตสบาย

หลวงพ่อปราโมทย์ :ใจเราก็ต้องมีสมาธินะ ค่อยๆฝึก สมาธิให้ใจมันตั้งมั่นออกมา สมาธิไม่ใช่แปลว่าสงบ สมาธิแปลว่าใจตั้งมั่น ความตั้งมั่นของจิต ให้คอยรู้ทันเวลาจิตมันไหลไป จิตมันเคลื่อนไป

ยกตัวอย่างเราหัดไป ทุกวันต้องซ้อมนะ พุทโธพุทโธไป หายใจไป ทุกวันต้องทำ ทำวันหนึ่ง ๑๐ นาทีก่อนก็ยังดี ต่อไปจะเพิ่มได้เอง พอเห็นผลของการปฏิบัติแล้ว มันจะเพิ่มเวลาปฏิบัติเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ

ทุกวันทำในรูปแบบนะ พุทโธไป หายใจไป อะไรอย่างนี้ แล้วคอยรู้ทัน จิตหนีไปคิดรู้ทัน จิตเคลื่อนไป รู้ทัน จิตจะเคลื่อนไปได้ ๒ แบบนะ จิตเคลื่อนไปคิดเนี่ย จิตจะไหลสะเปะสะปะไป กับเคลื่อนไปเพ่ง อย่างรู้ลมหายใจนะ ก็เคลื่อนไปคิดบ้าง เคลื่อนไปเพ่งลมหายใจบ้าง พุทโธพุทโธนะ ก็เคลื่อนไปคิดบ้าง เคลื่อนไปเพ่งจิตไว้บ้าง จะเคลื่อน ดูท้องพองยุบ จิตก็เคลื่อนไปคิดบ้าง เคลื่อนไปเพ่งท้องบ้าง ไปเดินจงกรมนะ ก็เคลื่อนไปคิดบ้าง เคลื่อนไปเพ่งเท้าบ้าง บางคนเพ่งร่างกายทั้งร่างกาย บางคนไปแปลคำว่า “รู้ตัวทั่วพร้อม” เป็นการเพ่งทั้งตัวเลย เพ่งร่างกายทั้งตัวเลยนะ เนี่ย อย่างนี้เรียกว่าเพ่งทั้งตัว ทำอะไรรู้หมดเลยนะ แต่ใจมันจะแข็งๆ อย่างนี้ใช้ไม่ได้จริง

เพราะฉะนั้นเราฝึกไปให้สบาย ถึงเวลาไหว้พระสวดมนต์ ทำสมาธิ ไม่ถนัดนั่งก็เดิน ไม่ถนัดเดินก็นั่ง


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
แผนที่ : 1 2 3
แสดงธรรมที่ วัดสวนสันติธรรม
วันจันทร์ที่ ๓๑ เดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า
File: 551231A
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๘
ระหว่างนาทีที่ ๑๓ วินาทีที่ ๕ ถึงนาทีที่ ๑๔ วินาทีที่ ๓๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ต้องรักในธรรมะ อย่ารักแต่หน้าเรา

mp3 for download : ต้องรักในธรรมะ อย่ารักแต่หน้าเรา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ขอขอบคุณภาพจาก บ้านจิตสบาย

หลวงพ่อปราโมทย์ :ค่อยๆฝึกเอานะ ค่อยๆฝึกเอา หลวงพ่อไม่ได้สอนเรื่องทำทานถือศีลอะไรมาก ก็สอนมุ่งขึ้นทางที่การปฏิบัติทางจิตทางใจ ปฏิบัติทางจิตทางใจก็มีเรื่องของสมาธิกับปัญญามาก เรื่องทานเรื่องศีลพวกเรารู้อยู่แล้ว ผิดชอบชั่วดีอะไรรู้อยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ทำเท่านั้นเองเพราะสู้กิเลสไม่ไหว ยกตัวอย่างโกรธขึ้นมาอะไรอย่างนี้นะ ไม่ตีเขา ไม่ฆ่าเขา แต่กระแนะกระแหนเขา ยังทำอยู่ ใครทำอย่างนั้นบ้าง โกรธแล้วกระแนะกระแหนมัน อะไรอย่างนี้ โอ้.. ดีมากนะ ถ้าไม่ยกมือหลวงพ่อจะผิดหวังมากเลยนะ นี่.. มันต้องอย่างนี้สิ ถึงจะเอาดีได้นะ เออ.. เราต้องรักธรรมะ ใช่ว่ารักแต่หน้าเรา ต้องอย่างนี้ค่อยสมเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อนะ

ต้องสู้เอา คล้ายๆลอกเปลือกตัวเองออกมาดูตัวจริง ตัวจริงแต่ละคนน่าเกลียดมากเลย แต่หน้ากากนั้นสวยงาม ดูของจริงของแท้ อาศัยจิตที่มีสมาธิ จิตที่ตั้งมั่นขึ้นมาเป็นคนดู สมาธิจะทำให้เราไม่มี Bias สมาธิเป็นตัวที่ทำลาย Bias ในใจ เรียกว่าอะไรนะ อคติ ใจจะเป็นกลาง จะรู้ทุกอย่างอย่างเป็นกลางได้ ไม่เข้าไปแทรกแซง ดูเหมือนว่าเราเป็นคนวงนอก

กายนี้ไม่ใช่ตัวเรา เราเป็นคนวงนอก เรามาดูร่างกาย จิตใจนี้ไม่ใช่ตัวเรา เราเป็นคนวงนอก เรามาดูจิตใจ ถ้าใจมีสมาธิ มันจะถอนตัวออกมาเป็นคนวงนอก ไม่มีอคติ เหมือนเป็นผู้พิพากษา ผู้พิพากษาก็ต้องฝึกจิตใจให้ไม่มีอคติ เป็นคนวงนอก ถึงคนนี้รู้จักก็ต้องตัดความรู้จักออกไป ถึงจะยุติธรรม

เราก็ต้องมีสมาธินะ คล้ายๆฝึกสมาธิให้ใจมันตั้งมั่นออกมา สมาธิไม่ได้แปลว่าสงบ สมาธิแปลว่าใจตั้งมั่น ความตั้งมั่นของจิต


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
แผนที่ : 1 2 3
แสดงธรรมที่ วัดสวนสันติธรรม
วันจันทร์ที่ ๓๑ เดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า
File: 551231A
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๘
ระหว่างนาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๓ ถึงนาทีที่ ๑๓ วินาทีที่ ๑๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ฝึกดูจิต ฝึกด้วยจิตของคนธรรมดาๆนี่ล่ะ

mp3 for download : ฝึกดูจิต ฝึกด้วยจิตของคนธรรมดาๆนี่ล่ะ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ขอขอบคุณภาพจาก บ้านจิตสบาย

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าเราดูจิตดูใจ แต่เราไม่ชำนาญถึงฌานในอรูปนะ เราจะดูจิตในชีวิตประจำวัน ดูอยู่ข้างนอกอยู่ที่เรามีนี่แหละ

ดูจิตจะยากอะไร ใครรู้จักความสุขมั้ย รู้จักมั้ยความสุข ความสุขเกิดขึ้น ความสุขกำลังมีอยู้ รู้ว่ามีความสุขอยู่ ก็แค่นี้เอง จะยากอะไร ความสุขหายไปก็รู้ว่าความสุขหายไป ความทุกข์มีขึ้นมา รู้ว่ามีขึ้นมา ความทุกข์หายไปรู้ว่าความทุกข์หายไป ก็แค่นั้นเอง ความโลภความโกรธความหลงผุดขึ้นมา รู้ทัน ความโลภความโกรธความหลงหายไป รู้ทัน ก็แค่นั้นเอง

การดูจิตดูใจไม่ใช่เรื่องลึกลับเลย แต่ว่ามันจะตรงกันกับที่พระพุทธเจ้าสอนในสติปัฏฐาน ในจิตตานุปัสสนา “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อจิตมีราคะ ให้รู้ว่ามีราคะ” เห็นมั้ยง่ายๆ ท่านไม่เห็นต้องอธิบายมากเลย ก็แค่นั้นเอง จิตมีราคะรู้ว่ามีราคะ จิตไม่มีราคะรู้ว่าไม่มีราคะ จิตมีโทสะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตมีโทสะให้รู้ว่ามีโทสะ จิตไม่มีโทสะให้รู้ว่าไม่มีโทสะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตมีโมหะ คือมีความหลง ก็รู้ว่ามีโมหะ จิตไม่มีโมหะก็รู้ว่าไม่มีโมหะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อจิตฟุ้งซ่านให้รู้ว่าฟุ้งซ่าน เมื่อจิตหดหู่ให้รู้ว่าหดหู่ ง่ายๆทั้งนั้นเลย

เราดูไป ดูใจของเราไปเรื่อย อย่าไปจ้อง อย่าไปจ้องอยู่ที่จิต เคล็ดลับของการดูจิตก็คือ ห้ามไปจ้อง ห้ามไปรอดู ว่าจะมีอะไรให้ดู ให้ความรู้สึกเกิดขึ้นก่อนแล้วค่อยรู้ว่ามีความรู้สึกนั้นเกิดขึ้น อย่าไปเฝ้าดูนะ ถ้าเฝ้าดูจะเป็นการเพ่งจิต แล้วจะว่างๆ จะไม่มีอะไรให้ดูเลย มีแต่ว่างๆ ว่างๆเนี่ยเป็นการเพ่งอรูป ทำได้แล้วจะไปอรูปฌานนะ ไปเป็นอรูปพรหม เป็นพรหมไม่มีรูป ไม่มีตา ไม่มีหู พวกเราตาบอดเอามั้ยล่ะ แต่อยากไปเป็นพรหมชั้นสูง พรหมชั้นสูงไม่มีตา ไม่มีหูด้วย ตาบอดด้วย หูหนวกด้วย เอามั้ยล่ะ ไม่เอาใช่มั้ยล่ะ สัมผัสโลกไม่ได้ เรียนรู้อะไรไม่ได้นะ ยกเว้นที่ชำนาญดูจิตแล้วไปเข้าไปตรงนั้น ทำต่อได้ ไม่มีกาย ไม่มีกาย

เนี่ยเราเฝ้าดูของเราง่ายๆนะ ใจเราของคนธรรมดานี่แหละ เราจะเห็นเลยว่าใจของเราเปลี่ยนแปลงทั้งวัน เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ใจของเราเปลี่ยนเพราะอะไร เพราะมีผัสสะ คือมีการกระทบอารมณ์ ตาเรามองเห็นรูป เรียกว่า เรากระทบอารมณ์ทางตา ตาไปมองเห็นรูปที่พอใจ จิตก็มีความสุขขึ้นมา จิตมีความสุขขึ้นมา ก็เกิดความพอใจ คือราคะแทรกขึ้น ตาไปเห็นรูปที่ไม่ชอบใจ ก็เกิดความทุกข์ขึ้นมา โทสะก็แทรกนะ โทสะก็จะแทรกเข้ามา

หูได้ยินเสียงที่ชอบใจ เสียงที่ชอบใจอาจจะไม่ไพเราะก็ได้ ยกตัวอย่างเสียงบางคนนะ เสียงฟังไม่ได้เลย แต่เรากำลังคิดถึงคนๆนั้น เป็นเพื่อนเรา แต่เสียงไม่ไพเราะเลย ได้ยินเสียงแหบๆของคนๆนี้แล้วดีใจ เพราะเป็นเสียงที่ชอบใจ อาจจะไพเราะหรือไม่ไพเราะ จะอ่อนหวานหรือไม่อ่อนหวาน ไม่สำคัญหรอก แต่เป็นเสียงที่ชอบใจ พอการกระทบกับเสียงที่ชอบใจเกิดขึ้นนะ ก็จะเกิดความสุขขึ้นมาในใจ เรารู้ว่ามีความสุข พอมีความสุขแล้วเกิดความพอใจในเสียงอันนี้ขึ้นมาเรียกว่ามีราคะ รู้ว่ามีราคะเกิดขึ้น

นี่แหละการปฏิบัติง่ายๆอย่างนี้เอง ให้ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายกระทบสัมผัส ให้ใจมันคิดนึกปรุงแต่งไปตามธรรมชาติธรรมดา ไม่ห้ามเลยสักอย่างเดียว ตามองเห็นรูปเกิดสุขเกิดทุกข์ขึ้นที่ใจ หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายกระทบสัมผัส เกิดสุขเกิดทุกข์ที่ใจ มีสติรู้ทัน ใจคิดนึกปรุงแต่งไป เกิดสุขเกิดทุกข์ที่ใจ มีสติรู้ทัน รู้ทันแล้วก็เห็น เกิดสุขอยู่ชั่วคราวแล้วก็ดับ เกิดทุกข์อยู่ชั่วคราวแล้วก็ดับ นี่แหละเรียกว่าการเจริญปัญญา จะเห็นว่าความสุขมีแล้วก็หายไป ความทุกข์มีแล้วก็หายไป ดูอยู่อย่างนี้เรื่อยๆไป

แต่ถ้าดูสุขทุกข์ไม่ทันนะ ต่อไปก็จะเป็นกุศล-อกุศล มีความสุขขึ้นมา บางทีจิตก็มีราคะ มีความทุกข์ขึ้นมา บางทีจิตก็มีโทสะขึ้นมา ดูเวทนาไม่ทัน ดูสุขทุกข์ไม่ทัน ก็มาดูกิเลสเอา ดูง่ายๆ แค่นี้เอง


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ต.บางพระ อ.ศรีราชา ชลบุรี
แผนที่ : 1 2 3
แสดงธรรมที่ วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันเสาร์ที่ ๔ เดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๕
File: 550804B
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๖
ระหว่างนาทีที่ ๕ วินาทีที่ ๑๔ ถึงนาทีที่ ๙ วินาทีที่ ๕๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การดูจิต และการเดินปัญญาในฌาน

mp3 for download : การดูจิต และการเดินปัญญาในฌาน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ขอขอบคุณภาพจาก บ้านจิตสบาย

หลวงพ่อปราโมทย์ : การดูจิตดูใจเรียกว่า จิตตนานุปัสสนา การดูกระบวนการทำงานของสภาวธรรม เรียกว่าธรรมานุปัสสนา กรรมฐานเหล่านี้เหมาะกับพวกทิฎฐิจริต พวกคิดมาก เมื่อพวกเราเป็นพวกช่างคิด เรามาดูจิตดูใจตัวเอง การดูจิตนั้นไม่ต้องใช้สมาธิเยอะ ใช้สมาธิเป็นขณะๆไป เรียกว่าขณิกสมาธิ

วิธีทำให้มีสมาธิเมื่อเช้าหลวงพ่อบอกไปแล้วนะ รู้ทันจิตที่เคลื่อนไป เรารู้ทันจิตที่เคลื่อนไป รู้ทันจิตที่ไหลไป จิตก็จะตั้งมั่นขึ้นมา ตรงที่จิตตั้งมั่นขึ้นมาเนี่ย อย่าไปบังคับจิตให้นิ่ง จิตมีความสุขให้รู้ว่ามีความสุข จิตมีความทุกข์ให้รู้ว่ามีความทุกข์ จิตสงบให้รู้ว่าสงบ จิตฟุ้งซ่านให้รู้ว่าฟุ้งซ่าน จิตมีราคะให้รู้ว่ามีราคะ จิตมีโทสะให้รู้ว่ามีโทสะ จิตไม่มีราคะก็รู้ จิตไม่มีโทสะก็รู้ จิตหลงไปก็รู้ จิตรู้สึกตัวอยู่ก็รู้ เนี่ยคอยดูความเปลี่ยนแปลงของจิตไปเรื่อย

การดูความเปลี่ยนแปลงของจิตนั้น ไม่ต้องไปนั่งสมาธิลึกๆ คนที่นั่งสมาธิลึกๆเนี่ย ดูจิตยาก มันจะไม่มีอะไรให้เปลี่ยน จะนิ่งๆ เพราะฉะนั้นการดูจิตดูใจเนี่ย เหมาะสำหรับพวกที่เข้าฌานไม่เป็น แต่ถ้าพวกที่ดูจิตแล้วเข้าฌานเป็น จะไปสู่จุดสุดยอดอีกเรื่องหนึ่ง สามารถไปเดินปัญญาในสมาธิได้ พวกดูกายเก่งๆเนี่ย เจริญปัญญาในสมาธิไม่ได้ ต้องดูจิตเก่งๆ ทำสมาธิและปัญญาควบกันได้

ดูกายเก่ง ต้องทำสมาธิก่อน ออกจากสมาธิแล้วมาดูกาย แต่ถ้าจะทำสมาธิและปัญญาควบกัน ถ้าทำสมาธิรู้ลมหายใจแล้วจิตรวมเข้าปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติ มีความสุข มีความเป็นหนึ่ง มีเอกัคคตา รู้ทันจิตที่เข้าไปจับแสงสว่าง ก็ปล่อย ไม่จับ ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร จิตทวนกระแสเข้าหาตัวรู้ และตั้งมั่นอยู่ ปีติเด่นดวงขึ้นมา ในขณะนั้นมีทั้งปีติมีทั้งสุขมีทั้งเอกัคคตาอยู่ด้วยกัน แต่ปีติจะเด่น ใจเนี่ยเด่นดวงตั้งมั่นเป็นผู้รู้อยู่ แต่ปีติเด่น สติระลึกรู้ลงไปที่ปีติ เห็นปีติดับไป เนี่ยเขาทำวิปัสสนาในสมาธิ เขาดูองค์ฌานที่เกิดดับ องค์ฌานทั้งหลายเนี่ยไม่ใช่กาย องค์ฌานทั้งหลายเนี่ยเป็นเรื่องของนามธรรมทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นพวกที่ดูจิตได้นะ จะไปเดินปัญญาในฌานได้

แล้วถ้าดูจิตจนชำนิชำนาญจนถึงระดับที่เป็นพระอริยบุคคล แล้วถ้าตายไปนะ ยังไม่ใช่พระอรหันต์ ไปเกิดในพรหมโลก แล้วเข้าฌานเก่งมากเลย ได้ฌานที่ ๘ ด้วย ไปเกิดในเนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นภูมิเป็นภพของเนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นภพของพรหมที่สูงที่สุด ในคัมภีร์สอนเอาไว้เลยว่า ถ้าเป็นพระอริยบุคคลที่ชำนาญการดูจิตนะ จะไปทำวิปัสสนาในเนวสัญญานาสัญญายตนะได้ คนอื่นทำไม่ได้ ถ้าเป็นปุถุชนแล้วจะไปทำวิปัสสนาในเนวสัญญานาสัญญายตนะไม่ได้ ถ้าเป็นพระอริยบุคคลที่ไม่ได้ชำนาญเรื่องการดูจิต จะไปทำวิปัสสนาในเนวสัญญานาสัญญายตนะไม่ได้ ถ้าเป็นพระอริยบุคคลที่เข้าอรูปฌานถึงขีดสุดไม่ได้ก็จะไม่ไปเนวสัญญานาสัญญายตนภูมิด้วย

เพราะฉะนั้นการที่เราหัดดูจิตดูใจเนี่ยนะ พวกที่สมาธิมากก็ดูได้ พวกนี้จะสามารถไปเจริญปัญญาในฌานได้ ทำสมาธิและวิปัสสนาควบกัน พวกนี้ทำรวดไปได้ ไม่มีข้อจำกัดในภูมิอะไร ยกเว้นอันเดียว ภูมิอสัญญสัตตา ภพของอสัญญสัตตา พรหมลูกฟัก แต่ท่านจะไม่ไปเกิดในพรหมลูกฟัก พระอริยะทั้งหลายท่านจะไม่ไปเกิดในพรหมลูกฟัก พระโพธิสัตว์ทั้งหลายจะไม่ไปอยู่ในพรหมลูกฟัก เสียเวลา

และถ้าเราดูจิตดูใจแต่ไม่ชำนาญจนถึงอรูป(ฌาน)นะ เราจะดูจิตในชีวิตประจำวัน ดูอยู่ข้างนอกอย่างที่พวกเรามีนี่แหละ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ต.บางพระ อ.ศรีราชา ชลบุรี
แผนที่ : 1 2 3
แสดงธรรมที่ วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันเสาร์ที่ ๔ เดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๕
File: 550804B
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๖
ระหว่างนาทีที่ ๕ วินาทีที่ ๑๔ ถึงนาทีที่ ๙ วินาทีที่ ๕๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ลักษณะของจิตที่ตั้งมั่น

mp3 for download : ลักษณะของจิตที่ตั้งมั่น

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ขอขอบคุณภาพจากบ้านจิตสบาย

หลวงพ่อปราโมทย์ : จิตที่ตั้งมั่นขึ้นมาจะมีลักษณะที่เบา มีลักษณะที่นุ่มนวลอ่อนโยน มีลักษณะที่ปราดเปรียวว่องไว ไม่หนักไม่แน่นไม่แข็งไม่ซึมไม่ทื่อ

ถ้านั่งสมาธิแล้วจิตแน่นจิตแข็งจิตซึมจิตทื่อ ให้รู้เลยว่าเป็นมิจฉาสมาธิแล้วล่ะนะ นอกรีตนอกรอยแล้ว ไม่ใช่สมาธิในทางศาสนาพุทธแล้ว หรือนั่งแล้วเคลิ้มง่อกๆแง่กๆขาดสตินะ ใช้ไม่ได้เลย จิตไม่ได้มีความคล่องแคล่วว่องไวควรแก่การงาน จิตสะลึมสะลือ หรือจิตเที่ยวเห็นโน้นเห็นนี่ออกข้างนอกไป จิตไม่อยู่กับฐาน สิ่งเหล่านี้ใช้ไม่ได้ทั้งสิ้นเลย

ถ้าเรามีสมาธิที่ถูกต้องเนี่ย จิตจะมีความตั้งมั่นอยู่กับตัวเอง จิตตั้งมั่นอยู่กับจิต เรียกว่าจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว ถ้าจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวนะ จิตหนีไปเมื่อไหร่มันก็ลืมกายลืมใจ มีร่างกายก็ลืมร่างกาย มีจิตใจก็ลืมจิตใจ แต่ถ้าเรารู้ทันจิตที่ไหลไปนะ จิตจะตั้งมั่น จิตใจจะอยู่กับเนื้อกับตัว จิตจะเบาสบาย นุ่มนวล อ่อนโยน คล่องแคล่วว่องไว มีความสุขความสงบอยู่ในตัวเอง จิตจะถอยตัวออกมาจากรูปธรรมนามธรรม เพราะไม่ไหลเข้าไปในปรากฏการณ์ทั้งหลาย จิตจะถอยตัวออกมาเป็นคนดู

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๓๐ เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๙
File: 560209A
ระหว่างนาทีที่ ๓๑ วินาทีที่ ๓๗ ถึงนาทีที่ ๓๒ วินาทีที่ ๕๓

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

วิธีฝึกสมาธิชนิดตั้งมั่น (๓/๓)

mp3 for download : วิธีฝึกสมาธิชนิดตั้งมั่น (๓/๓)

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ขอขอบคุณภาพจากบ้านจิตสบาย

หลวงพ่อปราโมทย์ : พระอรหันต์ส่วนใหญ่ในสมัยพุทธกาลนะ ก่อนที่จะบรรลุพระอรหันต์ ก่อนที่จะบรรลุพระโสดาฯอะไรอย่างนี้ ก็ทำฌานไม่ได้เหมือนพวกเรานี้เอง ยกตัวอย่างเมื่อวานนี้ที่หลวงพ่อเล่าให้ฟัง พวกที่ไม่ได้มา เล่าย่อๆนิดนึง

พระพุทธเจ้าท่านอยู่กับพระ หมู่สงฆ์จำนวนมากนะ แล้วท่านก็อธิบายให้สงฆ์ฟัง บอกว่าในบรรดาพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์เนี่ย เป็นพระอรหันต์ที่ได้วิชา ๓ เนี่ย ๖๐ องค์ อภิญญา ๖ อีก ๖๐ องค์ ได้อุภโตภาควิมุตติ ๖๐ องค์ พระอรหันต์ ๓ จำพวกนี้ต้องทรงฌาน รวมแล้ว ๑๘๐ องค์ อีก ๓๒๐ องค์ คือคนอย่างพวกเรานี่เอง

เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าเราเข้าฌานไม่ได้เราจะสิ้นหวังเป็นพระอรหันต์ไม่ได้ ไม่ใช่เลยนะ เราก็ต้องรู้จักวิธีปฏิบัติที่พอเหมาะพอควรกับสิ่งที่เราเป็นสิ่งที่เรามีอยู่ เรามีความฟุ้งซ่านมาก เราไม่ได้มีสมาธิมาก เข้าฌานไม่เป็น เราก็มาฝึกให้ได้สมาธิชนิดตั้งมั่น แต่มันจะตั้งอยู่ชั่วขณะเท่านั้นเอง ไม่ตั้งนาน ไม่ใช่อัปนาสมาธิ แต่จะตั้งเป็นขณะๆเรียกว่า ขณิกสมาธิ จิตตั้งเป็นขณะๆนะ

ขณิกสมาธิ วิธีฝึกนะ พวกเรา เบื้องต้นทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง แต่ไม่ได้ทำเพื่อจะเข้าฌาน ทำเพื่อเป็นเครื่องอยู่ของจิตเท่านั้นเอง หัดพุทโธไปก็ได้ หัดรู้ลมหายใจไปก็ได้ หัดดูท้องพองยุบไปก็ได้ ทำกรรมฐานอะไรก็ได้ แต่ไม่ได้ทำเพื่อน้อมจิตไปอยู่กับอารมณ์อันนั้น ถ้าน้อมจิตไปอยู่ที่อารมณ์อันนั้นจะเป็นสมาธิชนิดที่ ๑ (ดู วิธีฝึกสมาธิชนิดตั้งมั่น (๑/๓)) คือสงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว เรียกว่า อารัมณูปนิชฌาน ถ้าทำกรรมฐานขึ้นอย่างหนึ่งแล้วรู้ทันจิต จิตไหลไปคิดก็รู้ทัน จิตไหลไปเพ่งอารมณ์กรรมฐานอันนั้นก็รู้ทัน จิตมันเคลื่อนตลอดนะ เคลื่อนไปคิดก็ได้ เคลื่อนไปเพ่งก็ได้ ถ้าเรารู้ทันจิตที่เคลื่อน จิตจะเลิกเคลื่อน เพราะจิตที่เคลื่อนเป็นจิตฟุ้งซ่าน ทันที่สติรู้ทันจิตที่ฟุ้งซ่าน จิตจะไม่ฟุ้งซ่าน จิตก็จะตั้งมั่นอยู่กับฐาน

เพราะฉะนั้นๆเราหัดพุทโธๆนะ จิตหนีไปคิดเรารู้ทัน จิตก็จะตั้งมั่นขึ้นมา เราหัดรู้ลมหายใจนะ จิตหนีไปคิดก็รู้ทัน จิตก็จะตั้งมั่นขึ้นมา รู้ลมหายใจอยู่ จิตไหลไปอยู่ที่ลมหายใจ รู้ว่าจิตไหลไปอยู่ที่ลมหายใจแล้ว จิตก็จะตั้งมั่นขึ้นมา ถ้ารู้ทันว่าจิตไหลไปนะ จิตจะตั้งมั่น

เพราะฉะนั้นเบื้องต้นจะต้องทำกรรมฐานอย่างหนึ่งเสียก่อนนะ ถ้าไม่ทำกรรมฐานอย่างหนึ่งขึ้นมาก่อน จิตจะไหลตลอดเวลาจนดูไม่ทัน เดี๋ยวก็ไหลไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ดูไม่ทันหรอก เพราะฉะนั้นเบื้องต้นทำกรรมฐานขึ้นมาสักอย่างหนึ่งก่อน พุทโธก็ได้ หายใจก็ได้ แล้วก็คอยรู้ทันจิตไป จิตหนีไปคิดก็รู้ จิตไปเพ่งอยู่ในอารมณ์อันเดียวก็รู้นะ จิตเคลื่อนไปเมื่อไหร่ให้รู้ทัน

ถ้ารู้ทันจิตที่เคลื่อน จิตจะไม่เคลื่อน จิตจะตั้งมั่นขึ้นโดยอัตโนมัติ โดยไม่ได้เจตนาให้ตั้ง มันตั้งของมันเอง

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๓๐ เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๙
File: 560209A
ระหว่างนาทีที่ ๒๘ วินาทีที่ ๔๙ ถึงนาทีที่ ๓๑ วินาทีที่ ๓๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

วิธีฝึกสมาธิชนิดตั้งมั่น (๒/๓)

mp3 for download : วิธีฝึกสมาธิชนิดตั้งมั่น (๒/๓)

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ในพระไตรปิฎกจะพูดถึงสภาวะชนิดหนึ่งเรียกชื่อว่า “เอโกทิภาวะ” เอโกทิภาวะเนี่ยเกิดขึ้นในฌานที่ ๒ เอโกทิภาวะก็คือความตั้งมั่นของจิตนั่นเอง จิตละวิตกวิจารณ์ ละการตรึกการตรองในอารมณ์นั้น ก็ทวนกระแสเข้ามาตั้งมั่นอยู่ที่จิตได้ ถ้าเราได้สมาธิชนิดตั้งมั่นด้วยการเข้าฌานมานะ สมาธิชนิดนี้จะทรงกำลังอยู่ได้นาน แต่ก็ไม่เกิน ๗ วันนะ ก็เสื่อม เวลาที่มันตั้งมั่นเด่นดวงอยู่นี่ มันจะเห็นรูปธรรมและนามธรรมนี้ทำงานอยู่ได้ทั้งวันทั้งคืน ทั้งหลับทั้งตื่นด้วยซ้ำไป ใจมันจะตั้งมั่นเด่นดวง

แต่ถ้าเราทำฌานไม่ได้เนี่ย เราก็ไม่สิ้นหวังเสียทีเดียว คนส่วนใหญ่ แม้กระทั่งในสมัยพุทธกาล ก็ทำฌานไม่ได้

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๓๐ เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๙
File: 560209A
ระหว่างนาทีที่ ๒๗ วินาทีที่ ๕๘ ถึงนาทีที่ ๒๘ วินาทีที่ ๔๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

รู้ความจริงของกายของใจได้ด้วยการรู้ด้วยความเป็นกลาง

mp3 for download : รู้ความจริงของกายของใจได้ด้วยการรู้ด้วยความเป็นกลาง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : สำหรับชาวพุทธเรา มาสังเกตการณ์ร่างกาย มาสังเกตการณ์จิตใจ รูปธรรมนามธรรมทั้งหลาย ว่ามันเป็นอย่างไร มันไม่เที่ยงมันเป็นทุกข์มันเป็นอนัตตา อันนี้ไม่ต้องไปคิดถึงมัน ถึงเวลามันจะเห็นเองหรอก เพราะว่าความจริงมันไม่เที่ยง ความจริงมันเป็นทุกข์เป็นอนัตตา เราไปดูว่าจริงๆมันเป็นอย่างไร

แต่จะไปดูได้นะ ใจต้องถอยออกมาเป็นคนดู ไม่มี Bias (อคติ – ผู้ถอด) ไม่มี Bias เพราะว่าชอบมัน ไม่มี Bias เพราะว่าเกลียดมัน ไม่มี Bias เพราะว่ามีความเชื่อเก่าๆแฝงอยู่ในใจของตัวเองแล้วนำความเชื่อเก่าๆนั้นไปตัดสิน แต่ต้องถอยตัวออกมาเป็นคนดู มาเป็นกรรมการ คล้ายเราเป็นผู้พิพากษานะ เราไม่ชี้ผิดชี้ถูกใคร (หมายถึง เป็นผู้พิพากษาในช่วงที่ฟังการไต่สวนคดีความ – ไม่มี Bias แต่ไม่ต้องถึงกับชี้ถูกชี้ผิดใคร – ผู้ถอด) แต่ใจเราต้องเป็นกลางจริงๆ หรือเป็นกรรมการห้ามมวยนะ ใจต้องเป็นกลางจริง แต่ถ้าหากไปเล่นมวยไว้ข้างหนึ่งนะ มันไม่เป็นกลางแล้ว มีส่วนได้เสียแล้ว

เพราะฉะนั้นเราจะต้องไม่มีส่วนได้เสียกับกายกับใจของเราเองนะ เราถึงจะเห็นความจริงของกายของใจได้ วิธีการก็คือ ต้องมาฝึกจิตให้ได้สมาธิชนิดที่ตั้งมั่นออกมา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๓๐ เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๙
File: 560209A
ระหว่างนาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๓๔ ถึงนาทีที่ ๒๕ วินาทีที่ ๓๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สมาธิเพื่อวิปัสสนา

mp3 for download : สมาธิเพื่อวิปัสสนา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : สมาธิยังมีอีกชนิดหนึ่ง สมาธิที่ใช้ในการเจริญปัญญา สมาธิชนิดนี้ไม่ใช่อารัมณูปนิชฌาน แต่เรียกว่า “ลักขณูปนิชฌาน” ลักขณูคือเห็นลักขณะ คำว่าลักขณะนี้คนไทยเรียกว่า “ลักษณะ” ลักขณะเป็นภาษาบาลี แต่คนไทยยืมศัพท์นี้มาใช้นะ ยืมภาษาสันสกฤตมาใช้ เรียกว่า “ลักษณะ” เคยได้ยินคำว่า “ไตรลักษณ์” มั้ย “ไตรลักษณะ” นะ ถ้าเป็นภาษาบาลีก็จะเป็น “ลักขณะ” กอไก่แล้วก็ต่อด้วยขอไข่

สมาธิที่เห็นไตรลักษณ์ ลักษณะของสมาธิชนิดนี้นะ จิตใจเป็นคนดู เป็นสภาวะที่เรียกว่า “ความตั้งมั่น” พวกเราไปเปิดพจนานุกรมดูให้ดีนะ สมาธิไม่ได้แปลว่าสงบ เนี่ยพวกมักง่ายแปลเอาเองว่าสมาธิแปลว่าสงบ ในพจนานุกรมทั้งหลาย ไปดูนะ คำว่า “สมาธิ” จริงๆแล้วแปลว่าความตั้งมั่นของจิต

ความตั้งมั่นของจิตหมายถึงอะไร หมายถึงจิตไม่แส่ส่ายไหลเพลินไปทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตั้งมั่นอยู่ที่ตัวเอง ไม่ใช่ไปตั้งอยู่ที่ตัวอารมณ์ ถ้าจิตของเราไหลไปตั้งนิ่งอยู่ที่ตัวอารมณ์ เรียกว่า “อารัมณูปนิชฌาน” เพ่งอยู่ในอารมณ์อันเดียว ใช้ทำสมถกรรมฐาน ถ้าจิตตั้งมั่นอยู่กับจิต ไม่ใช่ไปตั้งอยู่ที่อารมณ์นะ ตั้งอยู่กับความรู้สึกตัว รู้สึกกาย รู้สึกใจ ของตัวเอง ใจของเราจะมีความรู้สึกว่า มันเหมือนเป็นคนดูคนหนึ่ง

ร่างกายเดินอยู่ มีใจที่ตั้งมั่นเป็นแค่คนดู เห็นร่างกายเดินใจเป็นคนดู เห็นความสุขความทุกข์เกิดขึ้นในร่างกาย ใจเป็นคนดู เห็นความสุขความทุกข์ความเฉยๆเกิดขึ้นในจิตใจ ใจเป็นคนดู เห็นกิเลสเกิดขึ้นในใจ ใจเป็นคนดู ใจมันจะตั้งมั่นขึ้นมาเป็นแค่คนดู ตัวนี้แหละเอาไว้ทำวิปัสสนากรรมฐาน

งานวิปัสสนากรรมฐานคืองานวิจัยภาคสนามล่ะ ตัว Object ที่เราจะเรียน ในการวิจัยภาคสนาม ก็คือรูปธรรมและนามธรรมที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นตัวเรา เราจะเรียนเพื่อให้เห็นความจริงของรูปธรรมและนามธรรมที่ประกอบขึ้นเป็นตัวเรา ความจริงของรูปธรรมและนามธรรมอันนี้ ก็คือ “ไตรลักษณ์” นั่นเอง ร่างกายนี้ไม่เที่ยง ร่างกายนี้เป็นทุกข์ ร่างกายนี้เป็นอนัตตา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๓๐ เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๙
File: 560209A
ระหว่างนาทีที่ ๒๑ วินาทีที่ ๒๐ ถึงนาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๔๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

มีสมาธิก็ต้องมีสติกำกับ

mp3 (for download) : มีสมาธิก็ต้องมีสติกำกับ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ขอขอบคุณความเอื้อเฟื้อภาพจากบ้านจิตสบาย

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าเราพยายามตั้งใจรักษาศีล ๕ ใครมันจะหัวเราะก็ช่างมัน ตั้งใจฝึกจิตใจให้อยู่กับเนื้อกับตัว สภาวะที่จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวนั้นแหละ คือสภาวะที่จิตทรงสมาธิที่ถูกต้องอยู่ ความรู้เนื้อรู้ตัวนี่ขาดไม่ได้เด็ดขาดเลย บางคนนั่งสมาธิจนกระทั่งโลกธาตุดับนะ ร่างกายหายไป โลกหายไป เหลือจิตดวงเดียว ก็ยังไม่ขาดความรู้สึกตัว จิตไม่ขาดสติ มีสติรักษาจิตอยู่ เพราะฉะนั้นสมาธิก็ต้องมีสติกำกับ ขาดสติเคลิ้มไป เป็นมิจฉาสมาธิทันทีเลย

มีศีล ตั้งใจงดเว้นการทำบาปอกุศลทางกายทางวาจา มาฝึกจิตให้อยู่กับเนื้อกับตัว ได้สมาธิที่ถูกต้อง แล้วก็ไม่ทรงสมาธิอยู่เฉยๆ ต้องน้อมจิต มีสติระลึกรู้ เห็นความเปลี่ยนแปลงของกาย เห็นความเปลี่ยนแปลงของใจเรื่อยไป มาดูความเปลี่ยนแปลง


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันเสาร์ที่ ๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖

File: 551208A
ระหว่างนาทีที่ ๑๓ วินาทีที่ ๔๑ ถึงนาทีที่ ๑๔ วินาทีที่ ๕๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เข้าฌานไม่ได้ ก็อาศัยสมาธิทีละขณะ เจริญวิปัสสนา

mp3 for download : เข้าฌานไม่ได้ ก็อาศัยสมาธิทีละขณะ เจริญวิปัสสนา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมย์ : ในความเป็นจริงแล้วตั้งแต่สมัยพุทธกาลเป็นต้นมา พระอรหันต์ส่วนใหญ่นี่แหละ ไม่ได้มีฤทธิ์มีเดชอะไร ไม่ได้มีฌานสมาบัติยอดเยี่ยม เข้าฌานคล่องแคล่วว่องไว ส่วนน้อยเท่านั้นแหละที่ทำฌานได้ ส่วนใหญ่ก็คือคนอย่างพวกเรานี่แหละ

ในสมัยพุทธกาลมีครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านนั่งอยู่ ก็มีพระกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่กับท่าน และมีพระอีก ๕๐๐ องค์ แล้วท่านก็ชี้ให้พระ ท่านก็บอกพวกพระว่า ในพวกพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ มีพระอรหันต์ที่ได้วิชาสาม ระลึกชาติได้ รู้ว่าคนไหนตายแล้วไปเกิดที่ไหน แล้วก็ล้างกิเลสได้ เรียกว่าวิชา ๓ มีอยู่ ๖๐ องค์ จาก ๕๐๐ องค์ คือ ๑๒% พวกที่ได้วิชา ๓ เนี่ย ต้องทรงฌาน

อีก ๖๐ องค์ คืออีก ๑๒% ได้อภิญญา ๖ แสดงฤทธิ์ได้ มีหูทิพย์ มีตาทิพย์ มีเจโตปริยายญาณรู้จิตผู้อื่นได้ ทำอะไรได้หลายอย่าง นี่ก็แค่ ๑๒% คนที่ได้อภิญญา ๖ เนี่ย ต้องได้ฌาน อีกพวกหนึ่ง ๖๐ องค์ เป็นอุภโตภาควิมุตติ อุภโตภาควิมุติเนี่ย คือท่านผู้บรรลุพระอรหันต์ด้วยการที่เข้าถึงอรูปฌาน พระอรหันต์ส่วนใหญ่ที่บรรลุเนี่ย ไม่ใช่อุภโตภาควิมุติ แต่เข้าฌานในระดับรูปฌาน ฌาน ๑ – ๒ – ๓ – ๔ แล้วไปบรรลุพระอรหันต์ในฌาน ๑ – ๒ – ๓ – ๔ มีพระอรหันต์เพียง ๖๐ องค์เท่านั้นที่เข้าถึงอรูป จาก ๕๐๐ องค์ ก็ ๑๒% เหมือนกัน

ทำไมเรียกว่าอุภโตภาควิมุติ อุภโตภาควิมุติแปลว่าหลุดโดยส่วนทั้งสอง หลุดจากรูปธรรมด้วยการเข้าอรูปฌาน หลุดจากนามธรรม ปล่อยวางนามธรรม ได้ด้วยวิปัสสนาญาณ เพราะฉะนั้นเป็นพระอรหันต์ที่แปลกออกไปอีกพวกหนึ่ง พวกนี้มีฌานเหมือนกัน

เพราะฉะนั้นพวกที่มีฌาน คือพวกวิชาสาม ๖๐ องค์ พวกอภิญญา ๖ ๖๐ องค์ แล้วก็พวกอุภโตภาควิมุติอีก ๖๐ องค์ รวมเป็น ๑๘๐ องค์ คือ ๓๖% ที่เหลือคือคนอย่างพวกเรานี่แหละ อีกเท่าไหร่ ๖๔ %

ถ้ามาถึงวันนี้นะ คนที่ทรงฌานได้มีไม่ถึง ๓๐ กว่าเปอร์เซนต์หรอก ยิ่งน้อยหนักเข้าไปอีก เพราะฉะนั้นพวกเราอย่าได้น้อยเนื้อต่ำใจว่าเราเข้าฌานไม่เป็น กระทั่งในสมัยพุทธกาล พระอรหันต์ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ทรงฌานขนาดนั้น มาได้ฌานทีหลีงเมื่อบรรลุพระอรหันต์แล้ว อย่างน้อยก็ได้ปฐมฌานเป็นของแถม

เพราะฉะนั้นพวกเราอาศัยสมาธิที่เรามีเล็กๆน้อยๆนี่ล่ะ อย่าดูถูกมัน น้ำหยดทีละหยดก็เต็มตุ่มได้ เราก็มีสมาธิทีละขณะ ทีละขณะ นี้แหละ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๖
File 550701
ระหว่างนาทีที่ ๑๙ วินาทีที่ ๒๓ ถึงนาทีที่ ๑๒ วินาทีที่ ๓๓

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การภาวนา ต้องเดินปัญญาให้ได้

mp3 for download : 550701.00m00-01m37

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมย์ : ตอนนี้เห็นทุกข์มากขึ้นมั้ย หรือภาวนามีแต่ความสุข การภาวนามี ๒ ขั้นนะ ขั้นแรก ทำให้จิตตั้งมั่นก่อน เรียกว่าจิตตสิกขา จิตตั้งมั่นมีสมาธิ มีความสุข ไม่ได้ทำอะไร แค่รู้สึกตัวขึ้นมา จิตมันไหลไป เรารู้สึกตัวขึ้นมา จิตก็ตั้งมั่น ก็มีความสุขผุดขึ้นมา

เพราะฉะนั้นหัดกับหลวงพ่อใหม่ๆนะ จะมีความสุขเยอะมากนะ ไม่ได้ทำอะไรก็มีความสุข มีความสุขผุดขึ้นมา ตรงนั้นเราฝึกในขั้นที่เรียกว่า จิตตสิกขา เรารู้ทันจิต ในการภาวนาเนี่ย ถ้าไม่รู้ทันจิต ใช้ไม่ได้จริง

เพราะฉะนั้นเรื่องจิตตสิกขาเป็นเรื่องใหญ่ ก็เรียนจนกระทั่งจิตมันตั้งมั่น ถึงฐานของมันจริงๆ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน โดยไม่ได้เจตนา ยังเจตนาอยู่ ยังไม่ใช่ของจริง

เพราะฉะนั้นบางที เราหัดใหม่ๆ จิตเราไหลไปเผลอไป เรารู้ทัน เรารู้สึกตัว จิตตั้งมั่นขึ้นมา จิตตื่นขึ้นมา ก็มีความสุข เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อยู่ดีๆก็มีความสุขโชยขึ้นมาเป็นระยะๆ ทั้งวันเลย มีความสุขเยอะเลย

แต่ทีนี้การภาวนาไม่ได้ไปหยุดอยู่แค่การทำสมาธิ ต้องเดินปัญญาให้ได้

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๖
File 550701
ระหว่างนาทีที่ ๐ วินาทีที่ ๐ ถึงนาทีที่ ๑ วินาทีที่ ๓๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การฝึกสมาธิเต็มภูมิ เพื่อเตรียมความพร้อมเจริญวิปัสสนา

mp3 for download : 540710.11m30-14m39

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ในพระไตรปิฎกก็พูดถึงจิตที่เหมาะสมกับการเจริญปัญญาไว้ แต่ท่านพูดเต็มภูมิตามทฤษฎีนะ แล้วก็เต็มภูมิเลยของผู้ปฏิบัติชั้นเลิศ คือหัดเข้าฌานเสียก่อน พอเข้าฌานนะ ถึงฌานที่ ๒ วิตกวิจารดับไป สติไม่ดับนะ มีสติและมีใจเป็นผู้รู้ผู้ดูอยู่ ตรงที่ใจเป็นผู้รู้ผู้ดูนี้ต้องมีมาตลอด ต้องฝึกมา ค่อยๆฝึก

ยกตัวอย่างหายใจอยู่ ค่อยๆฝึก หายใจอยู่ค่อยๆรู้สึก อย่าให้เคลิ้มไป อย่าให้ขาดสติ ลมหายใจค่อยสั้นเข้าๆ ในที่สุดลมหายใจแปรสภาพมาหยุดนิ่ง กลายเป็นแสงสว่าง มีสติรู้แสงสว่างนั้นแทนลมหายใจ ตัวลมหายใจเรียกว่าบริกรรมนิมิตร ตัวแสงสว่างเรียกว่าอุคหนิมิตร เมื่ออุคหนิมิตรเกิดขึ้นก็ทิ้งบริกรรมนิมิตรไป มารู้แสงสว่าง ฝึกไปเรื่อยนะ มันจะเล็กก็ได้ใหญ่ก็ได้ ทำให้มันเต็มโลกเลยก็ได้ แสงนี้น่ะ จะให้เล็กเท่าปลายเข็มเลยก็ได้ เล่นเข้าเล่นออกนะ จิตจะสนุก มีปีติซาบซ่าขึ้นมามันสะใจดี มีความสุขขึ้นมา

จิตมีวิตก คือตรึกอยู่ในแสงสว่าง จิตมีวิจาร คือเคล้าเคลียอยู่กับแสงสว่าง จิตมีปีติ มีความสุข ที่ได้รู้ได้เล่นกับแสงสว่างนั้น จิตเป็นหนึ่งไม่หลงไปที่อื่น ปฐมฌานก็เกิดขึ้น พอปฐมฌานเกิดขึ้น จิตมีปีติจิตมีความสุขเนี่ย ถ้าสติรู้ทันนะ ความตรึกความตรองในแสงสว่างจะหายไป ตัวนี้เป็นภาระของจิต พอจิตทิ้งการตรึกการตรองนะ จิตผู้รู้แท้ๆก็จะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่คิดอยู่นะ เมื่อนั้นไม่รู้หรอก เมื่อไหร่ตรึกอยู่เมื่อนั้นไม่รู้หรอกนะ ยังไม่ใช่ตัวรู้ ตัวรู้จะไปเกิดในฌานที่ ๒ ในพระไตรปิฎกจะพูดอย่างนี้

ตัวรู้เป็นตัวรู้เกิดขึ้นมาแล้วนะ เห็นปีติ สุข พอเห็นปีติ ปีติจะดับ เพราะปีติเป็นความหวือหวาของจิต เป็นภาระของจิต ก็ดับไป เห็นความสุขเด่นดวงขึ้นมา สติระลึกลงไปในความสุข จิตเป็นผู้รู้ผู้ดูอยู่นะ ความสุขก็จะดับเพราะความสุขเป็นภาระของจิต เป็นส่วนเกิน หวือหวาไป จิตก็เป็นอุเบกขา กับเอกัคคตา จิตทรงตัวเป็นผู้รู้ รู้อยู่นะ มีเอกัคคตา

พอออกจากสมาธิชนิดนี้แล้ว ท่านจะพูดเลยว่า มีจิตเบา มีจิตอ่อน มีจิตนุ่มนวล คล่องแคล่วว่องไว ควรแก่การงาน โน้มน้อมจิตชนิดนี้นะ ไปเพื่อญาณทัสนะ เห็นมั้ยท่านเตรียมความพร้อมของจิตนะ ก่อนที่จะเจริญปัญญา เพราะฉะนั้นอยู่ๆจะไปเจริญปัญญาโดยที่ไม่เตรียมความพร้อมของจิต ทำไม่ได้ แต่ไม่ใช่ให้เข้าฌานทุกคนนะ คนที่เข้าฌานได้มีน้อยกว่าคนที่เข้าฌานไม่ได้ ตั้งแต่พุทธกาลแล้ว


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันอาทิตย์ ที่ ๑๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔

CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๑
ไฟล์ 540710
ระหว่างนาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๓๐ ถึง นาทีที่ ๑๔ วินาทีที่ ๓๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

วิธีการฝึกฝนจิต

mp3 for download : วิธีการฝึกฝนจิต

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : จิตเป็นเด็กซุกซนนะ แต่ขี้อาย เวลาเผลอเมื่อไหร่มันหนีไปเที่ยว ถ้ารู้ทันมันนะ มันไม่ซนนะ มันเข้ามาอยู่ที่บ้าน ไม่ซนไปที่อื่น แต่เราอย่าเอาโซ่ไปล่ามมัน เอาโซ่ไปล่ามคือเอาไปเพ่งไว้ มันหนีไปแล้วไม่รู้ทันนี่คือมันหลงไป อย่าให้มันสุดโต่งไปข้างมันหนีไปมันหลงไปโดยไม่รู้ทัน และไม่ใช่ว่ามันไม่หนีไปเพราะถูกบังคับอยู่

ตรงที่มันหนีไปแล้วรู้ไม่ทันนะ เรียกว่ากามสุขัลลิกานุโยค สุดโต่งไปข้างตามใจกิเลส ตรงที่บังคับไว้ไม่ให้หนีเลยเป็นการสุดโต่งมาข้างบังคับตัวเอง เรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค สองอันนี้แหละที่ทำให้เราพลาดจากทางสายกลาง คือทางแห่งการรู้

เพราะฉะนั้นเราต้องรู้ให้เป็น ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่งแล้วรู้ทันจิตไปเรื่อยๆ จิตไหลไปแล้วรู้ ไหลไปดู ไหลไปฟัง ไหลไปคิด ไหลไปเพ่ง รู้ทันเรื่อยๆ นี่แหละเรียกว่าเรียนเรื่องจิต ถ้าเราเรียนเรื่องจิต จิตจะค่อยๆตั้งมั่นขึ้นมา โดยเฉพาะจิตที่หลงไปคิดนะ ถ้าเรารู้ทันจิตที่หลงไปคิดนะ จิตผู้รู้จะเกิดขึ้นในฉับพลันนั้นเลย เพราะรู้กับคิดนั้นกลับข้างกัน เหมือนเหรียญอันเดียวกันนะ แต่ด้านหัวด้านก้อยกลับข้างกัน เมื่อไหร่รู้ว่าจิตคิด เมื่อนั้นจิตรู้ก็เกิดขึ้น อันนี้ดีที่สุดเลย

แต่รู้ว่าจิตเพ่งจะไม่ค่อยหายเพ่ง รู้ว่าเพ่งก็ยังเพ่งไปเรื่อยๆ เพราะดูไม่ออกว่าโลภ เบื้องหลังการเพ่งคือความโลภ อยากรู้อยากเห็นอยากเป็นอยากได้อยากดีอยากเด่น มีอยากซ่อนอยู่ ทำให้มานั่งคอยจ้องไม่ให้คลาดสายตา อันนั้นดูด้วยความโลภ ใช้ไม่ได้ทำไปด้วยกิเลส มีกิเลสแล้วเกิดการกระทำกรรม เกิดการเพ่งการจ้อง มีความโลภแล้วก็ไปเพ่งไปจ้อง

ในตำราสอนนะว่า กิเลสเป็นสหชาตปัจจัยของกรรม กิเลสทำให้เกิดการกระทำกรรมทางใจ โลภขึ้นมาแล้วอยากจ้อง อยากจ้องแล้วไปจ้อง เกิดความอยากจ้องนี่ล่ะความโลภ ก็ไปจ้องเอาไว้ไม่ให้คลาดสายตา นี่คือการกระทำกรรม ในขณะที่เรากระทำกรรมด้วยความอยาก ความอยากก็ยังดำรงอยู่

เพราะฉะนั้นตลอดเวลาที่เราจ้องอยู่ด้วยความโลภอยากรู้ให้ชัดนะ ความอยากรู้นั้นยังดำรงอยู่ สติจะไม่เกิดเลย สติจะเกิดร่วมกับอกุศลไม่ได้เด็ดขาดเลย ถ้าเมื่อไหร่สติเกิดเมื่อนั้นจะไม่มีอกุศลนะ เมื่อไหร่สติหายไปเมื่อนั้นมีอกุศลได้ แต่บางทีก็มีวิบาก จิตบางดวงก็เป็นอกุศลจิต จิตบางดวงเป็นวิบากเฉยๆ ไม่ต้องมีสติ แต่มีสติเมื่อไหร่จิตจะเป็นกุศลทันที จะเป็นอกุศลไปไม่ได้

เพราะฉะนั้นในขณะที่เราปฏิบัติแล้วเราจ้องเอาๆนั้น สติตัวจริงไม่เกิดนะ เพราะความโลภมันเกิดอยู่ ไม่มีพื้นที่เหลือให้สติเกิด ให้เรารู้ทัน ถ้าเกิดว่าเราไปจ้องอยู่เนี่ย วิธีแก้จ้องนะ ให้รู้ทันว่ามันอยาก อยากรู้ให้ชัด อยากรู้ให้ไม่คลาดสายตา อยากรู้ตลอดเวลา อยากรู้ให้ทัน เป็นการดักดู ไปคอยดักดู ดักดูเมื่อไหร่ก็คือเพ่งเมื่อนั้นแหละ ถ้าเรารู้ทันใจที่โลภใจที่อยากนะ มันก็ไม่เพ่ง ถ้ารู้ไม่ทันมันก็เพ่ง

เราค่อยๆสังเกตนะ จนใจของเรา สังเกตจิตบ่อยๆ ในที่สุดเราจะได้สมาธิที่ดีขึ้นมา คือจิตที่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน จิตที่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานนะ จะมีความเบานะ ถ้าหนักๆจะไม่ใช่ของจริง จิตที่เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานจะมีความอ่อนโยนนุ่มนวล ถ้าแข็งกระด้าง ไม่ใช่ของจริง อย่างที่พวกเราชอบนั่งสมาธิ รู้สึกมั้ย จิตหนักๆ บางทีจิตแน่นๆแข็งๆ นั่นเป็นสมาธิชั้นเลวนะ ไม่ใช่สมาธิที่เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานนะ เป็นสมาธิชั้นเลว ใช้ไม่ได้ เอาจิตอย่างนั้นไปเจริญปัญญาไม่ได้


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันอาทิตย์ ที่ ๑๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔

CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๑
ไฟล์ 540710
ระหว่างนาทีที่ ๗ วินาทีที่ ๙ ถึง นาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๓๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สัมมาสมาธิ

mp 3 (for download) : สัมมาสมาธิ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ :ตัวสัมมาสมาธิเนี่ย เป็นสิ่งที่หลวงพ่อเห็นว่าพวกเราพลาดมากที่สุดเลย สติอีกตัวนึงพลาดมาก นี้สติยังไปเพ่งๆอะไรขึ้นมา สติยังเกิดได้นะ แต่สัมมาสมาธินี่เกิดยากมากเลย

เพราะพวกเราคุ้นเคยกับมิจฉาสมาธิ สมาธิที่เพ่งเอา เราไม่คุ้นเคยกับสมาธิที่จิตตั้งมั่นในการรู้อารมณ์ เราคุ้นเคยแต่สมาธิที่จิตเข้าไปตั้งแช่อยู่ในตัวอารมณ์ จิตที่ไปตั้งแช่นิ่งอยู่กับอารมณ์นะ เรียกว่า “อารัมมณูปนิชฌาน” เป็นจิตที่ใช้ทำสมถะนะ มีการทำสมถะ เพราะงั้นเราไปดูท้องพองยุบ แล้วเราเพ่งจิตไปเกาะที่ท้องเนี่ย สมถะ รู้ลมหายใจแล้วจิตไปเกาะนิ่งอยู่กับลมหายใจนี่ สมถะ ค่อยๆฟังนะ ฟัง ค่อยๆเรียน ค่อยๆฟังไป

จิตที่เป็นสัมมาสมาธิเกิดแล้วเนี่ย ปัญญาถึงจะเกิดได้ เพราะปัญญามีสัมมาสมาธิเป็นเหตุใกล้ให้เกิด ปัญญาไม่ใช่เกิดจากการคิดนะ ปัญญาที่เกิดจากการคิดเรียก “จินตามยปัญญา” ไม่ใช่  “ภาวนามยปัญญา” ภาวนามยปัญญาเนี่ย เกิดจากจิตตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิ เป็นแค่ผู้รู้ ผู้ดู เห็นปรากฎการณ์ทั้งหลาย ปรากฏขึ้นมา เกิดขึ้นมา แล้วก็ดับไป เห็นสภาวะธรรมทั้งหลายในแต่ละปรากฎการณ์ ล้วนแต่ไม่ใช่ตัวเราทั้งสิ้น ใจมันจะเห็นอย่างนี้นะ มันถึงมีปัญญา

งั้นตัวนี้ต้องเรียนนะ หลวงพ่อก่อนจะบวชเนี่ย หลวงพ่อตระเวนไปตามสำนักต่างๆมากมาย หลวงพ่อไปดูว่าเราจะไปบวชสำนักไหนดี บางแห่งสำนักดีนะ ครูบาอาจารย์ดี แต่ครูบาอาจารย์ไม่มีเวลาเลย ครูบาอาจารย์ไม่อยู่วัดน่ะ รับนิมนต์ไปทุกวันๆนะ หายไปเลย หรือบางแห่งมีแต่รูปแบบ หลายแห่งเพ่งลูกเดียว กระทั่งในสำนักที่บอกว่าทำแต่วิปัสสนานะ จริงๆแล้วติดสมถะ เกือบทั้งหมดน่ะติดสมถะ นักปฏิบัติ

เพราะว่าอะไร เพราะว่าเวลาเราเรียนธรรมะ เราเรียนข้ามขั้น เราถือศีล พอเรามีศีลสิกขาใช่มั้ย แล้วเราก็ไปกำหนดรูปนามเลย เราไปเจริญปัญญาสิกขา เราข้ามจิตสิกขาไปบทเรียนนึง

เพราะงั้นถ้าเราไม่ได้เรียนจิตสิกขาให้ถ่องแท้ซะก่อนเนี่ย จิตจะไม่มีสัมมาสมาธิ งั้นจิตจะไปเพ่ง ไปรู้ท้องก็เพ่งท้อง รู้เท้าเพ่งเท้า รู้ลมเพ่งลม รู้มือเพ่งมือ รู้อะไรก็เพ่งอันนั้น จะไม่สักว่ารู้สักว่าเห็น พวกเราเรียนข้ามขั้นนะ

เนี่ยเที่ยวตระเวนไปนะ บางที่ก็ส่วนใหญ่จะไปแอบดูเค้านะ ถ้าไปนั่งเรียนเนี่ยมันยาวใช่มั้ย หลายชั่วโมงหลายวัน ส่วนมากหลวงพ่อเป็นคนใจเราว่องไวหน่อย เราไปแอบดู ดูตัวอาจารย์นั่นแหล่ะดีที่สุดเลย ดูเวลาอาจารย์เค้าภาวนานะ ก็จะโอ้ เข้าใจรวดเร็ว

นี้ไปเห็นหลวงพ่อเทียน หลวงพ่อเทียนนี้เนี้ยบจริงๆ ลูกศิษย์หลวงพ่อเทียนที่เยี่ยมมากๆก็หลวงพ่อคำเขียนนี่แหล่ะ

งั้นถ้าใจเรามีสัมมาสมาธิ มันจะตั้งมั่น สักว่ารู้สักว่าเห็น ปัญญามันจะเกิด มันจะเห็นเลย ทุกอย่างเนี่ยไม่ใช่ตัวเรา แต่ถ้าใจเราไม่มีสัมมาสมาธิ ไม่ตั่งมั่น ไปดูอะไรมันก็จะเป็นเราไปหมดเลย เห็นความโกรธเกิดขึ้น มันก็เป็นเราโกรธ เห็นขามันเมื่อย ก็เป็นขาของเราเมื่อย จะเป็นอย่างนี้ตลอด

เพราะนั้นเวลาที่เราใจเราไม่ตั้งมั่น ไปรู้สิ่งต่างๆนะ เราจะสะสมความรู้สึกผิดๆ ความเห็นผิดๆตลอดเวลาเลย สะสมว่ามันมีตัวเรา มันมีตัวเรา แต่ถ้าเรามีสติถูกต้องที่เรียกว่า”สัมมาสติ” มีสมาธิถูกต้องเรียกว่า”สัมมาสมาธิ”นี่ ปัญญาที่เกิดขึ้นจะเป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นปัญญาที่ถูกต้อง


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ ศาลากาญจนาภิเษก (ศาลาลุงชิน)
เมื่อวันวันอาทิตย์ที่ ๒๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

CD: ศาลาลุงชิน ครั้งที่ ๑๑
File: 500520.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๔ วินาทีที่ ๑๙ ถึง นาทีที่ ๒๘ วินาทีที่ ๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ศีล สมาธิ ปัญญา ในองค์มรรค (๓) ถ้าไม่มีศีล ก็ไม่มีสมาธิ

ศีล สมาธิ ปัญญา ในองค์มรรค (๓) ถ้าไม่มีศีล ก็ไม่มีสมาธิmp 3 (for download) : ศีล สมาธิ ปัญญา ในองค์มรรค (๓) ถ้าไม่มีศีล ก็ไม่มีสมาธิ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ศรีราชา ชลบุรี
เอื้อเฟื้อภาพโดย บ้านจิตสบาย

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าทุศีลสักอย่างหนึ่ง อย่ามาอวดเรื่องสมาธิเลย ถ้าไม่มีศีลนะ สมาธิที่เคยมีก็จะเสื่อม จะเสื่อมเห็นๆเลย มีตัวอย่างให้เห็น แต่จะเห็นหรือไม่เห็นนั้น ก็สุดแต่ แต่ละคนจะเห็น

ยกตัวอย่างพระเทวฑัต มีสมาธินะ เหาะได้ แปลงตัวได้ ปลอมตัวเป็นเด็กได้ ทำเป็นเบบี๋มาหลอกอชาติศัตรู แต่ว่าไม่ถือศีลนะ ในที่สุดสมาธิเสื่อม เคยเหาะได้นะ ในที่สุดต้องให้คนหามมาเฝ้าพระพุทธเจ้า

พวกพระก็รีบมาส่งข่าวให้พระพุทธเจ้ารู้ว่า พระเทวฑัตกำลังเดินทางมาแล้ว กำลังจะมาเฝ้า เพื่อว่าจะมาขอขมาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านบอกว่ามาไม่ถึงหรอก เทวฑัตนี้มาไม่ถึง บาปมาก มาไม่ถึง พวกพระก็คอยไปสืบนะ โอ้.. ตอนนี้มาถึงประตูเมืองแล้วพระเจ้าข้า… มาไม่ถึงหรอก… ตอนนี้มาถึงประตูวัดแล้วพระเจ้าข้า… ไม่ถึงหรอก…

พอมาถึงประตูวัด ใกล้ๆวัดแล้วเนี่ย แกก็พักนะ กินน้ำกินท่า คล้ายๆล้างหน้าล้างตา เดินทางมาไกล ถูกดินดูดลงไปตรงนั้น ไม่ถึงจริงๆ

เนี่ยทำไมไม่เหาะมา เหาะมาไม่ไหวแล้ว เหาะมาไม่ได้ ทำอะไรเก่งๆได้เหนือมนุษย์ธรรมดา ตอนนี้ทำไม่ได้แล้ว เพราะขาดศีลอันหนึ่ง สมาธิจะเสื่อม เพราะฉะนั้นพวกเรามีศีลไว้นะ คนที่มีศีลเนี่ย สมาธิเกิดง่าย


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
เมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๔
Track: ๑๒
File: 530425A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๔ วินาทีที่ ๒๐ ถึง ๕ วินาทีที่ ๕๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 1 of 212