Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

ความรักตัวเองผลักดันให้จิตปรุงแต่ง

mp3 for download: ความรักตัวเองผลักดันให้จิตปรุงแต่ง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: ดูต่อไปได้ไหมว่าอะไรผลักให้ปรุง

โยม: ความคิด

หลวงพ่อปราโมทย์: ลึกลงไปเลยนะคือความรักตัวเอง เรารักตัวเองเราก็เลยอยากให้มันดี อยากให้มันสุข อยากให้มันสงบ พอมันไม่ดีไม่สุขไม่สงบก็ดิ้น พอจิตใจยิ่งดิ้น จิตใจยิ่งทุกข์ พอจิตใจยิ่งทุกข์จิตใจก็ยิ่งดิ้นไปเรื่อย น่าสงสาร แต่ช่วยไม่ได้ ตัวใครตัวมัน

โยม: นึกถึงคำหลวงพ่อที่ว่าสมน้ำหน้ามันก็ยังนึก เออใช่ สมน้ำหน้ามัน ทำเอง

หลวงพ่อปราโมทย์: เออนะ ดูไป ทำเองแหละ ใครเขาหาความทุกข์มาให้เรา เราหาเอง คนอื่นสร้างปัญหาให้ได้นะ จิตใจเราเข้าไปหยิบไปฉวย เราอยากให้ปัญหานี้หายไป อยากให้เป็นอย่างอื่น มันไม่ได้เป็นไปอย่างที่ใจอยากมันก็ต้องทุกข์แหละ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑๘ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๙ ก่อนฉันเช้า
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๖
ระหว่างนาทีที่ ๘ วินาทีที่ ๐๗ ถึง นาทีที่ ๙ วินาทีที่ ๐๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : เมื่อจิตเดินปัญญา

 

เมื่อจิตเดินปัญญา

 ขณะจิตที่เดินปัญญา

 ขณะนั้นจิตจะแค่รู้แค่ดูสภาวธรรมที่กำลังปรากฏอยู่เท่านั้น

 จะไม่นึกคิดอะไรขึ้นมา

 

 ขณะจิตที่กำลังนึกคิดเรื่องอะไรที่แม้จะเป็นเรื่องไตรลักษณ์ก็ตาม

 ขณะนั้นจิตจะไม่เดินปัญญา

 

 จิตจะเดินปัญญาหรือไม่เดินปัญญา

 ก็เป็นอนัตตา เลือกไม่ได้ สั่งไม่ได้ เหมือนๆ กับจิตอื่นๆ

 จึงต้องทำเหตุให้จิตเดินปัญญาไปสบายๆ

 

 ด้วยการฝึกสติรู้สภาวธรรมด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง

 เมื่อฝึกได้ถูกต้อง จิตจะเกิดสติอัตโนมัติ จะตั้งมั่นและเป็นกลาง

 แล้วจะเดินปัญญาเห็นไตรลักษณ์ของสภาวธรรมต่างๆ ได้เอง

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทำๆหยุดๆ จิตจะไม่เห็นไตรลักษณ์

mp 3 (for download) : ทำๆหยุดๆ จิตจะไม่เห็นไตรลักษณ์

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม : ช่วงนี้เวลาที่สมาธิมันลดลงก็จะยังพอเห็นได้บ้าง แต่คุณภาพการเห็นมันยังไม่ดีเท่าไหร่

หลวงพ่อปราโมทย์ : ใช่ๆ ขาดสมาธิไม่ได้หรอก มันจะเดินปัญญาไม่ได้จริง

โยม : แต่ว่าเวลามันวุ่นวายมากๆ สมาธิมันก็ดร็อปลงไปเอง

หลวงพ่อปราโมทย์ : เออ..นะ เราก็ต้องฝึก สมาธิเป็นของไม่เที่ยง ต้องซ้อม ซ้อมให้ใจตั้งมั่น ใจไหลไปแล้วคอยรู้ อะไรอย่างนี้ ซ้อมเรื่อยๆนะ สมาธิจะดี

โยม : ต้องปรับอะไรเป็นพิเศษมั้ยครับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ที่ทำอยู่ดีแล้วล่ะนะ เพราะฉะนั้นช่วงไหนมันเสื่อมลง ก็ภาวนาของเราไปตามปกตินั่นแหละ ทุกวันทำให้สม่ำเสมอ อย่าทำๆหยุดๆก็แล้วกัน (โยม : ครับ) ถ้าทำๆหยุดๆแล้วเนี่ย จิตจะไม่เห็นไตรลักษณ์ มันจะรู้สึกว่าช่วงนี้ทำแล้วก็เจริญ พอหยุดแล้วก็เสื่อม เนี่ย มันเสื่อมเพราะฉันไม่ได้ทำ ถ้าฉันทำก็เก่ง อะไรอย่างนี้ แต่ถ้าทั้งๆที่เราทำสม่ำเสมอแล้วเสื่อมให้ดูนะ อันนี้ดีมากเลย หายซ่าเลยล่ะ

โยม : คือปัจจุบันนี้ก็ยังทำสม่ำเสมออยู่ แต่มันก็ แต่ผมรู้สึกว่ามันเสื่อมไปตามเหตุการณ์ภายนอกด้วยครับ พอภายนอกวุ่นวาย มันก็จะเสื่อมลงไปล

หลวงพ่อปราโมทย์ : เออ..นะ แสดงว่าข้างนอกยังมีอิทธิพล ก็ฝึกไปอีก ทำต่อ จนวันหนึ่งข้างนอกก็ไม่มีอิทธิพล ข้างในก็ไม่มีอิทธิพล จิตเป็นอิสระ ตอนนี้จิตเราไม่มีอิสระ รู้สึกมั้ย มีสิ่งเร้าจิตก็แกว่งตามมัน เอานะ ต้องฝึกอีก ยังไม่พอ ถ้าฝึกพอแล้ว มันเร้าก็เร้า เรื่องของมันนะ ใจเราก็อยู่สบาย สว่างอยู่อย่างนั้น


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
เมื่อ วันเสาร์ที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๕ หลังฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๖
Track: ๓
File: 550630B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๒ วินาทีที่ ๒๖ ถึง นาทีที่ ๒๔ วินาทีที่ ๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : ผู้ได้โสดาบันแล้วจะรู้ตัวหรือไม่ว่าได้โสดาบันแล้ว?

ผู้ได้โสดาบันแล้วจะรู้ตัวหรือไม่ว่าได้โสดาบันแล้ว?

คำถามที่ว่าผู้ได้โสดาบันแล้ว รู้ตัวหรือไม่ว่าได้โสดาบัน
และคุณกล่าวถึงเรื่อง จิตบอก นั้น
ที่จริงจิตไม่ได้บอกว่า “เอ้า ตอนนี้เธอได้พระโสดาบันแล้วนะ”
แต่มันเป็นภาวะที่ต่อจากผลญาณ คือหลังผลญาณ
จิตจะรวมลงภวังค์นิดหนึ่งแล้วมีสัญญาเกิดขึ้น
จากนั้นมันจะทวนถึงเรื่องที่เพ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ
นับแต่การเกิดมรรค ซึ่งมรรคได้ประหารสิ่งห่อจิตที่บริสุทธิ์ให้แหวกออก
จนธรรมชาติบริสุทธิ์ล้วนๆ ได้แสดงตัวออกมา 2 – 3 ขณะ
รู้ชัดว่า  สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นล้วนดับไปทั้งสิ้น
และมีเพียงธรรมชาติที่พ้นจากความปรุงแต่งอยู่จริงๆ
ซึ่งไม่มีความเป็นอัตตาตัวตนใดๆ แม้แต่น้อยหนึ่ง
จิตนับแต่นี้ไป ไม่มีความหลงผิดอีกแล้วว่า
สิ่งใดสิ่งหนึ่ง แม้แต่จิตเอง รวมทั้งนิพพาน
จะเป็นตัวตนของตนขึ้นมาได้อีก
และจิตรู้อีกว่า เมื่อผ่านมรรคผลไปแล้ว
จิตก็กลับถูกอวิชชาตัณหาอุปาทานห่อหุ้มคลุมบังไว้อีก
กิจที่ยังต้องต่อสู้ยังมีอยู่อีก

ที่ว่าจิตบอกนั้น มีอาการและสิ่งที่บอก ดังที่เล่ามานี้ครับ
ทางปริยัติท่านเรียกว่าปัจจเวกขณญาณ
สรุปแล้วจิตไม่ได้บอกว่าเธอได้โสดาบัน
แต่ทวนให้รู้ถึงสภาวธรรม 5 ประการคือ
มรรค ผล นิพพา กิลเสที่ละแล้ว และกิเลสที่เหลืออยู่

บางท่านไม่เคยเรียนปริยัติ จิตจะรู้สภาวะเท่านั้น
จึงเรียกไม่ถูกว่าอันนี้มรรค อันนี้ผล อันนี้นิพพาน อันนี้เรียกว่าโสดาบัน
เพียงแต่จิตเข้าถึงความบริสุทธิ์ และรู้ เท่านั้นเอง
ไม่สามารถบัญญัติชื่อออกมาได้
และตรงนี้แหละครับ ที่ทำให้บางท่านเล่าว่า มรรคเป็นอย่างนี้
ผลเป็นอย่างนี้ แล้วเหลื่อมๆ กับปริยัติ
เพราะท่านเอาสภาวะจิตชุดหนึ่งมาแยกซอยออกไปเป็นช่วงๆ
ว่าตรงนี้มรรค ตรงนี้ผล ตรงนี้ปัจจเวกขณะ
แต่การแบ่งซอยของท่านไม่ตรงตำรานัก
ทั้งที่สิ่งนั้น  ก็เป็นสิ่งเดียวกันนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม บางครั้งตำราที่ดูละเอียดอย่างยิ่งนั้น
ก็ยังข้ามภาวะบางอย่างไปบ้าง
แล้วไปขยายความละเอียดในอีกบางจุดที่ผู้ปฏิบัติท่านนั้นผ่านข้ามไปในแว้บเดียว
ก็เลยพูดกันไม่ค่อยรู้เรื่องระหว่างปริยัติกับปฏิบัติในบางคราว

สรุปแล้ว มรรคผลนิพพานไม่ใช่ของพ้นสมัย
ใครทำถูก คนนั้นก็ได้ครับ

โดย คุณสันตินันท์ (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

เมื่อวันที่ 11 เม.ย. 2542

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตเจริญแล้วเสื่อมอยู่ตลอดเวลา

mp 3 (for download) : จิตเจริญแล้วเสื่อมอยู่ตลอดเวลา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม : ก็จะเห็นความเจริญแล้วก็เสื่อมอย่างที่หลวงพ่อเคยบอกน่ะค่ะ (หลวงพ่อปราโมทย์ : ใช่) จะเป็นช่วงๆ แล้วก็เป็นได้บ่อยมากค่ะ (หลวงพ่อปราโมทย์ : นั่นล่ะดี) เป็นวงจรเยอะมาก

หลวงพ่อปราโมทย์ : แต่ก่อนหลวงพ่อภาวนานะ อาทิตย์หนึ่งเนี่ย เจริญแล้วเสื่อม ๑ รอบ บางคนยาวกว่านี้ บางคนสั้นกว่านี้ แต่พอเราภาวนาจนชำนาญเลย เราจะเห็นเลย เจริญแล้วเสื่อมอยู่ตลอดเวลา อันไหนเกิดอันนั้นก็ดับ เรียกว่าเจริญแล้วเสื่อม

โยม : อ่อ ค่ะ ไม่ทราบว่าการที่เสื่อมนี้ เพราะว่าเราย่อหย่อนหรือว่าเป็นธรรมชาติ

หลวงพ่อปราโมทย์ : เป็นปกติ แต่ว่ามีเงื่อนไขอยู่อย่างหนึ่งนะ เราต้องปฏิบัติสม่ำเสมอ ตัวนี้ตัวสำคัญมาก ถ้าหากช่วงไหนเราปฎิบัติแล้วก็เจริญ แล้วเราขี้เกียจไม่ปฏิบัติแล้วเสื่อม เราจะรู้สึก เกิดความรู้สึกผิดๆ เห็นผิดว่า “ที่เสื่อมเพราะฉันไม่ได้ปฏิบัติ ถ้าฉันปฏิบัติมันก็จะดีไปตลอด” แต่ถ้าเราทำสม่ำเสมอทุกวันนะ ทุกวันทำเรื่อยๆเหมือนกันทุกวันเลย เจริญบ้าง เสื่อมบ้าง เราจะเห็นเลยว่าา เราบังคับมันไม่ได้ นี่จะเห็นความจริงก็ตรงนี้แหละ

เพราะฉะนั้นการปฏิบัติจะเว้นวรรคไม่ได้ ต้องทำทุกวัน

โยม : ค่ะ ทีนี้บางวันก็จะรู้สึกว่า รู้สึกตัวได้ดีนะคะ (หลวงพ่อปราโมทย์ : เออ.. เป็นอย่างนั้นทุกคนแหละ) จะรู้สึกตัวเอง แล้วบางวันก็แทบไม่รู้สึกตัวเลย เวลาที่ไปอยู่กับโลก

หลวงพ่อปราโมทย์ : บางวันนะ มันภาวนาไม่เป็นเลย เป็นอย่างนั้นทุกคนแหละ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันศุกร์ที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๒ ก่อนฉันเช้า


สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๐
File: 520424.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๔ วินาทีที่ ๕๓ ถึง นาทีที่ ๒๖ วินาทีที่ ๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : ความเป็นตัวเรา

ความเป็นตัวเรา

พอรู้สึกว่ามีความเป็นตัวเรา
ก็อย่าหลงไปเรียนลักษณะเฉพาะตัวของความเป็นตัวเรานะครับ
ให้เรียนแต่ที่เป็นไตรลักษณ์ของมันเท่านั้นพอแล้ว
โดยขณะใดที่รู้สึกว่ามีความเป็นตัวเราปรากฏขึ้นตรงไหนก็ตาม
ให้เรามีสติรู้มันไปด้วยจิตที่ตั้งมั่นไปจนเห็นจริงว่า
ความเป็นเราที่ถาวรไม่มี มันก็แค่ความปรุงแต่งที่เกิดชั่วคราว เกิดแล้วก็ดับ
หัดดูไปจนสามารถละความเห็นผิดๆ ว่ามีตัวเราที่ถาวรตลอดกาล ออกไปได้
เท่านี้ก็จะละสักกายทิฏฐิได้ครับ
แล้วก็อย่าดิ้นรนที่จะทำลายความเป็นตัวเราทิ้งไปซะก่อนละครับ
เพราะตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาจะทำลายอะไร ต้องอาศัยทุกสภาวะที่เกิดขึ้น
เป็นเครื่องระลึกรู้ไปจนกว่าจะเกิดมรรค ผล แจ้งนิพพานโน่นแหละครับ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ตัวผู้รู้เป็นแค่เครื่องอาศัยในการเจริญปัญญา

mp 3 (for download) : ตัวผู้รู้เป็นแค่เครื่องอาศัยในการเจริญปัญญา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : เวลาที่เราดูตัวผู้รู้เนี่ย เราไม่ได้เอาตัวผู้รู้ เรามีตัวผู้รู้ขึ้นมาเนี่ยก็เพื่อจะแยกได้ว่า ตัวผู้รู้ไม่ใช่ตัวผู้หลง ตัวผู้รู้ไม่ใช่ตัวผู้เพ่ง เดี๋ยวจิตก็เป็นผู้หลง เดี๋ยวจิตก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวจิตก็เป็นผู้เพ่ง ทั้งหมดไม่ใช่ตัวเราเลย ทำงานของมันไปเรื่อยๆ ทั้งหมดมีแต่เกิดแล้วดับ

เราภาวนาเนี่ยไม่ใช่เพื่อเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่ใช่จะเอากระทั่งตัวผู้รู้ แต่เรามีตัวผู้รู้มาเป็นเครื่องอาศัย เพื่อที่จะได้แยกเอาตัวผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง ผู้แต่ง ออกไป เราจะเห็นว่าตัวปรุงแต่งเกิดแล้วก็ดับ ตัวรู้เกิดแล้วก็ดับ ตัวเพ่งเกิดแล้วก็ดับ เราต้องการสิ่งนี้ ต้องการเห็นว่า “สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นดับ” ไม่ใช่ต้องการเอาตัวผู้รู้หรอก แต่ตัวผู้รู้เป็นเครื่องมือ เป็นทางผ่าน เพราะถ้าไม่มีตัวผู้รู้ จิตเราจะมีตัวเดียว คือตัวผู้หลง ถ้าเป็นผู้หลง ผู้หลง ผู้หลง มันจะรู้สึกว่าจิตเที่ยง แต่พอมีจิตผู้รู้ขึ้นมา ก็จะเห็นว่าจิตผู้หลงก็ไม่เที่ยง จิตผู้รู้ก็ไม่เที่ยง มีตัวผู้รู้เพื่ออาศัยสิ่งนี้เท่านั้นเอง อาศัยเดินปัญญา


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
เมื่อ วันศุกร์ที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๕ หลังฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๖
Track: ๑๕
File: 550817B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๙ วินาทีที่ ๓๑ ถึง นาทีที่ ๓๐ วินาทีที่ ๓๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : จิตยิ้ม

จิตยิ้ม

ในเรื่องจิตยิ้มนั้น ก่อนจะกล่าวถึงจิตยิ้ม เราน่าจะกล่าวถึงการยิ้มปกติเสียก่อน
คนเรานั้นที่ยิ้มออกมาได้ (ไม่นับเรื่องแกล้งยิ้มนะครับ)
ก็เพราะจิตเคลื่อนเข้าไปติดอารมณ์ที่เป็นโสมนัสเวทนา
แล้วปรุงแต่งความลิงโลดใจขึ้นมา
แล้วแสดงอาการออกมาทางกายคือการยิ้ม

ยังมีภาวะการยิ้มอีกชนิดหนึ่งที่จิตไม่ได้ถูกโสมนัสเวทนาครอบงำบังคับ
มันเป็นอาการที่จิตของพระอริยบุคคล แสดงความเบิกบานขึ้นมา
เพราะจิตนั้นมันเป็นอนัตตา มันแสดงของมันได้นอกเหนือการบังคับ
เวลาที่มันเห็นสัตว์ในอบายภูมิบ้าง เห็นนิพพานบ้าง
มันทักทายตัณหาบ้าง มันก็แสดงความเบิกบานออกมาเอง
จัดเป็นอเหตุกจิตอย่างหนึ่ง
เรียกว่าหสิตุปปาทะ หรือความอุบัติแห่งความร่าเริง

นักปฏิบัติที่เข้าถึงอริยธรรมแล้ว
บางท่านจะจับได้ว่าจิตจะมีความร่าเริงโดยไม่ยึดติดอารมณ์
แล้วอุทานทักทายตัณหาว่า ต่อไปเจ้าหลอกจิตนี้ไม่ได้แล้วบ้าง
จิตนี้พ้นเด็ดขาดแล้วจากอบายภูมิบ้าง
อันนี้ท่านสมมุติเรียกว่าจิตยิ้ม คือเราไม่ได้ยิ้ม
แต่จิตยิ้มของมันเองโดยไม่ติดอารมณ์
ส่วนใบหน้าของเราจะยิ้มหรือไม่ ไม่สำคัญ
อาจจะแสดงออกบ้างก็แค่ยิ้มนิดๆ ด้วยมุมปากบ้างเท่านั้นก็ได้

โดย คุณสันตินันท์ (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2542

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์

mp 3 (for download) : ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : พระพุทธเจ้าสอน “ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์” จริงๆท่านสอนทั่วๆไปนะ ฝรั่งก็เอาไปเขียนเป็นนิยาย ในพระสูตรก็มี พระนางมัลลิกา เป็นมเหสีองค์หนึ่งของพระเจ้าปเสนทิโกศล เคารพพระพุทธเจ้ามาก วันหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลถามพระนางมัลลิกา ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร พระนางมัลลิกาตอบว่า พระพุทธเจ้าสอนว่า “ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์” สอนเหมือนในเรื่องกามนิตนี่แหละ พระเจ้าปเสนทิโกศล ฟังแล้วหงุดหงิดใจ ที่ใดมีรักที่นั่นมีสุขสิ ถ้าพลาดจากที่รักสิถึงจะทุกข์ พวกเรารู้สึกอย่างนั้นมั้ย ที่ใดมีรักก็ต้องมีความสุขสิ ที่ใดไม่มีความรัก ความรักหนีไปแล้ว ถึงจะทุกข์ เนี่ย! สอนอะไรอย่างนี้ ถ้าพระพุทธเจ้าสอนไม่ผิดนะ พระนางมัลลิกาก็จำมาผิด

ตอนแรกๆหลวงพ่อก็ไม่เข้าใจนะ แล้วก็คิดเหมือนที่พวกเราคิดนั่นแหละ พลาดจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์ ก็ในบทสวดมนต์ก็มีใช่มั้ย ไม่ใช่ว่าที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ พอเราภาวนานะ จะรู้ว่าคำว่า “รัก” เนี่ย ไม่ใช่ “Love” รักตัวนี้ก็คือ ตัวโลภะ ตัวราคะ นั่นเอง ความเกาะเกี่ยวของจิต อาการที่รักก็คืออาการเกาะเกี่ยวของจิต รู้สึกมั้ย ความรู้สึกเกาะเกี่ยว

ถ้าความรู้สึกเกาะเกี่ยวขึ้นเมื่อไหร่นะ ภาระทางใจจะเกิดเกิดขึ้นในทันทีนั้นเลย เพราะฉะนั้นถ้ามีรักมีความเกาะเกี่ยวขึ้นทางจิตเมื่อไหร่นะ ภาระทางใจคือความทุกข์ก็เกิดขึ้นในขณะนั้นเลย เพราะฉะนั้นถ้าเราเกาะเกี่ยวอยู่ในกาย เราก็จะทุกข์เพราะร่างกาย เกาะเกี่ยวอยู่ในจิตใจ ก็จะทุกข์เพราะจิตใจ เกาะเกี่ยวที่บ้านก็จะทุกข์เพราะบ้าน เกาะเกี่ยวกับรถยนต์ก็จะทุกข์เพราะรถยนต์ เกาะเกี่ยวกับอะไรก็จะทุกข์เพราะอันนั้น ที่ใดมีรัก ที่นั่นแหละมีทุกข์ จริงๆเลยนะ

เราไปแปลคำว่ารัก แปลว่า Love แปลแคบไป รักตัวนี้คือความเกาะเกี่ยวของจิต ตัวโลภะนั่นเอง ตัวอยาก ตัวตัณหา มีขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็มีภาระ มีทุกข์ทางใจเกิดขึ้นทุกทีไป จะทำลายตัณหา ทำลายราคะตัวนี้ได้ ต้องเห็นความจริงในสิ่งทีเราเคยรัก ถ้าเห็นว่าจริงๆแล้วมันไม่ดีหรอก มันก็เลิกรัก เหมือนแต่งงานไปใช่มั้ย แต่งงานไปแล้วก็ ตอนเป็นแฟนกัน ต่างคนต่างใส่หน้ากาก ใส่มั้ย ใครแต่งงานแล้วในห้องนี้ มีมั้ย ตอนเป็นแฟนกับตอนที่อยู่ด้วยกัน ไม่เหมือนกัน รู้สึกมั้ย

ตอนเป็นแฟนนั้นมันปลอมนะ ตัวปลอม แล้วก็ต่างคนต่างรู้นะ ว่าอีกข้างปลอม แต่มันโง่ ผู้ชายเนี่ยชอบคิดว่าผู้หญิงเมื่อแต่งงานแล้วจะไม่เปลี่ยน เป็นตัวปลอมอย่างนี้ตลอดไปเลย ผู้หญิงก็โง่ คิดว่า ไอ้ผู้ชายคนนี้ชั่วอย่างนี้ๆ รู้นะ แต่คิดว่าแต่งงานไปแล้วจะไปดัดสันดานมัน ไม่สำเร็จหรอก นี่ก็โง่ไปอีกแบบหนึ่ง คิดว่าจะเปลี่ยนผู้ชายได้ ผู้ชายก็โง่ คิดว่าผู้หญิงจะไม่เปลี่ยน มาดูของเรานะ ภาวนาไป ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์จริงๆ มีอย่างนั้นจริงๆ สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าเทศน์ มีนาก็ทุกข์เพราะนา มีวัวก็ทุกข์เพราะวัว ถ้ามีขันธ์ ๕ ก็ทุกข์เพราะขันธ์ ๕ นั่นแหละ ถ้าเห็นทุกข์เห็นโทษนะ มันก็ปล่อย


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๕ หลังฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๖
Track: ๓
File: 550630B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๕๐ ถึง นาทีที่ ๑๐ วินาทีที่ ๓๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Dhammada News: New Files Uploaded (๘ ธันวาคม ๒๕๕๕)

    New Files Uploaded วันเสาร์ที่ ๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

  • 550907B: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๗ แสดงธรรมเมื่อวันศุกร์ที่ ๗ เดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๕๕
  • 550907A: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๗ แสดงธรรมเมื่อวันศุกร์ที่ ๗ เดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๕๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Dhammada News: ขอเชิญร่วมฟังธรรมบรรยายโดยหลวงพ่อปราโมทย์ ที่ศาลากาญจนาภิเษก (ศาลาลุงชิน) วันอาทิตย์ที่ ๑๖ ธ.ค. ๕๕

ขอเชิญท่านสาธุชน ร่วมฟังธรรมบรรยาย
โดย.. หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วันอาทิตย์ที่ ๑๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕
ระหว่างเวลา ๘ นาฬิกา ๓๐ นาที ถึง ๑๐ นาฬิกา
ณ. ศาลากาญจนาภิเษก (ศาลาลุงชิน)
หมู่บ้านเมืองทอง ถนนแจ้งวัฒนะ หลักสี่ กรุงเทพฯ
แผนที่ศาลากาญจนาภิเษก (ศาลาลุงชิน) ที่นี่
หมายเหตุ: มาฟังธรรมหลวงพ่อปราโมทย์ ที่ศาลาลุงชิน ด้วยรถสาธารณะกันเถอะ

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ต้องการละพุทธภูมิ

mp 3 (for download) : ต้องการละพุทธภูมิ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม : ผมอยากขอความรู้เกี่ยวกับการละพุทธภูมิน่ะครับ หลวงพ่อครับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : การละพุทธภูมิ ทำไมล่ะ เราเป็นพระโพธิสัตว์เหรอ

โยม : คือผมไม่ทรามหรอกครับหลวงพ่อครับ เพียงแต่ว่ามันมีเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ ซึ่งทำให้ผมมันรู้สึกว่า ไม่แน่ใจว่าเคยปราถนาพุทธภูมิมาหรือเปล่า เนื่องจากว่ามีความรู้สึกว่า เมื่อจิตไม่ใช่เรา ถ้าถึงเวลาเนี่ย คือความเป็นเราในปัจจุบันนี้ ไม่อยากไปไกลแล้วครับหลวงพ่อครับ แต่ว่า คือความรู้ที่ว่าจิตไม่ใช่เรา ถ้าถึงเวลาเนี่ยจิตมันไม่เลือก คือเราไม่อยาก คือไม่อยากเดินทางนั้นน่ะครับ แต่ถ้าถึงเวลาจิตมันไม่ยอม มันกังวลตรงนี้ครับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : อย่าไปกังวล ดูกับปัจจุบันไปนะ เดี๋ยวมันก็เลิกไปเองแหละ เห็นทุกข์มากๆเข้ามันก็เลิกไปเอง ลงมือเจริญสติมากๆเข้า พอมันรู้ว่ามีทางรอดนะ มันจะเอาตัวรอดแล้ว ลึกลงไปที่สุด มันยังรักตัวเองอย่างแรง รู้สึกมั้ย พระโพธิสัตว์ต้องไม่รักตัวเองขนาดนั้น


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
เมื่อ วันศุกร์ที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๒ ก่อนฉันเช้า


สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๐
File: 520424.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๙ วินาทีที่ ๕๕ ถึง นาทีที่ ๓๑ วินาทีที่ ๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เรียนรู้ดูขันธ์กับ อ.สุรวัฒน์ : กับดัก

กับดัก

กับดักที่จะฉุดผู้ปรารถนาจะพ้นจากสังสารวัฏมีอยู่ไม่น้อย

 บางทีมารเค้าก็เอาศรัทธาที่เรามี เอาความเพียรที่เรามี

 เอาความเห็นที่เรามี หรือเอากุศลที่เรามีนี่แหละมาทำเป็นกับดัก

 ดังนั้นแม้จะเป็นกุศลธรรมเราก็ประมาทไม่ได้เลย

 เพราะทันทีที่เราประมาทกุศลก็จะดับแล้วเกิดอกุศลขึ้นทันที

 ทำให้เราต้องติดกับดักวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏนานขึ้น

 แต่มีสิ่งหนึ่งที่จะช่วยเราไม่ให้ติดกับดักก็คือ

 การมีสติแค่รู้แค่ดูกุศลธรรมด้วยจิตที่เป็นกลางไว้

 หรือเมื่อเห็นกุศลแล้วเกิดยินดีก็ใหรู้ทันจิตที่ยินดีนั้น

 ทำเท่านี้ได้ ก็พอจะช่วยให้เราไม่พลาดไปติดกับดักได้แล้ว

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ข้ามทะเลทั้งสี่ แล้วจะถึงจิตหนึ่ง (๗) ภาวนาสุดท้าย จิตเป็นหนึ่ง ธรรมเป็นหนึ่ง

mp 3 (for download) : ข้ามทะเลทั้งสี่ แล้วจะถึงจิตหนึ่ง (๗) ภาวนาสุดท้าย จิตเป็นหนึ่ง ธรรมเป็นหนึ่ง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: ทีนี้พอได้โสดาบันแล้ว การภาวนาก็ยังทำอย่างเก่านั้นแหละ นะ การทำภาวนาอย่างเก่า รู้กายไปรู้ใจไป มีสติ รู้กายรู้ใจลงเป็นปัจจุบัน ทีละขณะ ทีละขณะ คำว่าปัจจุบันก็คือ ๑ ขณะจิตต่อหน้าเรานี่แหละ รู้ลงทีละขณะ ทีละขณะ นิดเดียว เล็กนิดเดียว ๑ ขณะ สำคัญนะ ในทางศาสนาพุทธ อะไรหนึ่ง หนึ่ง เนี่ย สำคัญทั้งนั้นเลย นะ เราภาวนาไปจนถึงจุดสุดท้ายนะ จิตเป็นหนึ่งนะ จิตเป็นหนึ่ง อารมณ์ก็เป็นหนึ่ง ธรรมก็เป็นหนึ่ง ครูบาอาจารย์บางองค์เรียกว่า เอกจิต เอกธรรม หรือจิตหนึ่ง ธรรมหนึ่ง บางองค์เรียก ฐีติจิต ฐีติธรรม แล้วแต่จะเรียก เป็นหนึ่งทั้งหมดเลย หนึ่งเดียวรวด

เพราะฉะนั้นภาวนาอยู่กับหนึ่งขณะจิตต่อหน้านี้ ไม่มีตัวมีตน คอยรู้ไปๆนะ ถึงจุดหนึ่ง จิตของเราก็จะเป็นหนึ่งอยู่อย่างนั้น หมายถึง ไม่มีอะไรเข้ามาปรุงแต่งให้เป็นสองได้อีกแล้ว จิตที่มันเป็นสองได้ เป็นสามได้ เพราะว่ามันถูกปรุงแต่ง

เหมือนอย่างน้ำที่บริสุทธิ์นี้มีอยู่หนึ่งเดียว ใช่มั้ย น้ำเขียว น้ำแดง น้ำซ่าๆ น้ำเน่า น้ำเหม็น น้ำหอมอะไรนี่ เพราะมันมีของอื่นไปปรุงแต่งเอา พอมันกลั่นตัวของมันจนบริสุทธิ์เต็มที่แล้ว ก็เป็นสภาวะอันเดียวล้วนๆเลย ก็เป็นความบริสุทธิ์ล้วนๆ ของจิตของใจ เวลามีจิตใจเข้าถึงความบริสุทธิ์แล้ว มาดูโลก ดูสรรพสัตว์ ดูตัวเอง ดูอะไรต่ออะไรทั้งหมดเนี่ย ก็จะเห็นเป็นหนึ่งเหมือนกัน คือว่างเปล่าจากความเป็นตัวตนเสมอกันหมดเลย

ภาวนานะ ถึงจุดสุดท้าย เข้าถึงจิตก็เป็นหนึ่ง ธรรมก็เป็นหนึ่ง อยู่กับความเป็นหนึ่งนั้นแหละยู่กับความไม่มี อยู่กับความไม่เป็นอะไร นี่ ฟังของหลวงพ่อคำเขียนท่านพูด ท่านอยู่กับความไม่มีไม่เป็นแล้วสะใจ ถ้าคนมาเล่าว่าเนี่ย จิตเป็นอย่างนี้ แล้วไปอยู่ตรงนี้นะ ฟังแล้วไม่สะใจ ฟังแล้วเอียนๆ นะ

ฝึกเอานะ ศาสนายังไม่ใช่สูญหายไป แต่เรียนให้ดี เรียนคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ดี อย่าเชื่ออาจารย์มากเกินไป สติปัฏฐานสำคัญนะ ต้องเรียน อริยสัจจ์ ๔ ต้องเรียน เรียนปริยัติไปก่อน ถ้าเราไม่รู้จักสติปัฏฐาน ไม่รู้จักอริยสัจจ์ ไม่รู้จักไตรลักษณ์ อะไรอย่างนี้นะ ไม่ไหว ภาวนาไม่ไหว พวกนี้เป็นความรู้พื้นฐาน เพราะฉะนั้นจะเรียนพวกนี้นะ หลวงพ่อเขียนไว้ให้อ่านแล้วนะ เยอะแยะเลย นะ ไปอ่านเอาเอง ช่วยตัวเอง หลวงพ่อช่วยไม่ไหวแล้ว นะ เรือหลวงพ่อลำเล็กนะ หลวงพ่อเป็นเรือบด ลำเล็กๆเอาตัวรอดเท่านั้นแหละ พายตุ๊บป่อง ตุ๊บป่อง ข้ามทะเลของหลวงพ่อเอาเอง พวกเราก็ต้องหาเรือของเราเองนะ สิ่งที่จะเป็นเรือให้กับพวกเราคือธรรมนั่นแหละ ทำอะไรบ้างล่ะ สติ สมาธิ ปัญญา นั่นแหละ  สติ สัมมาสมาธิ ปัญญา หรือ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาทิฎฐิ สิ่งเหล่านี้ต้องพัฒนาขึ้นมา


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๘ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๐ หลังฉันเช้า


สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๙
File: 500408B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๘ ถึง นาทีที่ ๓๑ วินาทีที่ ๓๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : จริต-วิปัสสนา

จริต-วิปัสสนา

เรื่องของการปฏิบัติมีแง่มุมหลากหลายน่าสนุกมากครับ
เช่นเราทำสมาธิเพื่อข่มนิวรณ์ก็ได้
เรารู้นิวรณ์เพื่อให้จิตมีสมาธิก็ได้
เรามีสติระลึกรู้กาย เวทนา จิต ธรรม เพื่อให้จิตมี ธรรมเอก
หรือจิตมีสัมมาสมาธิก็ได้
เราเอาธรรมเอก ไประลึกรู้กาย เวทนา จิต ธรรม เพื่อเจริญวิปัสสนาก็ได้

ในขั้นการเจริญวิปัสสนานั้น อรรถกถาท่านกล่าวไว้ชัดเจนว่า
การเจริญสติปัฏฐานอันใดอันหนึ่ง ก็ทำให้จิตเข้าถึงมรรคผลนิพพานได้
และท่านตั้ง ข้อสังเกต ไว้น่าฟังว่า
จริตของคนเรามี 2 ชนิด คือตัณหาจริต กับทิฏฐิจริต

ผู้มีตัณหาจริต ซึ่งมีปกติวุ่นวายอยู่กับความอยากนั่นอยากนี่
ท่านแนะนำว่าเหมาะกับการเจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
และเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน
เพราะถ้าเห็นกายเป็นไตรลักษณ์ เห็นความทุกข์ความสุขเป็นไตรลักษณ์
ความดิ้นรนแสวงหาด้วยความอยากก็จะเบาบางลง

ส่วนผู้มีทิฏฐิจริต
ซึ่งมีปกติวุ่นวายอยู่กับความคิดประเภทปัญญาชนเจ้าทฤษฎีทั้งหลาย
ท่านแนะนำให้เจริญจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานและธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
เพราะถ้าเห็นความแปรปรวนของจิต เห็นกลไกการทำงานของจิตชัดเจน
ก็จะเห็นนามธรรมทั้งปวงเป็นไตรลักษณ์
การปล่อยวางความคิดความเห็นต่างๆ ก็จะทำได้ง่าย

ท่านว่า เวทนานุปัสสนา ละเอียดกว่ากายานุปัสสนา
และธัมมานุปัสสนา ละเอียดกว่าจิตตานุปัสสนา
แต่ท่านก็สรุปไว้แล้วว่า การเจริญสติปัฏฐานทั้งปวง
เป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพานทั้งสิ้น

ดังนั้น ใครจะทำอันใดก็ได้ ขอให้ทำให้ถูกเท่านั้นเอง

โดย คุณ สันตินันท์ (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

เมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2543

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ข้ามทะเลทั้งสี่ แล้วจะถึงจิตหนึ่ง (๖) พระโสดาบันละความเห็นผิดว่ามีตัวมีตน

mp 3 (for download) : ข้ามทะเลทั้งสี่ แล้วจะถึงจิตหนึ่ง (๖) พระโสดาบันละความเห็นผิดว่ามีตัวมีตน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: ความเป็นตัวเราจริงๆไม่มี ความเป็นตัวเราเกิดจากความคิดล้วนๆเลย คิดเอาเองว่าเป็นเรา ถ้าไม่ไปหลงอยู่ในโลกของความคิดนะ กายนี้ใจนี้ก็ไม่ใช่ตัวเรา เนี่ย พอเราเห็นซ้ำ ซ้ำ ซ้ำ นะ ถึงจุดหนึ่งจิตมันจะรวมเข้ามา มันจะเข้าสมาธิ รวมเอง ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป จิตมี ปีติ  สุข เอกัคคตา มีวิตกวิจารณ์คือการตรึกถึงอารมณ์ การตรองเคล้าเคลียอยู่ในอารมณ์นั้น อารมณ์อะไร อารมณ์นิพพาน จิตจะรวมเข้ามานะ ขั้นแรกพอรวมเข้ามาปั๊บ มันจะเห็นสภาวธรรม อะไรก็ไม่รู้ นะ ไม่รู้ว่าคืออะไร นะ ถ้ายังรู้ว่าคืออะไรนี่ยังเจือด้วยสมมุติบัญญัติ ไม่ใช่ของจริง จิตจะเห็นสภาวธรรมบางอย่าง เกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ ขึ้นมา บางคนเห็นสองครั้ง บางคนเห็นสามครั้ง

เห็นสองทีเนี่ย จิตก็วางการรับรู้อารมณ์นั้นแล้วทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้ ทวนกระแสเข้ากลับมาหาธาตุรู้ จากนั้นสิ่งที่ห่อหุ้มปิดบังธาตุรู้ไว้ จะถูกแหวกถูกทำลายออกชั่วขณะ จะแหวกออก จิตที่เป็นอิสระล้วนๆเลยที่สัมผัสกับธรรมะคือนิพพานล้วนๆเลยจะปรากฎขึ้นมา

เสร็จแล้วจิตจะถอยออกมานะ ตรงนี้ไม่มีคำพูดนะ แว้บเดียวเอง แต่มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา  พร้อมอยู่ตรงนี้เลย พอถอยออกมากลับมาสู่โลกภายนอก จิตจะทวนกลับเข้าไปพิจารณาใหม่ว่าเมื่อกี้นี้เกิดอะไรขึ้น มันจะรู้เลยว่า อ้อ..เมื่อตะกี้นี้เกิดอริยมรรคขึ้นแล้ว สังโยชน์เบื้องต้นถูกละไปแล้ว ความเห็นผิดถูกละไปแล้ว กายนี้ใจนี้ไม่ใช่ตัวเรา ดูยังไงก็ไม่เป็นเราอีกต่อไปแล้ว จะละความเห็นผิดได้ จะหมดความลังเลสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้า พวกเรายังลังเล รู้สึกมั้ย ฝึกๆไปช่วงหนึ่งก็รู้สึก เอ้อ.. จริง ไม่จริงว้า.. จริง ไม่จริงว้า.. อั้นนั้นเป็นธรรมชาตินะ ต้องมี ไม่ต้องแกล้งทำเป็นไม่มี

หรือเราเคยงมงาย เห็นว่าต้องปฎิบัติอย่างนี้แล้วจะดี ปฏิบัติแล้วจะดี ต้องทำอย่างนั้นดี ทำอย่างนี้ดี จะหมดความงมงายอย่างนี้เลย รู้แต่ว่ามีแต่การเจริญสติรู้กายรู้ใจทางสายเดียว ทางสายเอก มีอันนี้อันเดียว ไม่มีอันอื่นอีกแล้ว เนี่ย พระโสดาบันละสิ่งเหล่านี้ได้ ละความเห็นผิดว่ามีตัวมีตน ละความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัยได้ ละการถือศีลบำเพ็ญพรตแบบงมงาย ลูบๆคลำๆ ว่าทำอย่างนั้นดี ทำอย่างนี้ดี รู้แล้วว่าไม่มีทางอื่นเลยนอกจากการมีสติรู้กายรู้ใจ หรือสติปัฏฐานนั่นเอง

เพราะฉะนั้นเวลาที่บรรลุพระโสดาบันไม่ใช่จิตดับนะ ทุกวันนี้มีคำสอนเรื่องจิตดับมากมาย คิดว่าภาวนาไปเรื่อย กำหนดไปเรื่อยนะ อย่างจะหยิบอะไรสักอันหนึ่ง กำหนดไปเรื่อยให้จิตมันแนบอยู่ที่มือเนี่ย เพ่งมากๆนะ จิตจะดับลงไป จิตดับแล้วสำคัญมั่นหมายว่าบรรลุธรรมแล้ว ดับ ๔ หน ก็เป็นพระอรหันต์นะ ออกมาจากพระอรหันต์ก็มาทะเลาะกับเมียเหมือนเดิมแหละ นะ ละกิเลสไม่ได้จริง

ในขณะที่บรรลุ มรรค ผล นิพพาน มีจิตนะ ไม่ใช่ไม่มีจิต ขณะที่บรรลุอริยมรรค นะ ก็มี มรรคจิต ขณะที่บรรลุอริยผล มีผลจิต มรรคจิตมี ๔ ดวง ผลจิตอีก ๔ ดวง นี่เรียก มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ คนโบราณชอบพูด

ถ้าพูดอย่างละเอียด ก็มี ๒๐ อย่างละ ๒๐ เพราะว่ามันเจือด้วยฌานเข้าไปในแต่ละชนิด ฌานมันไม่เท่ากัน มีฌาน ๕ อย่าง เพราะฉะนั้นจิตที่บรรลุมรรคผลเนี่ย รวมแล้วมีจิตตั้ง ๔๐ ดวงแหน่ะ ทีนี้พวกเรารุ่นหลังๆนะ เชื่อคำสอนของอาจารย์มากไป เลยคิดว่าเวลาบรรลุมรรคผลนิพพาน จิตดับวูบลงไปหมดสติ พอรู้สึกตัวขึ้นใหม่ บอกบรรลุไปแล้ว ตรงที่จิตดับลงไปนั้น คือ อสัญญสัตตาภูมิ คือ พรหมลูกฟักนะ

มีองค์หนึ่งท่านเล่น เมื่อไม่กี่วันมานี้ ท่านอนุสรณ์ เนี่ย ท่านลองเล่นๆของท่านนะ ดับปั๊บเลย และท่านรู้ว่าไม่ใช่ ไม่ใช่ เพราะมันขาดสติ ออกมาแล้วไม่เห็นจะละกิเลสอะไรเลย ดับไปเฉยๆ ฝึกไม่กี่วันก็เป็นแล้ว นี่คือการเพ่งกาย เพ่งกายแล้วลืมจิต จนจิตดับลงไป เหลือแต่กายอันเดียวล้วนๆ

เพราะฉะนั้นเวลาบรรลุมรรคผลนิพพานมีจิต ไม่ใช่ไม่มี ถ้าไม่มีจิตแล้วใครจะรู้นิพพาน นิพพานเป็นอารมณ์นะ มีอารมณ์ต้องมีจิต เป็นกฎนะ กฏของธรรมะ ชื่อภาษาแขกเพราะๆเรียกว่า “ธรรมนิยาม” กฎของธรรมะ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๘ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๐ หลังฉันเช้า


สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๙
File: 500408B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๗ ถึง นาทีที่ ๒๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง

รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง

ถาม : การรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง
หมายถึงเรารู้สิ่งที่กำลังเกิดตอนนั้นว่าเกิดจากเหตุปัจจัยอะไร
แล้วไม่เข้าไปยึดมั่นหมายมั่น ใช่รึเปล่า?

ตอบ : เราเพียงรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
รู้อย่างเดียวก็พอครับ ไม่จำเป็นต้องไปใช้ความคิดว่า
สิ่งนี้คืออะไร สิ่งนี้เกิดจากอะไร
เพราะขณะที่หลงคิดนั้น เราไม่ได้รับรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏนั้นแล้ว
แต่หลงไปในโลกของความคิดเสียแล้ว

ก่อนที่เราจะรู้สภาพธรรมหรืออารมณ์ที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงได้นั้น
จิตจะต้องมีสัมมาสมาธิเสียก่อน
คือจิตจะต้องตั้งมั่นไม่ว่อกแวก รู้อารมณ์ที่กำลังปรากฏด้วยความเป็นกลาง
และไม่มีความยินดียินร้ายต่ออารมณ์นั้น
จิตจึงจะเห็นสภาพที่แท้จริงของอารมณ์หรือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
ตามความเป็นจริงได้

แต่ถ้าระหว่างที่รู้อารมณ์อยู่นั้น จิตเกิดความยินดียินร้ายขึ้น
แล้วเกิดแรงผลักดันให้เข้าไปยึดถือ หรือให้มีพฤติกรรมต่างๆ
ก็ให้รู้ทันจิตใจตนเองที่กำลังถูกผลักดันด้วยกระแสตัณหา
ไม่ใช่ไปกดข่มไม่ให้จิตยินดียินร้ายนะครับ

โดย คุณ สันตินันท์ (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2542

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ข้ามทะเลทั้งสี่ แล้วจะถึงจิตหนึ่ง (๕) มิจฉาทิฎฐิ คือ ความเห็นผิดว่าตัวเรามีอยู่จริง

mp 3 (for download) : ข้ามทะเลทั้งสี่ แล้วจะถึงจิตหนึ่ง (๕) มิจฉาทิฎฐิ คือ ความเห็นผิดว่าตัวเรามีอยู่จริง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: อันแรก ต่อสู้กับมิจฉาทิฎฐิของตัวเองก่อน ทะเลอันที่หนึ่ง มิจฉาทิฎฐิ คือ ความเห็นผิดว่าตัวเรามีอยู่จริงๆ วิธีจะดูให้เห็นว่าตัวเราไม่มีนะ ไม่ใช่ไปนั่งคิดเอาว่าตัวเราไม่มี คิดยังไงมันก็เชื่อว่า “ฉันมี” แต่ฉันแกล้งไม่มี นะ มันจะแกล้งทำ

ให้เรารู้ลงในกาย รู้ลงในใจ อะไรก็ได้ เริ่มจากกายก็ได้ ถ้าเริ่มจากกายถูกต้องก็จะรู้ใจ หรือจะเริ่มจากใจก่อนก็ได้ ถ้าเริ่มรู้ใจถูกต้องก็จะรู้กายด้วย นะ จะรู้สองอัน ไม่รู้อันเดียว ถ้าคนไหนภาวนาแล้วรู้อันเดียว ทำผิดแน่นอนนะ เพราะจริงๆมันมีสองอัน จะมารู้อันเดียว เลือกรู้อันเดียว ทำผิดแล้ว

เช่นบางคนจะดูแต่ลมหายใจอย่างเดียว ให้ลืมโลกไปเลย โลกนี้เหลือแต่ลมหายใจ เนี่ยสะสมมิจฉาทิฎฐินะ แทนที่จะละมิจฉาทิฎฐิ จะรู้สึก “กูเก่งๆ” “กูบังคับจิตให้อยู่กับลมได้” หรือ “กูบังคับจิตให้อยู่กับท้องพองยุบได้” จิตไม่หนีไปที่อื่นเลย “กูเก่งๆ”

ความจริงต้องรู้ ตามที่เขาเป็น ตามความเป็นจริง ของเราก็คือมันมีทั้งกายมีทั้งใจนะ เดี๋ยวก็รู้กาย เดี๋ยวก็รู้ใจไป ถ้าจะรู้กาย เราก็เห็นร่างกายนี้ มันยืน มันเดิน มันนั่ง มันนอนไป ใจเป็นแค่คนรู้มัน ถ้าจะรู้จิตใจเราก็เห็นจิตใจเคลื่อนไหว ทำงานไป พอมีการเคลื่อนไหวทางกาย เช่น ตามองเห็น จิตใจก็เคลื่อนไหวตาม หู ได้ยินเสียง เช่น เขาด่ามา ใจก็เคลื่อนไหว คือ โทสะเกิดขึ้น นะ มันเนื่องกัน ทั้งกายทั้งใจ ไม่ใช่รู้อันเดียวนะ ถ้าจงใจไปรู้อันเดียวเป็นสมถะ เป็นสมถกรรมฐาน ถ้ารู้ถูกต้อง มันรู้ทั้งกายรู้ทั้งใจ เห็นกายนี้ ยืน เดิน นั่ง นอน ใจเป็นคนดูไป ถ้าทำอย่างนี้ได้ก็จะเห็นเลย กายนี้ไม่ใช่ตัวเรา เป็นสิ่งที่ใจไปรู้เข้าเท่านั้นเอง เป็นวัตถุเป็นก้อนธาตุ มันไม่บรรยายอย่างที่หลวงพ่อพูดนะ มันจะรู้สึกแค่ว่ามันไม่ใช่เราหรอก

ไม่ใช่ว่าต้องมาพร่ำรำพัน เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นธาตุ เป็นขันธ์ มันไม่พูดนะ เป็นความรู้สึกเท่านั้นแหละ รู้สึกถึงความไม่ใช่ตัวเรา ดูลงมาในเวทนา ในความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ เราจะเห็นเลย ความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ ก็ไม่ใช่ตัวเรา เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า จะเห็นอย่างนี้ นะ กุศล อกุศลทั้งหลาย นะ ที่เรียกว่าสังขาร กุศล อกุศลทั้งหลาย โลภ โกรธ หลง ทั้งหลายก็เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า ไม่ใช่เราอีก ดูไปอย่างนี้

ตัวจิตเองล่ะ จิตเดี๋ยวก็เกิดที่ตา ดับที่ตา เกิดที่หู ดับที่หู เกิดที่ใจก็ดับที่ใจ จิตเกิดที่ไหนก็ดับที่นั่น นะ ไม่ใช่มีจิตดวงเดียววิ่งไปวิ่งมา ถ้าเห็นว่าจิตมีดวงเดียววิ่งไปวิ่งมาเป็นมิจฉาทิฏฐินะ หลวงปู่หล้า ภูจ้อก้อ ท่านสอนดี ท่านบอกว่า ถ้าใครเห็นว่า จิตผู้รู้เที่ยง เป็นมิจฉาทิฎฐิ ตัวผู้รู้เองก็ไม่เที่ยง เป็นผู้รู้แล้วก็เป็นผู้หลง เดี๋ยวก็หลงไปทางตา หลงไปทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เนี่ยดูลงมาในกายในใจบ่อยๆ ดูจนเห็นความจริงเลย มันไม่ใช่ตัวเราสักอันเดียวเลยนะ ร่างกายมันก็เป็นแค่วัตถุ

พวกเราลองทดสอบนะ เอ้า แก้ง่วงไปด้วย เอามือของตัวเองมา แล้วลองลูบดู ลองสัมผัสดูไปรู้สึกมั้ย มันเป็นท่อนๆแข็งๆรู้สึกมั้ย เนี่ย รู้สึกนะ รู้สึกไว้ แล้วลองตั้งใจฟังมันบอกมั้ยว่ามันเป็นตัวเรา มันเงียบๆ รู้สึกมั้ย มันไม่พูดหรอก จริงๆเราไปขี้ตู่ว่ามันเป็นตัวเรานะ จริงๆ เนี่ย ลองจับลงไปสิ เป็นก้อนแข็งๆอะไรก้อนหนึ่ง

ถ้าเราจับไปนะเราจะรู้สึก มันไม่มีตัวเราในก้อนนี้แล้ว เวลาความสุขความทุกข์เกิดขึ้นเราก็รู้ไปตรงๆ เหมือนที่เรารู้สัมผัสมืออย่างนี้ กุศล อกุศล เกิดขึ้นก็รู้มันเข้าไปตรงๆนั้นแหละ แล้วมันจะบอกเรามั้ยว่าเป็นตัวเรา ไม่มีพูดสักคำหนึ่ง ความเป็นตัวเราจริงๆไม่มี ความเป็นตัวเราเกิดจากความคิดล้วนๆเลย คิดเอาเองว่าเป็นเรา


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๘ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๐ หลังฉันเช้า


สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๙
File: 500408B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๙ วินาทีที่ ๙ ถึง นาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๑๓

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : ธรรมชาติรู้

ธรรมชาติรู้

ถาม : ธรรมชาติรับรู้คืออะไรคะ ไม่ใช่จิตแล้วเป็นอะไร ?

ตอบ : ธรรมชาติที่รับรู้อารมณ์ก็คือจิตนั่นแหละครับ

เพียงแต่เมื่อจิตไม่ถูกปรุงแต่งด้วยความคิดนึกปรุงแต่ง(สังขารขันธ์)

จิตจะไม่มีความสำคัญมั่นหมายว่ามันคือจิต

ที่มันคิดว่า อันนี้คือจิต และเป็นเรา

ก็เพราะสังขารหรือความคิดนึกปรุงแต่งนั่นเอง

 

ท่านจึงสอนว่า “สังขารทั้งหลาย สงบเสียได้ เป็นสุข”

คือจิตที่พ้นจากความปรุงแต่งนั้น มันเป็นสุข เป็นอิสระ

โดยไม่ต้องอิงอาศัยอารมณ์ภายนอกเลย

โดย คุณ สันตินันท์ (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2542

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ข้ามทะเลทั้งสี่ แล้วจะถึงจิตหนึ่ง (๔) ทะเลอวิชา

mp 3 (for download) : ข้ามทะเลทั้งสี่ แล้วจะถึงจิตหนึ่ง (๔) ทะเลอวิชา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: จะข้ามภพข้ามชาติได้ ก็ต้องละตัณหาได้ ทีนี้ตัณหาเกิดจากอะไร ตัณหาเกิดจากอวิชา นี้ ทะเลตัวสุดท้ายนี้ ข้ามยากที่สุด ถ้าข้ามตัวนี้ได้นะ จะหลุดจากน้ำเชี่ยวนี้ได้ด้วย อวิชาเหมือนทะเลหมอก น้ำสงบนะ ไม่มีคลื่น ไม่มีลม สบายๆ แต่เหมือนมีหมอกปกคลุมจนไม่รู้อะไรเลย บางทีเราอยู่ห่างฝั่งใช่มั้ย ถูกคลื่นซัดตูมตาม ตูมตาม กระเสือกกระสนเข้ามา จนจะถึงฝั่งอยู่แล้ว เกือบถึงฝั่งแล้วนะ มันมีหมอกลง มันมองไม่เห็น ว่ายไปว่ายมา ว่ายออกทะเลลึกไปอีกแล้ว เพราะฉะนั้นข้ามอวิชานี้ยากที่สุดเลย ทะเลตัวนี้จะข้ามได้ต้องเห็นอริยสัจจ์ เห็นไม่เหมือนกันนะ เห็นมั้ย เห็นอริยสัจจ์ เห็นแจ้งอริยสัจจ์

อริยสัจจ์ที่ตัวลึกซึ้งที่สุดเลย คือการเห็นว่าจิตเป็นทุกข์นี่เอง นะ เราภาวนาไปนาน เราเห็นแต่จิตเป็นสุข เพราะจิตเริ่มสงบแล้ว ใช่มั้ย ข้ามทะเลโน้นทะเลนี้มาถึงภพที่สงบ ภพที่ไม่มีคลื่นมีลมแล้ว จิตใจก็พอใจ รักใคร่พอใจอยู่แค่นี้แหละ สบายใจแล้ว เสร็จแล้วก็ว่ายกลับไปกลับมาแล้ว ถูกคลื่นซัดออกไปอีกแล้ว

ถ้าเป็นปุถุชนเนี่ย ซัดไปหาทิฎฐิเลย เกิดมิจฉาทิฎฐิได้เรื่อยๆนะ ถ้าไม่ใช่พระอนาคาฯ ก็หลงไปในกามได้อีก เพราะฉะนั้นมันพร้อมจะถอยหลังได้ ทีนี้จะละอวิชาได้นะ ต้องรู้อริยสัจจ์ รู้ลงมานะ กายนี้ใจนี้เป็นทุกข์ล้วนๆเลย พวกเรามีแต่อวิชา เราเห็นว่ากายนี้ใจนี้เป็นทุกข์บ้างเป็นสุขบ้าง นี่อวิชานะ อวิชาพาให้เห็น

ไหน สารภาพมา มีใครรู้สึกมั้ย กายนี้ เป็นทุกข์บ้างเป็นสุขบ้าง มีมั้ย สารภาพ มีผู้ร้ายปากแข็งครึ่งห้อง นะ ไม่ยอมสารภาพ นะ พวกเรารู้สึกมั้ย จิตนี้เป็นทุกข์บ้างเป็นสุขบ้าง เห็นอย่างนี้แหละ อวิชา

ถ้าเห็นอย่างมีวิชา ก็จะเห็นว่า ขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ล้วนๆ ไม่ใช่ทุกข์บ้างสุขบ้าง เห็นยากนะ ถ้าสติ สมาธิ ปัญญา ไม่แก่กล้าพอ มันไม่เห็นขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ล้วนๆ โดยเฉพาะจิตเนี่ย จิตผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้สงบ สะอาด สว่าง แหมฟังแล้วดีทั้งนั้นเลย ใช่มั้ย จะให้เห็นว่าเป็นทุกข์ล้วนๆ ไม่ใช่ง่ายนะ ปฎิบัติกันปางตายเลยล่ะ เหมือนเอาชีวิตเข้าแลกเลยนะ ถึงจะเห็น เพราะฉะนั้นทะเลตัวนี้ ทะเลอวิชา เป็นทะเลที่เรียบๆนะ แต่ยากสุดๆเลย ยากมากเลย จับต้นจับปลายไม่ถูก นะ มีแต่เรียนรู้นะ มาตามลำดับๆ รู้กาย รู้ใจมาตามลำดับ

พอรู้กายถูกต้อง แจ่มแจ้งได้พระอนาคาฯ จิตใจก็จะสบายขึ้นเยอะเลย จะไม่แส่ส่ายไปทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย จะเหลือแต่ความสงบสุขอยู่ภายใน เพลิดเพลินอยู่กับความสงบสุขภายในจิตในใจของเราเอง นี่เอง

ต่อมาสติปัญญาแก่รอบลงมาอีก เห็นเลย ตัวจิตตัวใจที่ว่าสุขว่าสงบเนี่ย เอาเข้าจริงก็เป็นตัวทุกข์ล้วนๆ ตัวนี้ไม่รู้ว่าจะพูดภาษามนุษย์ยังไงนะ ฟังเอาไว้ก็แล้วกัน มันเห็นเป็นทุกข์ล้วนๆเมื่อไหร่นะ มันจะทิ้งแล้ว จะวาง แต่ถ้ายังเห็นทุกข์บ้างสุขบ้าง มันไม่วางหรอก มันทุกข์ล้วนๆ โอ้ ขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ล้วนๆ ตัณหาจะดับทันทีเลย เมื่อมันเป็นทุกข์ล้วนๆแล้วจะอยากให้มันสุขได้อย่างไร นะ ของเรามีตัณหาขึ้นมาเพราะอยากให้ขันธ์ ๕ มีความสุข รู้สึกมั้ย อยากให้ขันธ์ ๕ พ้นทุกข์

แต่วันหนึ่งเรียน จนกระทั่งรู้ชัดเลย ขันธ์ ๕ นี่ทุกข์ล้วนๆน่ะ ไม่มีทางอยากให้มันมีความสุข ไม่มีทางอยากให้มันพ้นทุกข์อีกต่อไปแล้ว มันไม่สมหวัง มันทุกข์ล้วนๆ เนี่ย ใจเข้าถึงตรงนี้ ใจยอมรับตรงนี้จริงๆแล้วจะสลัดคืนเลย จะหมดตัณหาแล้วก็สลัดคืนความยึดถือกายความยึดถือใจให้โลก คืนเจ้าของเดิมนั้นเอง จิตใจก็จะเข้าถึงความสงบ สันติ ที่แท้จริง คือ นิโรธ หรือ นิพพาน บางทีก็มีหลายชื่อนะ อุปสมะ ก็ได้ นะ มีหลายชื่อเยอะแยะเลย ชื่อ ความจริงก็คือ ความสงบ สันติ ซึ่งมันพ้นทุกข์ พ้นกิเลส พ้นความยึดถือในธาตุในขันธ์ ในกาย ในใจ นี้เอง

พอพ้นปั๊บเราจะเห็นโลกนี้ มี แต่ไม่มีอะไร โลกนี้มีอยู่ แต่ไม่มีอะไรเลย ว่างเปล่า ว่างเปล่าไม่ใช่แปลว่า ไม่มีอะไรเลย มันว่างเปล่าจากความเป็นตัวเป็นตน ว่างเปล่าจากกิเลส ว่างเปล่าจากขันธ์ ว่างเปล่าจากทุกข์ มันมีอยู่ของมันตามสภาพของมัน มันเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพของมัน แต่จิตใจที่ฝึกฝนอบรมจนกระทั่งไม่ยึดถือในจิตแล้วเนี่ย จะไม่ยึดถืออะไรในโลกอีก เห็นโลกนี้มีแต่ไม่มี ว่างเปล่าอยู่อย่างนั้นเอง จิตใจมีแต่ความสุขล้วนๆ สุขแบบนึกไม่ถึงนะ สุข สุขที่สุดเลย มีความสุขมาก ไม่รู้จะใช้ภาษาอะไร พระพุทธเจ้าท่านก็เลยใช้เอาง่ายๆ “นิพพานัง ปรมัง สุขัง” บรมสุขเลย ไม่รู้จะใช้คำอะไรแล้ว ท่านใช้คำว่า “ปรมัง สุขัง” บรมสุขเลย

ความสุขของโลกๆที่พวกเรารู้สึกน่ะนะ รู้จักกันนะ ความสุขลุ่มๆดอนๆ สุกๆดิบๆ เป็นความสุขร้อนๆ สุกๆ เผ็ดๆ นะ เผ็ดร้อนรุนแรง สุขชั่วครั้งชั่วคราวได้มาแล้วก็เสียไป ตะกายหาอีก จับได้ปั๊บหลุดมือไปอีกแล้ว อย่างนี้ตลอดชีวิตเลย เดินทางในสังสารวัฏฏ์นะ ข้ามภพข้ามชาติไม่ได้ ข้ามมหาสมุทรสี่อันนี้ไม่ได้ ก็ข้ามภพข้ามชาติไม่ได้ เพราะฉะนั้นตั้งอกตั้งใจนะ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๘ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๐ หลังฉันเช้า


สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๙
File: 500408B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๓ วินาทีที่ ๑๖ ถึง นาทีที่ ๑๙ วินาทีที่ ๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 3 of 41234