Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

รักษาศีลด้วยการรู้ทันใจ เราจะไม่ผิดศีล

mp3 (for download) : รักษาศีลด้วยการรู้ทันใจ เราจะไม่ผิดศีล

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ศีลต้องตั้งใจรักษาเอาเอง ถึงไปขอกับพระ พอขอเสร็จก็คุยแข่งกับพระ ไม่มีศีลหรอก ศีลด่างพร้อยไปหมดแล้ว การรักษาศีลที่ดีต้องรักษาที่ใจของเรา คนทำผิดศีลได้นะ เพราะกิเลสมันครอบงำใจ อย่างคนที่ไปฆ่าเค้า ไปตีเค้า ไปด่าเค้า เพราะความโกรธมันครอบงำใจของเรา คนที่ไปขโมยเค้าไปเป็นชู้กับเค้า ไปปลิ้นปล้อนหลอกลวงเค้า เพราะความโลภมันครอบงำใจของตัวเอง ถ้าเราคอยรู้ทันใจของเรานะ เนี่ยเป็นศาสตร์ของการปฏิบัติซึ่งเหมาะกับคนยุคของเรา คือการที่รู้ทันใจของตัวเองไว้

ถ้าเรารู้ทันใจของตัวเองไว้นะ อย่างใจมันโกรธขึ้นมาเรารู้ทัน ความโกรธจะหายไปโดยอัตโนมัติ นี่เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมากเลย ถ้าใจของเรามีความอยากเกิดขึ้นเรารู้ทัน ความอยากจะดับอัตโนมัติ เราไม่ต้องดับมันนะ หน้าที่ของเราง่ายนิดเดียวเลย ถ้าใจเราโกรธขึ้นมา เราก็รู้ว่าตอนนี้โกรธแล้ว รู้เฉยๆนะ ไปลองดูว่ามันจะหายไปไหม มันจะหายได้เองนะแปลกมากเลย หรือใจเราโลภขึ้นมา อยากโน่นอยากนี่ขึ้นมานะ ให้รู้ทันลงไปความอยากนั้นจะหายไป เรารักใครซักคนนึงนะ เรารู้ทันว่าใจกำลังรักอยู่นะ ความรักนั้นจะหายไป จะเป็นอุเบกขาไปหมด ให้เราคอยรู้ทันใจตัวเองบ่อยๆ ถ้าเรารู้ทันใจตัวเองบ่อยๆนะ คนที่ไม่เคยรักษาศีล จะมีศีลอัตโนมัติ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่บริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๕

File: 551016
ระหว่างนาทีที่ ๑๐ วินาทีที่ ๕๔ ถึงนาทีที่ ๑๒ วินาทีที่ ๒๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เจ้าชายสิทธัตถะ ฝึกสมาธิชนิดที่เกื้อกูลให้เกิดปัญญามาจนชำนาญก่อนแล้ว

mp3 for download : เจ้าชายสิทธัตถะ ฝึกสมาธิชนิดที่เกื้อกูลให้เกิดปัญญามาจนชำนาญก่อนแล้ว

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ :ทางสายกลางเนี่ย ไม่ใช่ท่านพบในวันเดียว (หมายความว่า ท่านเคยเดินทางสายกลางนี้มาก่อนแล้ว ก่อนมาเกิดในชาตินี้ – ผู้ถอด) หลักฐานที่สำคัญก็คือ ตอนที่ท่านอายุ ๓ ขวบเนี่ย ท่านนั่งสมาธิอยู่ที่ใต้ต้นหว้า นั่งเอง ไม่มีอาจารย์สอน แล้วตอนนั้นเป็นเด็ก ไม่มีมารยา ลุกขึ้นนั่งสมาธิก็นั่งไปด้วยความเคยชินของจิตที่ได้รับการฝึกฝนอบรมมาดีแล้ว

หายใจออก หายใจเข้า ด้วยความรู้สึกตัว จุดสำคัญอยู่ที่ความรู้สึกตัว ไม่ใช่หายใจเอาเคลิ้ม เอาสุข เอาสงบ แต่หายใจไปด้วยความรู้สึกตัว ท่านได้เอามาสอนสาวกในชั้นหลังนะ ที่ท่านได้บรรลุพระอรหันต์แล้วท่านก็เอามาสอน บอกว่า ภิกษุทั้งหลายให้เธอคู้บัลลังก์ คู้บัลลังก์ก็คือนั่งขัดสมาธิ ทำไมต้องนั่งขัดสมาธิ เพราะว่าไม่มีเก้าอี้จะนั่ง คนหรือนั่งบวชอะไรต่ออะไร สมัยนั้น เขาก็นั่งกับพื้น นั่งกับพื้น ท่านั่งที่นั่งได้ทนก็คือนั่งขัดสมาธิ นั่งพับเพียบก็นั่งได้ไม่ทน

ท่านบอกว่า ภิกษุทั้งหลายให้เธอนั่งคู้บัลลังก์ คือนั่งขัดสมาธิ ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า เห็นมั้ย มีสติ (คำว่า “เฉพาะหน้า” หมายถึง “ปัจจุบัน” – ผู้ถอด) หายใจออกยาว รู้ว่าหายใจออกยาว หายใจเข้ายาว รู้ว่าหายใจเข้ายาว หายใจออกสั้น รู้ว่าหายใจออกสั้น หายใจเข้าสั้น รู้ว่าหายใจเข้าสั้น ลมหายใจระงับ รู้ว่าลมหายใจระงับ จิตตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา ไม่ขาดสติ มีสติตลอด

เนี่ยสมาธิชนิดนี้แหละ คือสมาธิชนิดที่จะเอาไปเดินปัญญาต่อ ส่วนสมาธิที่มุ่งไปหาความสุข ความสงบ ความสบาย หรือมุ่งไปหาความดีต่างๆ เป็นสมาธิสาธารณะ ฤๅษีชีไพรเขาก็ทำมาก่อน แต่ไม่ทำให้เกิดปัญญา พวกเราต้องแยกให้ออกนะ สมาธิมี ๒ อย่าง สมาธิที่เป็นไปเพื่อความพักผ่อน เพื่อความสงบ ความสบาย เพื่อความสุข เป็นแบบหนึ่ง สมาธิที่มีจิตตั้งมั่น เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มีสติอยู่ ไม่เผลอ ไม่ลืมเนื้อลืมตัว เป็นอีกแบบหนึ่ง เพราะฉะนั้นสมาธิมี ๒ ชนิด

พวกเรามักจะได้ยินได้ฟังเสมอนะว่า ต้องมีสมาธิจึงจะเกิดปัญญา อันนั้นน่ะพูดถูก แต่ไม่ถูกเต็มที่ ต้องมีสมาธิที่ถูกต้องถึงจะเกิดปัญญาได้ ถ้ามีสมาธิที่สงบ สบาย เพลิดเพลิน นิ่งๆไป ไม่เกิดปัญญาหรอก


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
แผนที่ : 1 2 3
แสดงธรรมที่ วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันศุกร์ที่ ๘ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๖
File: 560208
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๙
ระหว่างนาทีที่ ๔ วินาทีที่ ๕๘ ถึงนาทีที่ ๗ วินาทีที่ ๓๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทำยังไงจะรู้ทันว่าจิตไปคิดได้เร็ว

mp3 for download : ทำยังไงจะรู้ทันว่าจิตไปคิดได้เร็ว

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: วิธีที่จะฝึกให้จิตเป็นผู้รู้นะ ต้องรู้ทันว่าจิตไปคิด ทำยังไงจะรู้ทันว่าจิตไปคิดได้เร็ว ต้องมีเครื่องอยู่ไว้สักอันนึงให้จิตอยู่ก่อน ถ้าจิตทิ้งเครื่องอยู่นั่นไปเมื่อไหร่นะ มันจะรู้ได้เร็วว่าหลงไปคิดแล้ว

ยกตัวอย่าง เราอยู่กับพุทโธ พุทโธ…พุทโธ…พุทโธไปเรื่อยนะ ไม่ได้บังคับจิตให้อยู่กับพุทโธ แต่มีพุทโธเป็นแบ็คกราวนด์ พุทโธแล้วคอยรู้ทันจิต พุทโธ…พุทโธ… อ้าว จิตหนีไปคิดแล้ว คอยรู้ทัน อย่างนี้ใช้ได้ พุทโธ…พุทโธ แล้วจิตไปนิ่งเงียบอยู่แล้ว สงบนิ่งอยู่แล้วไปเพ่งจิตอยู่ ก็รู้ทัน

หรือมารู้ลมหายใจก็ได้ ใครชอบหายใจก็รู้ลมหายใจ หายใจออก หายใจเข้า หายใจสบายๆ หายใจแล้วไม่บังคับจิต หายใจสบาย หายใจนะ…หายใจ…เสร็จแล้วจิตไปเพ่งลมหายใจก็รู้ จิตหนีไปคิดก็รู้ พอจิตหนีไปคิดก็รู้ปุ๊บนะ จิตจะตื่นขึ้นมาพอดีเลย

หรือขยับมืออย่างหลวงพ่อเทียนก็ได้ หลวงพ่อเทียนท่านขยับมือสองข้างรวมกัน 14 จังหวะ ขยับไปแล้วรู้สึก รู้สึกตัว…ขยับ…รู้สึก…ขยับไปแล้วคอยรู้สึกไป ขยับไปๆ จิตแอบไปคิด รู้ทันว่าจิตแอบไปคิดละ ขยับไปแล้วจิตไปเพ่งใส่มือ รู้ทัน ตรงที่รู้ทันว่าจิตหนีไปคิดเนี่ย จิตจะตื่นขึ้นมา

ดูท้องพองยุบก็ได้ ดูท้องพองยุบไป จิตไปเพ่งที่ท้องก็รู้ทัน จิตหนีไปคิดก็รู้ทัน ตรงที่จิตหนีไปคิดแล้วรู้ทันนั่นแหละ จิตจะตื่นขึ้นมา จิตจะหลุดออกจากโลกของความคิด

งั้นเราคอยฝึกนะ หากรรมฐานอันนึงขึ้นมาก่อน อยู่ๆ จะให้จิตเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานนี่ยาก ยากนะ อินทรีย์เรายังไม่แก่กล้าพอ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๓๐ เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๕
File: 530530A
ระหว่างนาทีที่ ๑๙วินาทีที่ ๑๘ ถึงนาทีที่ ๒๑วินาทีที่ ๒๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เผลอไปรู้ทัน เพ่งไปรู้ทัน ฝึกเรื่อยๆตัวรู้จะเด่น

mp3 (for download) : เผลอไปรู้ทัน เพ่งไปรู้ทัน ฝึกเรื่อยๆตัวรู้จะเด่น

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : หลวงพ่อเทียนสอนดีนะ หลวงพ่อเทียนบอกว่า ถ้ารู้ทันว่าจิตคิดจะได้ต้นทางของการปฏิบัติ รู้ว่าจิตคิดนะ ไม่ใช่ห้ามจิตคิด หลังๆสอนกันเคลื่อนไปจากที่หลวงพ่อเทียนสอนด้วยซ้ำ ไปขยับมือแล้วไปเพ่งใส่มือ ที่จริงแล้วที่ท่านขยับมือนั้นท่านบอกว่าท่านเขย่าธาตุรู้ ปลุกความรู้สึกตัวต่างหากล่ะ ไม่ใช่ไปเพ่งจิตให้นิ่ง ขยับมือแล้วรู้สึกๆ จิตหนีไปคิด รู้ทัน จิตไปเพ่งใส่มือ รู้ทัน หนีไปคิดอะไร หนีไปคิดว่าท่านี้แล้วต่อไปจะเป็นท่าไหน บางทีก็หนีไปคิดเรื่องอื่นเลย พวกที่ขยับจนชำนาญแล้วนะ จิตก็หนีไปคิดเรื่องอื่น

เพราะเวลาเราฝึกกรรมฐานนะ ให้จิตมีคเรื่องอยู่สักอันหนึ่ง ถ้ามันเผลอไปก็รู้ทัน มันไปเพ่งอยู่ก็รู้ทัน ฝึกเรื่อยๆตัวรู้จะเด่น เมื่อได้ตัวรู้แล้ว ถัดจากนั้นมาเดินปัญญา


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันศุกร์ที่ ๒o เดือนมกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

File: 550120
CD : สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๓
ระหว่างนาทีที่ ๑๔ วินาทีที่ ๓๘ ถึงนาทีที่ ๑๕ วินาทีที่ ๓๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ได้ความรู้สึกตัว ยังไม่ถึงการเจริญวิปัสสนา

mp3 (for download) : ได้ความรู้สึกตัว ยังไม่ถึงการเจริญวิปัสสนา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : เพราะฉะนั้นต้องซ้อมนะ ของฟรีไม่มี คนในโลกนะ มันฝันมาตลอด มันเกิดมาได้ก็เพราะว่ามันหลง เพราะฉะนั้นจิตของเราที่พากันมาเกิดเนี่ย มันคุ้นเคยกับความหลง ไม่คุ้นเคยกับความรู้สึกตัว จิตไม่คุ้นกับความเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน จิตเคยแต่เป็นผู้คิดผู้นึกผู้ปรุงผู้แต่ง ผู้ปรุงผู้แต่งก็เช่น แต่งการเพ่งการจ้องเอาไว้ก็ได้ แต่งเรื่องไร้สาระทางโลกก็ได้ เป็นความปรุงแต่งทั้งฝ่ายชั่วความปรุงแต่งทั้งฝ่ายดี จิตจะหลงแต่ความปรุงแต่ง จิตไม่คุ้นเคยที่จะเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน เราต้องช่วยมัน ต้องซ้อมมัน

หลวงพ่อตั้งแต่เด็กก็หัดหายใจเข้าพุทหายใจออกโธอะไรอย่างนี้ ฝึกอยู่ ทีแรกจิตออกนอก ไม่รู้ทันจิต จิตหนีไปเที่ยวข้างนอก ไปดูสวรรค์ดูอะไรอย่างนั้นไป จริงหรือเท็จก็ไม่รู้หรอก หาสาระแก่นสารไม่ได้ ไม่ลดละกิเลสเลย

ต่อมาก็เห็นว่า จิตไปอย่างนี้ไม่เห็นได้ประโยชน์อะไรนะ พยายามไม่ให้ไป พยายามรู้สึก พยายามรู้สึก หายใจพอจะเคลิ้มขาดสตินะ ก็หายใจแรงขึ้นนิดหนึ่งให้รู้สึกตัวอยู่เรื่อย ก็ฝึกรู้สึกตัวนะแต่ว่าเดินปัญญาไม่เป็น เพราะฉะนั้นได้ความรู้สึกตัวมา ยังไม่ขึ้นวิปัสสนาหรอก เพียงแต่ได้เครื่องมือมาเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นพวกเรา ไปซ้อมให้ได้เครื่องมือตัวนี้ให้ชำนาญ จิตไหลไปคิดรู้ทัน จิตไปเพ่งรู้ทัน ฝึกให้มาก ในที่สุดเราก็จะได้จิตผู้รู้ขึ้นมา เมื่อเราได้จิตผู้รู้เนี่ย เราได้ต้นทางที่จะเดินปัญญาแล้ว


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันศุกร์ที่ ๒o เดือนมกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

File: 550120
CD : สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๓
ระหว่างนาทีที่ ๑๒ วินาทีที่ ๕๖ ถึงนาทีที่ ๑๔ วินาทีที่ ๓๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เมื่อยังจนอริยทรัพย์ ก็ต้องขยันภาวนา

mp3 (for download) : เมื่อยังจนอริยทรัพย์ ก็ต้องขยันภาวนา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ขอขอบคุณความเอื้อเฟื้อภาพจากบ้านจิตสบาย

หลวงพ่อปราโมทย์ : เราก็ต้องขยันหน่อย เพราะว่าจน บางคนเขาประเภทคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด เขาฟังธรรมะประโยค สองประโยค เขาปิ๊งแล้ว เราไม่ปิ๊ง เราแป๊ก ฟังแล้วแป๊ก แป๊ก

เกิดมาจนต้องขยัน ถ้าเรายังจนด้วยอริยทรัพย์เราก็ต้องขยันภาวนาเอา เดี๋ยววันหนึ่งเราก็รวยขึ้นมาได้ ส่วนท่านที่รวยไปก่อนแล้วท่านก็นิพพานไปหมดแล้ว ทิ้งสมบัติไว้กับโลกไม่ได้เอาไปด้วยหรอก อยู่ที่เราไปเก็บเกี่ยวเอา สมบัติเป็นของกลาง ธรรมะก็ของกลางของโลก ไม่ได้เอาไปนิพพานด้วยหรอก

เพราะฉะนั้นพวกเราต้องอดทนให้มากนะ พยายามดูไปเรื่อย ตั้งใจรักษาศีล ๕ ไว้ ทุกวันต้องฝึกให้ใจอยู่กับตัว วิธีฝึกให้จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวก็คือ อย่าใจลอยนาน ถ้าใจลอยเมื่อไหร่ก็ลืมกายลืมใจ อย่างนี้เรียกว่าไม่มีสมาธิ จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

วิธีที่จะไม่ให้ใจลอยนานก็ต้องซ้อมต้องฝึก ทำกรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา พุทโธก็ได้ รู้ลมหายใจก็ได้ อะไรก็ได้นะ สักอย่างหนึ่งขึ้นมา เลือกที่ทำแล้วสบายใจ วิธีที่ทำแล้วเครียดไม่ต้องไปทำ

ยกตัวอย่างบางคนไปดูท้องพองยุบแล้วเครียด เกร็ง เครียด โรคจิตจะกินแล้วนะ ก็ไม่ต้องเอา กรรมฐานมีตั้งเยอะแยะ เราก็เลือกกรรมฐานที่ทำแล้วสบายใจ บางคนรู้ลมหายใจแล้วขาดสติ เคลิ้ม เห็นโน่นเห็นนี่ไป ก็ไม่เอา

เอาสมาธิที่มันรู้เนื้อรู้ตัว ไม่ให้เคลิ้มไม่ให้หลงไป ทำกรรมฐานอย่างหนึ่งขึ้นมาก่อน แล้วคอยรู้ทันจิต ไม่ใช่ทำกรรมฐานอย่างหนึ่งขึ้นมาเพื่อให้จิตสงบ ปรับนิดนึง เราคุ้นเคยแต่ว่าจะทำกรรมฐานอย่างหนึ่งเพื่อให้จิตสงบ อย่างนั้นมันสมถกรรมฐาน ถ้าจะเอาสมาธิชนิดที่ใช้เจริญปัญญานะ ต้องคอยรู้ทันจิต


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันเสาร์ที่ ๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖

File: 551208A
ระหว่างนาทีที่ ๑๙ วินาทีที่ ๑๙ ถึงนาทีที่ ๒๑ วินาทีที่ ๒๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ฝึกรู้สึกตัว ฝึกดูจิต ก็เพื่อให้เห็นว่าจิตไม่เที่ยง

mp3 for download : ฝึกรู้สึกตัว ฝึกดูจิต ก็เพื่อให้เห็นว่าจิตไม่เที่ยง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมย์ : สุดท้ายปัญญามันเกิด มันจะรู้เลยว่า “สิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับเป็นธรรมดา” เพราะเราเห็นจิตน่ะ จิตที่รู้สึกตัวเกิดแล้วก็ดับ จิตที่ไหลไปเกิดแล้วก็ดับ แต่ถ้าเราไม่มีจิตที่รู้สึกตัวนะ มีแต่จิตที่ไหล คนในโลกมีแต่จิตที่ไหลอย่างเดียวไม่มีจิตที่รู้สึกตัวเลย มันจะไม่เห็นหรอกนะว่าจิตที่ไหลเกิด-ดับ แต่ถ้าเรามีจิตที่รู้สึกตัวขึ้นมานะ จะเห็นเลยจิตที่รู้สึกตัวเกิดแล้วก็ดับ จิตที่ไหลไปเกิดแล้วก็ดับ

เพราะฉะนั้นการที่หลวงพ่อฝึกให้พวกเรามีจิตที่รู้สึกตัว ให้จิตตั้งมั่นมีสมาธิขึ้นมา ไม่ใช่มีสมาธิเพื่อที่จะมีสมาธินะ เรามีสมาธิเนี่ยเพื่อจะตัดตอนความหลงให้ขาดตอนเป็นช่วงๆ มันจะเห็นเลยว่าจิตที่หลงไป หลงไปช่วงหนึ่งแล้วก็ดับ เกิดรู้สึกตัวนิดหนึ่งแล้วก็หลงอีกยาวๆแล้วก็ดับ เกิดรู้สึกตัว สุดท้ายก็จะเห็นว่าจิตที่หลงเกิดแล้วก็ดับ จิตที่รู้สึกเกิดแล้วก็ดับ ไม่ใช่จะเอาจิตที่รู้สึกตัวนะ ไม่ได้ฝึกเพื่อจะเอาอะไรเลย แต่ฝึกเพื่อให้เห็นความจริงว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา” ฝึกเพื่อให้เห็นตรงนี้

ทีนี้บางคนเข้าใจผิดคิดว่าจะต้องฝึกให้รู้สึกตัว ๒๔ ชั่วโมง ฝึกเอาความรู้สึกตัว นั่นคือการฝึกจะเอา ไม่ใช่การฝึกเพื่อที่จะให้เห็นความจริง ฝึกได้มั้ย ฝึกได้ ถ้าทรงฌานนะ จิตผู้รู้เนี่ยตั้งมั่นเด่นดวงอยู่ได้นาน แต่ไม่เกิน ๗ วันหรอก ในภูมิของเรา ในกามาวจร จิตที่ร่อนเร่ไปทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ จิตไม่สงบนาน อย่างมากก็ไม่เกิน ๗ วัน ทั้งๆที่ทรงฌาน ก็เสื่อม เพราะฉะนั้นเราไม่ได้ฝึกเอาจิตเที่ยง แต่เราฝึกให้เห็นว่าจิตไม่เที่ยง

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๖
File 550701
ระหว่างนาทีที่ ๒๖ วินาทีที่ ๕๕ ถึงนาทีที่ ๒๘ วินาทีที่ ๓๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

บทสรุป สำหรับการภาวนา

mp3 for download :บทสรุป สำหรับการภาวนา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : เพราะฉะนั้นพวกเราไปเรียนนะ รักษาศีล ๕ ไว้ รู้สึกตัวบ่อยๆ ฝึกไป จิตไหลไปแล้วรู้ จิตไหลไปแล้วรู้ จิตก็จะตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู พอจิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูแล้ว ก็ดูกายมันทำงานดูใจมันทำงาน แยกธาตุแยกขันธ์ไป เห็นคนอื่นทำงานไปเรื่อย ถึงวันหนึ่งปัญญาแจ้ง เห็นทุกสิ่งทุกอย่างเสมอกันด้วยไตรลักษณ์ จิตไม่ดิ้นรนต่อ มรรคผลก็จะเกิดขึ้น ไปเดินต่อนะ ไปทำเอา


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันอาทิตย์ ที่ ๑๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔

CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๑
ไฟล์ 540710
ระหว่างนาทีที่ ๒๗ วินาทีที่ ๒๑ ถึง นาทีที่ ๓๐ วินาทีที่ ๕๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ใช้จิตที่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู เจริญวิปัสสนา

mp3 for download : ใช้จิตที่ตั้งมั่น เป็นผู้รู้ผู้ดู เจริญวิปัสสนา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : หยุดคิดถึงรู้ ยังไม่ใช่วิปัสสนานะ เพิ่งจะตั้งต้นเท่านั้นเอง เพิ่งหลุด “รู้” หมายถึงหลุดออกจากโลกของความคิด หลังจากนั้นต้องเจริญวิปัสสนาอยู่ดีแหละ ต้องรู้ความจริง ความเป็นไตรลักษณ์ของรูปนาม ด้วยจิตที่เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน นี่ล่ะถึงจะเป็นวิปัสสนาแท้

ถ้าไม่มีจิตที่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานแล้วไประลึกรู้อะไรนะ จิตจะถลำลงไปจ้อง พอรู้ลมหายใจจิตจะจ้องลมหายใจ เพราะจิตไม่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู รู้อิริยาบถ ๔ จิตจะไหลไปจ้องอิริยาบถ จ้องร่างกายทั้งร่างกายเลย ยกตัวอย่างรู้ลมหายใจ จิตจะจ้องอยู่ที่ลม จ้องอยู่ที่ท้อง นี่เป็นการจ้องบางพื้นที่ รู้อิริยาบถ ๔ นะ รู้มันทั้งตัวเลย แต่บางคนก็ยังอุตส่าห์บีม (Beam) ความรับรู้ลงไปอยู่ที่จุดเล็กๆนะ เช่นเดินอยู่ก็ไปรู้อยู่ที่เท้า อะไรอย่างนี้นะ จิตมันจะไปคับแคบอยู่นะ อย่างนั้นไม่ใช่จิตผู้รู้

ถ้ามีจิตผู้รู้ก็จะเห็นร่างกายมันเดิน จิตเป็นคนดู ร่างกายกับจิตเป็นคนละอันกัน ตรงที่เห็นร่างกายกับจิตเป็นคนละอัน นี่ล่ะ แยกรูปแยกนามได้แล้ว เป็นปัญญาขั้นที่ ๑ ใน ๑๖ ขั้น (ญาณขั้นที่ ๑ นามรูปปริจเฉทญาณ – ผู้ถอด) พวกเราตอนนี้คนไหนแยกรูปแยนามได้บ้าง มีมั้ย ยกมือให้ดูซิ เห็นกายอยู่ส่วนกาย จิตอยู่ส่วนจิต ไม่เห็นทั้งวันนะ เห็นเป็นคราวๆนะ เห็นทั้งวันไม่ได้หรอกไม่ใช่ภูมิ(ธรรมของเรา – ผู้ถอด) ไหน ยกมือ ยกให้มันโดดเด่นหน่อย โอ้..เยอะนะ พวกนี้ก็เริ่มเดินปัญญาละ

เห็นมั้ย ร่างกายไม่ใช่ตัวเรา ใครเห็นว่าร่างกายไม่ใช่ตัวเราบ้าง เห็นเป็นคราวๆ ยกมือซิ โอ้..เห็นด้วยการคิดหรือว่าเห็นจริงๆ ถ้าเห็นด้วยการคิดนะ เป็นญาณที่ ๓ เรียกว่า สัมมสนญาณ ถ้าเห็นจริงๆเป็นญาณที่ ๔ ชื่อ อุทยัพพยญาณ (ตรงกันกับอุทยัพพยานุปัสสนาญาณ วิปัสสนาญาณที่ ๑ ในวิปัสสนาญาณ ๙ -ผู้ถอด) ถ้าเห็นด้วยญาณที่ ๔ นี้ ขึ้นวิปัสสนาแล้ว วิปัสสนากรรมฐานนี่น่ะขึ้น(วิปัสสนา-ผู้ถอด)ตรงญาณที่ ๔ ใน ญาณ ๑๖ นะ

ญาณที่ ๑ แยกรูปกับนามออกจากกันได้ (ญาณขั้นที่ ๑ นามรูปปริจเฉทญาณ – ผู้ถอด) เห็นกายอยู่ส่วนกายจิตอยู่ส่วนจิตนะ เป็นคนละอันกัน มีช่องว่างมาคั่น ไม่ใช่อันเดียวกัน ไม่ใช่เนื้อเดียวกัน ร่างกายเคลื่อนไหวนี่นะเป็นอันเดียวกัน มันเป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า แยกอย่างนี้ได้ ได้ญาณที่ ๑

ญาณที่ ๒ เรียกว่า ปัจจัยปริคคหญาณ รู้เลยว่ารูปธรรมต้องมีเหตุถึงจะเกิด นามธรรมต้องมีเหตุถึงจะเกิด สิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุ ไม่ได้เกิดลอยๆ เช่นร่างกายมันจะยืนจะเดินจะนั่งจะนอน เพราะจิตมันสั่งนะ ถ้าจิตไม่สั่งมันไม่เป็น แต่ก็มีเหมือนกันนะ กะจะเดินนะ ไปเหยียบเปลือกกล้วยเข้า ลงไปนอน อันนั้นจิตไม่ได้สั่งนะ แต่ซุ่มซ่าม เนี่ยไปคอยรู้เอา รู้เข้าไปเลย เห็นร่างกายส่วนร่างกาย จิตส่วนจิต เห็นเลยว่าร่างกายเคลื่อนไหวได้เพราะจิตมันสั่ง อะไรอย่างนี้ ร่างกายอ้าปากพะงาบๆได้ เพราะจิตมันสั่งนะ

จิตล่ะ มันเกิดได้อย่างไร มีการกระทบอารมณ์ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจนะ ไปกระทบอารมณ์ขึ้นมานะ จิตก็เกิดขึ้นมารับรู้อารมณ์ได้นะ มีหลายอย่างนะ องค์ประกอบของมัน เพราะฉะนั้นมันอิงอาศัยกันระหว่างรูปธรรมนามธรรม ทำงานร่วมกันอยู่

ต่อไปเราก็จะเริ่มเห็นความเป็นไตรลักษณ์ของมัน เห็นเลย เออ.. ทุกอย่างตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์นะ หน้าตาของเราวันนี้หน้าตาของเราตอนเด็กๆก็ไม่เหมือนกัน นี่เห็นไตรลักษณ์ด้วยการคิดเปรียบเทียบ นี่เป็นญาณที่ ๓ นะ ชื่อ สัมมสนญาณ

ต่อมาไม่คิดแล้ว เห็นสภาวะสดๆร้อนๆเลย เห็นสภาวะสดๆร้อนๆ เห็นรูปธรรมที่หายใจออกเห็นรูปธรรมทีหายใจเข้าเป็นคนละอันกันนะ เห็นจิตใจเดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์เดี๋ยวดีเดี๋ยวชั่ว หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยนะ เกิดดับหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย การที่เห็นการเกิดดับของรูปธรรมนามธรรมนั้นแหละเรียกว่า อุทยัพพยญาณ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันอาทิตย์ ที่ ๑๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔

CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๑
ไฟล์ 540710
ระหว่างนาทีที่ ๑๘ วินาทีที่ ๓๗ ถึง นาทีที่ ๒๒ วินาทีที่ ๓๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

คู่มือการปฏิบัติธรรม (๑๑) ทันทีที่รู้ทันจิตที่เคลื่อนไป จิตจะตั้งมั่นโดยอัตโนมัติ

mp 3 (for download) : คู่มือการปฏิบัติธรรม (๑๑) ทันทีที่รู้ทันจิตที่เคลื่อนไป จิตจะตั้งมั่นโดยอัตโนมัติ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : เพราะงั้นเรามาฝึกนะ พุทโธไป หายใจไป ดูท้องพองยุบไปตามถนัด แล้วคอยรู้ทันจิต จิตหนีไปคิดรู้ทัน จิตลงมาเพ่งอยู่ที่อารมณ์อันนั้นนะ มาอยู่กับพุทโธ มาอยู่กับลมหายใจ มาอยู่กับท้อง จิตเคลื่อนไปอยู่(กับ)สิ่งเหล่านี้ รู้ทัน

การที่เราคอยรู้ทันจิต ที่เคลื่อนไปเคลื่อนมาเนืองๆเนี่ย ทันทีที่รู้ทัน จิตจะตั้งมั่นโดยอัตโนมัติ เพราะจิตที่เคลื่อนเนี่ยนะ คือจิตที่มีโมหะ จิตที่เคลื่อนเป็นจิตที่มีโมหะ โมหะชนิดที่เรียกว่า “อุทธัจจะ” ความฟุ้งซ่าน จิตมันฟุ้งไปในความคิดบ้าง ฟุ้งไปที่ลมหายใจบ้าง ฟุ้งไปที่ท้องบ้าง ฟุ้งไปที่เท้าบ้าง

ถ้าเมื่อไหร่เรามีสติ รู้ทันนะ ว่าจิตมันเคลื่อนไปนะ จิตจะไม่เคลื่อน จิตจะตั้งมั่นขึ้นโดยอัตโนมัติ โดยที่เราไม่ได้บังคับ ถ้าเราบังคับ จิตจะตึงเครียด ถ้าจิตตึงเครียด จิตเป็นอกุศล ไม่ใช่จิตที่ดีเลย เพราะงั้นอย่าไปข่ม อย่าไปกด อย่าไปบังคับ อย่าไปกดขี่ข่มเหงจิตใจ แล้วให้คอยรู้ทันเท่านั้น ว่าจิตมันเคลื่อนไป เคลื่อนไปคิด รู้ทัน เคลื่อนไปเพ่ง รู้ทัน ให้รู้ทันเฉยๆ

ทันทีที่รู้ทันนะ เราจะเริ่มเก็บคะแนนของความรู้สึกตัวไว้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าจิตไหลไปคิด เคลื่อนไปคิด เรารู้ว่าจิตเคลื่อนไปคิด จิตจะตั้งมั่นขึ้นโดยอัตโนมัติเลย แต่ถ้าเคลื่อนไปเพ่งนะ เวลาไปดูเนี่ย บางทีถลำตามไปอีก เลยไม่ขึ้นมาเลยก็มี แต่ถ้ารู้ว่าจิตเคลื่อนไปอยู่ที่ท้อง จิตจะขึ้นมาได้นะ ขึ้นมาเอง แต่ส่วนใหญ่พอไปดูซ้ำนะ มันก็ซ้ำลงไปอีก ไปอยู่ที่ท้องหนักขึ้น ไปอยู่ที่ลมหนักขึ้น

เพราะงั้นบางทีบอก ดูแล้วทำไมก็ไม่หายเพ่ง ก็(เพราะว่า)ดูแบบเพ่งๆ ยิ่งดูยิ่งเพ่ง แต่เวลาเผลอไปคิดเนี่ย ทันทีที่รู้ ว่าจิตเผลอไปคิด จิตจะดีดตัวผางขึ้นมา เป็นผู้รู้ทันทีเลย ทันทีที่จิตเป็นผู้รู้แล้ว มันจะรู้สึกกายได้ มันจะรู้สึกใจได้ มันจะกลับมาอยู่กับตัวเอง เรียกว่า จิตใจกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่บ้านจิตสบาย
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

CD: บ้านจิตสบาย วันที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕
File: 550805A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๐ วินาทีที่ ๑ ถึง นาทีที่ ๒๒ วินาทีที่ ๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

คู่มือการปฏิบัติธรรม (๗) ฝึกจิตให้ย้อนกลับมารู้สึกตัวให้ได้

mp 3 (for download) : คู่มือการปฏิบัติธรรม (๗) ฝึกจิตให้ย้อนกลับมารู้สึกตัวให้ได้

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : เพราะงั้นก่อนที่เราจะมารู้กายรู้ใจตัวเองได้ เราต้องมาฝึกจิต ให้มันย้อนกลับมารู้ตัวให้ได้ก่อน ต้องรู้สึกตัวให้ได้ก่อน ถึงจะดูกายได้ ต้องรู้สึกตัวให้ได้ก่อน ถึงจะดูจิตใจของตัวเองได้ ถ้าเรารู้สึกตัวไม่ได้ มีร่างกายนะ ก็เหมือนไม่มี เราลืมมันทั้งวัน

อย่างเวลาที่เราหลงไปคิด เวลาที่เราหลงไปคิด รู้สึกไหม ร่างกายเราก็ยังอยู่นะ แต่เราลืมมัน จิตใจของเราสุขบ้างทุกข์บ้าง ดีบ้างร้ายบ้าง เวลาที่เราหลงไปคิดนี่ จิตใจก็สุขบ้างทุกข์บ้าง ดีบ้างร้ายบ้าง แต่เราไม่เห็น เรามัวแต่ไปรู้เรื่องราวที่คิด หรือไม่ก็สนใจออกนอก ไปดูคนอื่น ไปฟังเสียงข้างนอกนะ ไปดมกลิ่น ไปลิ้มรส เนี่ยใจเราออกนอก ไปอยู่ที่รูปที่เสียง ที่กลิ่นที่รส ไปอยู่ที่สิ่งที่มาสัมผัสร่างกาย หรือไปอยู่กับเรื่องราวที่คิดนึกนั้น เรียกว่าธรรมารมณ์ทางใจ ใจไปคิดไปนึก ไปปรุงไปแต่ง ใจมันไม่ย้อนเข้ามา ที่ตาหูจมูกลิ้นกายใจ มันไม่สนใจตาหูจมูกลิ้นกายใจ มันสนใจที่รูปที่เสียง ที่กลิ่นที่รส ที่สัมผัส เรียกว่าโผฏฐัพพะ สัมผัสทางกาย และก็เรื่องราวที่คิดนึกทางใจ

เนี่ยมันสนใจออกนอกทั้งหมดเลย มันสนใจรูป มันไม่สนใจตา มันสนใจเสียง มันไม่สนใจหู มันสนใจกลิ่น มันไม่สนใจจมูก มันสนใจรส มันไม่สนใจลิ้น มันสนใจความเย็นความร้อน ความอ่อนความแข็ง ที่มากระทบร่างกาย ไม่สนใจร่างกาย สนใจแต่เรื่องราวที่คิดนึกปรุงแต่ง ไม่สนใจว่าจิตใจของตนเป็นอย่างไร

เนี่ยใจมันออกนอกอย่างนี้ตลอดเวลานะ เรียกว่าใจไม่ตั้งมั่น ใจไม่ถึงฐาน ใจไม่มีสมาธิ ใจมันออกไปหมด งั้นมันจะไปอยู่ที่รูปที่เสียง ที่กลิ่นที่รส ที่โผฎฐัพพะ ที่ธรรมารมณ์คือเรื่องราวต่างๆ ที่ใจไปคิดไปนึกขึ้นมา เราต้องกลับข้างให้ได้นะ อย่าปล่อยให้ใจไหลออกไปทางตา แล้วลืมตัวเอง อย่าปล่อยให้ใจไหลไปทางหู แล้วลืมตัวเอง อย่าปล่อยให้ใจไหลไปคิด แล้วลืมตัวเอง พยายามรู้สึกตัวให้มากที่สุด พยายามรู้สึก รู้สึกไป เราต้องมาฝึกที่จะรู้สึกตัว เพราะตั้งแต่เกิดมานั้น ใจเราคุ้นเคยกับความไม่รู้สึกตัว ใจเราคุ้นเคยที่จะไหลออก ไปทางตาทางหู ทางจมูกทางลิ้น ทางกาย ไหลไปคิดนึกทางใจ ใจเคยไหลออกนอกตลอดเวลา เราไม่คุ้นเคยนะ ที่จะย้อนกลับเข้ามา แล้วมารู้สึกตัวอยู่

งั้นต้องฝึก ธรรมชาติของจิตนั้น เป็นอนัตตา บังคับไม่ได้  สั่งไม่ได้ แต่จิตเป็นธรรมชาติที่ฝึกได้ งั้นไม่ใช่ว่าจิตเป็นอนัตตา แล้วก็ต้องปล่อยตามเวรตามกรรม ไม่ใช่ จิตเป็นธรรมชาติที่ฝึกได้ มันถูกฝึกให้ออกนอกมาตลอดตั้งแต่เกิด สนใจสิ่งภายนอกมาตลอด สังเกตไหม เราไปเยี่ยมเด็กเล็กๆ เราชอบเอามือไปล่อมัน รู้สึกไหม เห็นเด็กมันเกิดใหม่ๆนะ มือไปแกว่งหน้ามัน ล่อมันให้ออกนอกนะ เวรกรรมนะเนี่ย สอนให้เด็กส่งจิตออกนอก ตั้งแต่เล็กๆขนาดนั้นเลย เห็นไหม ใครเคยเป็นบ้าง ไปเจอเด็กแล้วต้องไปแหย่ๆ ยกมือซิ เออ เนี่ยมีกรรมนะ ไปพาเด็กส่งจิตออกนอก เห็นไหม เราถูกสอนอย่างนี้ตั้งแต่เกิดเลย เล็กๆก็ถูกสอน นี่พ่อนะนี่แม่นะ สอนไหม นี่ตัวเธอเองนะ เธอย้อนมาดูนะ มีใครสอนไหม มีแต่นี่พ่อนะนี่แม่นะ ส่วนมากจะแม่ก่อน แม่ เรียกแม่สิลูก แม่ๆๆ ให้ออกนอก ทุกอย่างมีแต่เรื่องออกนอก สมัยก่อนไม่มีอะไรให้เด็กดูนะ เอาปลาตะเพียนมาห้อยไว้ ใครเคยเห็นบ้าง ปลาตะเพียนใบลานน่ะ ใครเคยนอนดูปลาตะเพียนใบลานบ้าง มีไหม เหลือน้อยเต็มทีแล้ว ต้องรุ่นเก๋ากึ้กอย่างหลวงพ่อเลย นอนดูปลาตะเพียน ออกนอกไหม

เห็นไหมว่าเราถูกฝึก ให้ออกนอกตลอดเวลา เราไม่เคยถูกฝึก ให้ย้อนกลับมาที่ตัวเราเองเลย เพราะงั้นเราต้องฝึกนะ อยู่ๆมันไม่ย้อนเข้ามาหรอก ต้องฝึก มันเคยชินที่จะไปข้างนอก


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่บ้านจิตสบาย
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

CD: บ้านจิตสบาย วันที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕
File: 550805A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๒ วินาทีที่ ๖ ถึง นาทีที่ ๑๖ วินาทีที่ ๒๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ถ้ารู้ความจริง เราจะมีความสุขที่ไม่อิงอาศัยสิ่งอื่น

mp 3 (for download) : ถ้ารู้ความจริง เราจะมีความสุขที่ไม่อิงอาศัยสิ่งอื่น

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : งั้นอย่าลืมนะ พยายามรู้สึกตัวให้บ่อยๆ ใจหนีไปรู้ทัน รู้สึกตัว รู้สึกตัวเรื่อยๆ พอรู้สึกตัวแล้วก็อย่าอยู่เฉยๆนะ ถ้ามีความสุขเกิดขึ้นในร่างกายก็รู้ ความสุขหายไปก็รู้ ความทุกข์เกิดในร่างกายก็รู้ ความทุกข์หายไปก็รู้ เนี่ยมันเกิดอยู่ตลอดเวลา

อย่างเรานั่งอยู่เนี่ย พวกเราหลายคนนั่งเกาไปเรื่อยๆนะ คนนู้นเกาคนนี้เกานะ ขยุกขยิกๆนะ ยกเว้นแต่นั่งเพ่งๆเอาไว้ เราคันตรงโน้น คันตรงนี้ นี่ความทุกข์มันเกิดในร่างกาย หรือเรานั่งแล้วเดี๋ยวเราก็ขยับตัวนะ ขยับเอวขยับไหล่ ทำไมต้องขยับล่ะ เพราะความทุกข์มันเกิดขึ้น เราก็ขยับตัวหนีความทุกข์ไป เรายังลุกขึ้นเดินไม่ได้ ยังต้องนั่งอยู่ ลุกขึ้นเดินก็เสียมารยาท ก็ต้องนั่งอยู่ นั่งแล้วมันเมื่อย ก็ต้องขยับไปขยับมา

ความทุกข์ในร่างกายของเรานี้ เป็นสิ่งที่อยู่กับตัวเรา มาแต่ไหนแต่ไร กระทั่งตอนนอนหลับ เราก็ต้องพลิกซ้ายพลิกขวา คืนนึงตั้งหลายสิบครั้ง เพราะว่ามันมีความทุกข์ มันปวดมันเมื่อยขึ้นมา เนี่ยเป็นของอยู่กับตัวเราแท้ๆนะ มีมาตั้งแต่เด็กนะ เราไม่เคยสนใจ เราไม่เคยเรียนรู้ เราไม่รู้ ว่านี่แหล่ะของสำคัญ นี่แหล่ะ ถ้าเราเรียนรู้แล้ว วันนึงใจเราจะไม่ทุกข์อีกต่อไปนะ ใจจะมีแต่ความสุขอันมหาศาล ที่ไม่มีอะไรเหมือนเลย เป็นความสุข ที่ไม่อิงอาศัยคนอื่น ไม่อิงอาศัยสิ่งอื่นเลย

ความสุขในโลกนี่ เป็นความสุขที่ต้องอิงอาศัยคนอื่น อิงอาศัยสิ่งอื่น เช่นเราต้องอยู่กับคนๆนี้ เราจะมีความสุข ถ้าขาดคนๆนี้ไป เราก็มีความทุกข์ เราต้องได้ตำแหน่งอย่างนี้ ถึงจะมีความสุข แต่เสียตำแหน่งนี้ไป เราจะทุกข์ ต้องมีเงินมากๆ ถึงจะมีความสุข ถ้าไม่มีเงิน เรามีความทุกข์ ต้องมีบ้านแบบนี้ ถึงจะมีความสุข ถ้าบ้านเราเสียหายไปนะ เรามีความทุกข์

แม้ว่าความสุขในโลกนะ เป็นความสุขที่อิงอาศัยคนอื่น อิงอาศัยสิ่งอื่นอยู่ตลอดเวลาเลย แต่ถ้าเรามาหัดเรียนรู้ความจริง ของกายของใจเรื่อยไป เราจะพบความสุขที่ไม่มีอะไรเหมือน คือความสุขที่ไม่อิงอาศัยอะไรนะ เป็นตัวของตัวเอง มีความสุขอยู่ด้วยตัวของตัวเองได้

ร่างกายจะแก่ จิตใจก็ยังมีความสุข ร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วย จิตใจก็มีความสุข ร่างกายจะตาย จิตใจก็มีความสุข คนที่เรารักนะพลัดพรากไป ใจเรานะก็ยังมีความสุข มีความสงบอยู่ได้ เพราะมันเห็นความจริงแล้ว ว่าทุกอย่างในชีวิตเรา มาแล้วก็ไป ทุกอย่างมันชั่วคราว เนี่ยเคล็ดลับมันอยู่ตรงนี้แหล่ะ ตรงที่ว่า เรารู้สึกตัว แล้วเรามาเห็นความจริงในกายในใจให้มาก ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนวันนึงจิตใจเรายอมรับความจริงได้ (ว่า)ปรากฎการณ์ทุกอย่างนะ ทั้งรูปธรรมนามธรรม ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเราเนี่ย เป็นของชั่วคราว ถ้าเห็นได้อย่างนี้นะ ใจก็จะค่อยคลายออก แล้วมีความสุขที่ไม่มีอะไรเหมือน


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย
เมื่อ วันพุธที่ ๒๘ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๕

CD: แสดงธรรมที่ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย
File: 551128
ระหว่างนาทีที่ ๒๐ วินาทีที่ ๐๑ ถึง นาทีที่ ๒๒ วินาทีที่ ๔๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สัมมาสมาธิ

mp 3 (for download) : สัมมาสมาธิ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ :ตัวสัมมาสมาธิเนี่ย เป็นสิ่งที่หลวงพ่อเห็นว่าพวกเราพลาดมากที่สุดเลย สติอีกตัวนึงพลาดมาก นี้สติยังไปเพ่งๆอะไรขึ้นมา สติยังเกิดได้นะ แต่สัมมาสมาธินี่เกิดยากมากเลย

เพราะพวกเราคุ้นเคยกับมิจฉาสมาธิ สมาธิที่เพ่งเอา เราไม่คุ้นเคยกับสมาธิที่จิตตั้งมั่นในการรู้อารมณ์ เราคุ้นเคยแต่สมาธิที่จิตเข้าไปตั้งแช่อยู่ในตัวอารมณ์ จิตที่ไปตั้งแช่นิ่งอยู่กับอารมณ์นะ เรียกว่า “อารัมมณูปนิชฌาน” เป็นจิตที่ใช้ทำสมถะนะ มีการทำสมถะ เพราะงั้นเราไปดูท้องพองยุบ แล้วเราเพ่งจิตไปเกาะที่ท้องเนี่ย สมถะ รู้ลมหายใจแล้วจิตไปเกาะนิ่งอยู่กับลมหายใจนี่ สมถะ ค่อยๆฟังนะ ฟัง ค่อยๆเรียน ค่อยๆฟังไป

จิตที่เป็นสัมมาสมาธิเกิดแล้วเนี่ย ปัญญาถึงจะเกิดได้ เพราะปัญญามีสัมมาสมาธิเป็นเหตุใกล้ให้เกิด ปัญญาไม่ใช่เกิดจากการคิดนะ ปัญญาที่เกิดจากการคิดเรียก “จินตามยปัญญา” ไม่ใช่  “ภาวนามยปัญญา” ภาวนามยปัญญาเนี่ย เกิดจากจิตตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิ เป็นแค่ผู้รู้ ผู้ดู เห็นปรากฎการณ์ทั้งหลาย ปรากฏขึ้นมา เกิดขึ้นมา แล้วก็ดับไป เห็นสภาวะธรรมทั้งหลายในแต่ละปรากฎการณ์ ล้วนแต่ไม่ใช่ตัวเราทั้งสิ้น ใจมันจะเห็นอย่างนี้นะ มันถึงมีปัญญา

งั้นตัวนี้ต้องเรียนนะ หลวงพ่อก่อนจะบวชเนี่ย หลวงพ่อตระเวนไปตามสำนักต่างๆมากมาย หลวงพ่อไปดูว่าเราจะไปบวชสำนักไหนดี บางแห่งสำนักดีนะ ครูบาอาจารย์ดี แต่ครูบาอาจารย์ไม่มีเวลาเลย ครูบาอาจารย์ไม่อยู่วัดน่ะ รับนิมนต์ไปทุกวันๆนะ หายไปเลย หรือบางแห่งมีแต่รูปแบบ หลายแห่งเพ่งลูกเดียว กระทั่งในสำนักที่บอกว่าทำแต่วิปัสสนานะ จริงๆแล้วติดสมถะ เกือบทั้งหมดน่ะติดสมถะ นักปฏิบัติ

เพราะว่าอะไร เพราะว่าเวลาเราเรียนธรรมะ เราเรียนข้ามขั้น เราถือศีล พอเรามีศีลสิกขาใช่มั้ย แล้วเราก็ไปกำหนดรูปนามเลย เราไปเจริญปัญญาสิกขา เราข้ามจิตสิกขาไปบทเรียนนึง

เพราะงั้นถ้าเราไม่ได้เรียนจิตสิกขาให้ถ่องแท้ซะก่อนเนี่ย จิตจะไม่มีสัมมาสมาธิ งั้นจิตจะไปเพ่ง ไปรู้ท้องก็เพ่งท้อง รู้เท้าเพ่งเท้า รู้ลมเพ่งลม รู้มือเพ่งมือ รู้อะไรก็เพ่งอันนั้น จะไม่สักว่ารู้สักว่าเห็น พวกเราเรียนข้ามขั้นนะ

เนี่ยเที่ยวตระเวนไปนะ บางที่ก็ส่วนใหญ่จะไปแอบดูเค้านะ ถ้าไปนั่งเรียนเนี่ยมันยาวใช่มั้ย หลายชั่วโมงหลายวัน ส่วนมากหลวงพ่อเป็นคนใจเราว่องไวหน่อย เราไปแอบดู ดูตัวอาจารย์นั่นแหล่ะดีที่สุดเลย ดูเวลาอาจารย์เค้าภาวนานะ ก็จะโอ้ เข้าใจรวดเร็ว

นี้ไปเห็นหลวงพ่อเทียน หลวงพ่อเทียนนี้เนี้ยบจริงๆ ลูกศิษย์หลวงพ่อเทียนที่เยี่ยมมากๆก็หลวงพ่อคำเขียนนี่แหล่ะ

งั้นถ้าใจเรามีสัมมาสมาธิ มันจะตั้งมั่น สักว่ารู้สักว่าเห็น ปัญญามันจะเกิด มันจะเห็นเลย ทุกอย่างเนี่ยไม่ใช่ตัวเรา แต่ถ้าใจเราไม่มีสัมมาสมาธิ ไม่ตั่งมั่น ไปดูอะไรมันก็จะเป็นเราไปหมดเลย เห็นความโกรธเกิดขึ้น มันก็เป็นเราโกรธ เห็นขามันเมื่อย ก็เป็นขาของเราเมื่อย จะเป็นอย่างนี้ตลอด

เพราะนั้นเวลาที่เราใจเราไม่ตั้งมั่น ไปรู้สิ่งต่างๆนะ เราจะสะสมความรู้สึกผิดๆ ความเห็นผิดๆตลอดเวลาเลย สะสมว่ามันมีตัวเรา มันมีตัวเรา แต่ถ้าเรามีสติถูกต้องที่เรียกว่า”สัมมาสติ” มีสมาธิถูกต้องเรียกว่า”สัมมาสมาธิ”นี่ ปัญญาที่เกิดขึ้นจะเป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นปัญญาที่ถูกต้อง


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ ศาลากาญจนาภิเษก (ศาลาลุงชิน)
เมื่อวันวันอาทิตย์ที่ ๒๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

CD: ศาลาลุงชิน ครั้งที่ ๑๑
File: 500520.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๔ วินาทีที่ ๑๙ ถึง นาทีที่ ๒๘ วินาทีที่ ๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทุกคนรู้สึกตัวได้ แต่ละเลยที่จะรู้

mp 3 (for download) :  ทุกคนรู้สึกตัวได้ แต่ละเลยที่จะรู้

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : คืออันแรกรู้สึกตัวให้เป็น พอรู้สึกตัวได้แล้วก็คอยดูกายเค้าทำงาน คอยดูจิตใจเค้าทำงานเรื่อยไป

อย่าไปทำจิตให้ว่างๆ ทำจิตให้ว่างไม่เกิดปัญญา ต้องมาเรียนรู้สติปัฏฐาน ๔ นะ รู้สึกอยู่ในกาย รู้สึกอยู่ในความรู้สึกสุขทุกข์ทั้งหลาย ความสุขเกิดขึ้น รู้ทัน ความสุขหายไป รู้ทัน ความทุกข์เกิดขึ้น รู้ทัน ความทุกข์หายไป รู้ทัน หรือจิตตานุปัสสนานะ จิตโลภขึ้นมาก็รู้ทัน จิตเลิกโลภแล้วหายโลภแล้ว ก็รู้ทัน จิตโกรธแล้วก็รู้ทัน จิตหายโกรธแล้วก็รู้ทัน

พวกเรารู้ได้อยู่แล้ว รู้ได้ทุกคนอยู่ แต่เราละเลยที่จะรู้ เพราะเราไม่รู้ว่ามันสำคัญขนาดไหน ในการที่จะคอยรู้สึกตัว แล้วเห็นความจริงของกายของใจ เห็นการทำงานของกายของใจ

ทุกคนรู้สึกได้ ทุกคนดูได้ แต่ละเลย ไม่สนใจมัน อย่างร่างกายเราหายใจออก เราคอยรู้สึก เราก็เห็นร่างกายหายใจออก มันจะยากอะไร ร่างกายหายใจเข้านะ เราก็รู้สึกตัวอยู่ เราเห็นร่างกายหายใจเข้า มันจะไปยากอะไร ความสุขความทุกข์เกิดขึ้นในร่างกาย เราก็รู้จักอยู่แล้ว ร่างกายสุขร่างกายทุกข์ แต่เราละเลยไม่สนใจ ความสุขความทุกข์จะเกิดในจิตใจ พวกเรารู้จักมั้ย ความสุขเป็นยังไง เราก็รู้จัก ถามว่าความทุกข์เป็นยังไง รู้จักมั้ย ก็รู้จักใช่มั้ย ความเฉยๆเป็นยังไง รู้จักมั้ย ก็รู้จักอีก ความโลภเป็นยังไง รู้จักมั้ย ความโกรธเป็นยังไง รู้จักมั้ย ความหลง ความฟุ้งซ่าน ความหดหู่ ความดีใจ ความเสียใจ ความกังวล ความเบื่อความหน่าย ความเซ็ง ความอิจฉาพยาบาท ความเครียด ความกังวล สารพัดความรู้สึกเลยนะ เรารู้จักอยู่ทุกชนิดอยู่แล้ว แต่เราละเลย เราไม่สนใจที่จะเรียนรู้ สิ่งที่กำลังปรากฎในกายในใจของเรา

เพราะงั้นเราไม่รู้หรอก ว่าตรงนี้เป็นของสำคัญนะ เราจะพ้นจากทุกข์ได้ ก็เพราะเราได้เรียนรู้ความจริง ในกายในใจนี้แหล่ะ เรียนให้มาก จนจิตมันยอมรับความจริง ว่าทุกอย่างที่ปรากฎขึ้นในร่างกาย ก็เป็นของชั่วคราว ทุกอย่างที่ปรากฎขึ้นในจิตใจ ก็เป็นของชั่วคราว ถ้ายอมรับตรงนี้ได้ ความทุกข์ทางใจมันก็หายไป มันไม่ปฏิเสธปรากฎการณ์ ที่กำลังกรากฎขึ้นต่อหน้าต่อตานี่แหล่ะ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย
เมื่อ วันพุธที่ ๒๘ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๕

CD: แสดงธรรมที่ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย
File: 551128
ระหว่างนาทีที่ ๑๗ วินาทีที่ ๕๐ ถึง นาทีที่ ๒๐ วินาทีที่ ๐๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สมาธิชนิดลืมเนื้อลืมตัวไม่ใช่ทาง พ้นทุกข์ไม่ได้จริง

mp 3 (for download) :  สมาธิชนิดลืมเนื้อลืมตัวไม่ใช่ทาง พ้นทุกข์ไม่ได้จริง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : สมัยพุทธกาลนะ เจ้าชายสิทธัตถะออกจากวังมา สิ่งแรกที่ท่านไปทำ ก็ไปเรียนกับฤาษี ทำสมาธิให้จิตนิ่งๆว่างๆนี้แหล่ะ แล้วท่านก็พบว่ามันไม่ใช่ทาง ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์จริง วันนี้สงบ อีกวันก็ฟุ้งซ่านอีกแล้วนะ วันนี้ไม่มีกิเลส อีกวันนึงก็กิเลสมาอีกแล้ว ท่านก็พบว่ามันไม่ใช่ทาง ท่านก็ไปทรมานร่างกาย แล้วก็พบว่าไม่ใช่ทางอีก

สุดท้ายท่านก็พบทางสายกลางนะ เป็นสมาธิธรรมชาติที่ท่านมีมาตั้งแต่เด็ก เมื่อตอนท่านอายุ ๓ ขวบ มีพิธีแรกนาขวัญ พี่เลี้ยงเอาท่านไปไว้ใต้ต้นหว้า แล้วพี่เลี้ยงก็ไปดูพระเจ้าสุทโธทนะไถนา ขณะนั้นท่านอยู่คนเดียว ไม่มีใครกวนท่าน ท่านก็ลุกขึ้นนั่งสมาธิ หายใจไปด้วยความรู้สึกตัว หายใจออกรู้สึกตัว หายใจเข้ารู้สึกตัว ไม่ได้หายใจแล้วให้จิตไปอยู่ที่ลมหายใจ ไม่ได้หายใจแล้วก็จิตเคลิ้มๆ ลืมเนื้อลืมตัว หายใจแล้วรู้สึกตัว จิตท่านตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมานะ ได้ปฐมฌานขึ้นมา

เนี่ยท่านระลึกถึงสมาธิชนิดนี้ขึ้นมาได้ ตอนท้ายๆของการปฏิบัติของท่าน ท่านก็มานั่งหายใจนะ หายใจด้วยความรู้สึกตัว หายใจออกรู้สึกตัว หายใจเข้ารู้สึกตัว เห็นร่างกายมันหายใจ ใจเป็นคนดู ร่างกายมันหายใจ ใจเป็นคนดู ใจค่อยสงบนะ แล้วก็ไม่ลืมเนื้อลืมตัว รู้สึกตัวอยู่ตลอดเลย สมาธิชนิดที่รู้สึกตัวเนี่ย กระทั่งบางทีภาวนาไปจนร่างกายหายนะ โลกธาตุดับนะ พายุกำลังตึงตังๆเนี่ย จิตเข้าสมาธิ รู้สึกตัวอยู่เนี่ย โลกดับไปเลย ไม่มีเลยพายุฟ้าผ่าอะไรเนี่ย ไม่มีรู้สึกเลยนะ แต่ความรู้สึกตัวไม่หายไป ยังรู้สึกตัวอยู่ตลอดสายของการปฏิบัติเลย ต้องมีสมาธิอย่างนี้ ถึงจะใช้ได้

ถ้าสมาธิที่ทำไป แล้วก็ลืมกายลืมใจ เคลิ้มๆ ลืมเนื้อลืมตัว มันจะไปเจริญปัญญาได้ไง เพราะเจริญปัญญา คือการเรียนรู้ความจริงของกายของใจ

งั้นพวกเราต้องมาฝึกนะ ให้จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวนะ ถ้าพูดถึงคำว่าสมาธินะ ที่จะใช้สมาธิที่ดีๆ พูดภาษาไทยง่ายๆ ก็คือฝึกให้จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ลืมเนื้อลืมตัว จะยืนเดินนั่งนอน ก็รู้สึกตัว จะหายใจออก จะหายใจเข้า ก็รู้สึกตัว มีความสุข ก็รู้สึกตัว มีความทุกข์ ก็รู้สึกตัว ใจมันโลภ ใจมันโกธรธ ใจมันหลง ก็รู้สึกอยู่ เห็นใจมันโกรธนะ เราเป็นคนดูเอง จิตใจเป็นคนรู้ ว่าความโกรธมันเกิดขึ้น จิตใจเป็นคนรู้ ว่าความโลภมันเกิดขึ้น ความหลงมันเกิดขึ้น ความฟุ้งซ่านความหดหู่ มันเกิดขึ้น ใจเราเป็นแค่คนดูเอง ใจเราเป็นคนดู เห็นความสุขเกิดขึั้น เห็นความทุกข์เกิดขึ้น เห็นความสุขหายไป (เห็น)ความทุกข์หายไป

ฝึกอย่างนี้เรื่อยๆ คอยรู้สึกตัว แล้วก็ดูความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง ของกายของใจเรื่อยไป นี่แหล่ะวิธีที่เราจะเรียนรู้ ความจริงของกายของใจได้นะ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย
เมื่อ วันพุธที่ ๒๘ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๕

CD: แสดงธรรมที่ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย
File: 551128
ระหว่างนาทีที่ ๑๔ วินาทีที่ ๕๙ ถึง นาทีที่ ๑๗ วินาทีที่ ๕๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตตั้งมั่นสำคัญมาก จิตไม่ตั้งมั่นเจริญปัญญาไม่ได้จริง

mp 3 (for download) : สมาธิแบบจิตตั้งมั่นสำคัญมาก จิตไม่ตั้งมั่นเจริญปัญญาไม่ได้

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : สมาธิมี ๒ อย่าง สมาธิอย่างที่ ๑ จิตไปสงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว เช่น เราไปพุทโธๆ จิตไปอยู่กับพุทโธ ไม่ไปไหนเลย จิตก็สงบ มีความสุขมีความสงบ จะไม่เกิดปัญญาหรอก จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เพราะจิตใจไปอยู่กับพุทโธ หรือเรารู้ลมหายใจออก รู้ลมหายใจเข้านี้ จิตใจเราวิ่งไปอยู่กับลมหายใจ หรือวิ่งไปคิด”ตอนนี้หายใจออก…ตอนนี้หายใจเข้า” วิ่งไปคิดบ้างนะ วิ่งไปเพ่งอยู่กับลมหายใจบ้าง อย่างนั้นก็ไม่ใช่จิตใจที่อยู่กับเนื้อกับตัว จิตใจมันไหลไปอยู่ที่ลมต่างหาก ไปดูท้องพองยุบนะ จิตก็ไหลไปอยู่ที่ท้อง หรือไม่ก็หนีไปคิด “ตอนนี้ท้องพอง…ตอนนี้ท้องยุบ” จิตใจก็ไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัว สมาธิแบบนี้ทำได้ ก็จะได้แต่ความสุขความสงบชั่วครั้งชั่วคราว หรือบางคนก็น้อมจิตไปอยู่ในความว่าง บอกว่าจะไม่ยึดอะไรเลยนะ นึกๆเอาเอง ว่าจะไม่ยึดอะไรเลย น้อมใจให้ว่าง ไม่คิดไม่นึกไม่ปรุงไม่แต่ง ความจริงก็คือแต่งความว่างๆขึ้นมา แล้วไปจับอยู่ที่ความว่าง อันนี้ใจมันก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนะ มันไปอยู่ที่ความว่าง

เพราะงั้นสมาธิที่จะใช้ในการเจริญปัญญา มาเรียนรู้ความจริงของกายของใจ เป็นสมาธิอีกชนิดนึง เป็นสมาธิที่จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว เป็นสมาธิที่วิเศษที่สุดเลย แต่อาภัพที่สุดเลย ไม่มีใครเรียนเท่าไหร่หรอก ส่วนมากก็คิดแต่ทำสมาธิแบบฤาษีชีไพรไป ทำใจให้สงบนิ่งๆว่างๆไป ไม่เกิดปัญญาหรอก คนละเรื่องกันเลย

งั้นสมาธิมันมีหลายแบบ เราต้องเข้าใจ อย่างสมาธิเราเป็นจักษุแพทย์ใช่มั้ย เวลาทำงานต้องมีสมาธิ สมาธิอย่างนั้นเอาไว้ทำงาน จดจ่ออยู่กับงาน จดจ่อกับลูกตาของคนไข้ เราลืมกายลืมใจของตัวเองใช่มั้ย ไม่สามารถมารู้กายรู้ใจตัวเองได้ มัวแต่รู้ลูกตาของคนไข้ สมาธิอย่างนั้นไม่ใช่จิตที่ตั้งมั่น สมาธิอย่างนั้นมีเอาไว้ทำงานทางโลก หรือไม่ก็เอาไว้ทำสมถะ ทำความสงบจิตเฉยๆ

ตัวนี้เป็นตัวสำคัญมากเลย ถ้าเราไม่รู้จักสมาธิชนิดที่จิตตั้งมั่นนะ จิตไม่สามารถหลุดออกจากโลกของความคิด มาอยู่ในโลกของความรู้สึกตัวได้ เราจะไม่สามารถเรียนรู้ความจริง ของกายของใจได้เลย เพราะใจเราจะหลงไปอยู่ในความคิด ความคิดไม่ใช่ความจริง ความจริงกับความคิดมันคนละเรื่องกัน ถ้าเมื่อไหร่เราหลงไปอยู่ในโลกของความคิด เราไม่สามารถรู้สึกกายรู้สึกใจได้ พวกเรารู้จักใจลอยมั้ย รู้จักมั้ยใจลอย เหม่อๆ ในขณะที่เหม่อ เราก็คิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ไป สังเกตมั้ย ว่าเราลืมตัวเราเอง เรามีร่างกาย เราก็ลืมร่างกายของเรานะ เรามีจิตใจ เราก็ลืมจิตใจของตัวเราเอง อย่างนั้นแหล่ะเรียกว่าไม่มีสมาธิ ถึงจะไหลไปอยู่กับพุทโธ ไหลไปอยู่ที่ลมหายใจ ไปอยู่กับท้องพองยุบ ไปเดินจงกรมอยู่ที่เท้า อยู่ที่ตรงโน้นตรงนี้ จิตก็เคลื่อนไปหมดเลย จิตไม่ได้ตั้งมั่น จิตไม่ได้มีสมาธิ ที่จะใช้เจริญปัญญาจริง มันจะลืมตัวเอง ยิ่งโดยเฉพาะการหลงไปคิด เวลาที่เราหลงไปคิด เราจะลืมร่างกายของเรา มีร่างกายแต่ลืมมัน เวลาเราหลงไปคิดนะ เรามีจิตใจนะ จิตใจเราสุข จิตใจเราทุกข์ จิตใจเราเป็นกุศล จิตใจเราโลภโกรธหลงอะไรเนี่ย มันมีอยู่ตลอดเวลา แต่เราไม่เห็น เพราะเราลืมร่างกาย ลืมจิตใจของตัวเอง

งั้นการที่เราจะมาเรียนรู้ความจริงของชีวิต ชีวิตก็คือกายกับใจของเรานี้เอง ถ้าเราจะมาเรียนรู้ความจริง ของร่างกายของจิตใจได้ เราก็ต้องไม่ลืมตัวเอง ต้องรู้สึกตัว งั้นความรู้สึกตัว การที่จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวเนี่ย เป็นจุดตั้งต้น ที่ทำให้เราเรียนรู้ความจริง ของกายของใจได้

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย
เมื่อ วันพุธที่ ๒๘ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๕

CD: แสดงธรรมที่ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย
File: 551128
ระหว่างนาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๐๙ ถึง นาทีที่ ๑๔ วินาทีที่ ๕๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

รู้ว่าจิตคิด จิตจะตื่น จะได้ต้นทางของการปฏิบัติ

Mp3 for download: รู้ว่าจิตคิด จิตจะตื่น จะได้ต้นทางของการปฏิบัติ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : คอยรู้ทันจิตที่ไหลไปคิดไว้ จิตไหลไปคิดแล้วรู้ จิตไหลไปคิดแล้วรู้ มันจะเกิดจิตที่รู้ขึ้นมา เพราะจิตที่หลงไปคิดนั้นคือจิตที่ฟุ้งซ่าน ทันทีที่รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน จิตจะสงบโดยอัตโนมัติ จิตจะตั้งมั่นขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ไม่ฟุ้งซ่าน จิตอยู่ในอารมณ์อันเดียวนั้นแหละ เฉพาะหน้านะ เห็นความฟุ้งซ่านไหลมา ขาดปั๊บไป จิตก็ตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา อยู่คนเดียว จิตจะตั้งทีละขณะๆนะ

เพราะฉะนั้นเราหัดไปนะ วันนี้ลองไปดูก็ได้นะจิตแพทย์ จิตไหลไปแล้วรู้ จิตไหลไปแล้วรู้ คอยดูเรื่อยๆ บางทีจิตก็ไหลไปดู บางทีจิตก็ไหลไปฟัง บางทีจิตก็ไหลไปคิด ส่วนใหญ่ไหลไปคิด เพราะฉะนั้นเราคอยรู้ทัน ถ้ารู้ทันจิตไหลไปคิดนะ จิตจะตื่นขึ้นมา ตรงทีจิตตื่นขึ้นมานี่แหละ เป็นต้นทางของการที่จะเดินปัญญาล่ะ หลวงพ่อเทียนถึงบอกว่า ตรงที่รู้ว่าจิตคิดนั้นจะได้ต้นทางของการปฏิบัติ

เพราะฉะนั้นเราคอยรู้ทันจิตที่ไหลไปคิด เราจะได้สมาธิชนิดที่สอง ที่เรียกว่า ลักขณูปนิชฌาน จิตจะตั้งมั่น จิตที่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูนี้แหละ จะสามารถเห็นลักษณะ คือไตรลักษณ์ ของรูปธรรม นามธรรม ทั้งปวงได้ ถ้าจิตไม่ตั้งมั่นล่ะก็ ไม่เห็นลักษณะ คือความเป็นไตรลักษณ์ของรูปนาม ถึงได้ชื่อว่า ลักขณูปนิชฌาน เห็นลักษณะ นะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
เมื่อ วันเสาร์ที่ ๑๑ เดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๓
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๘
File: 531211
ระหว่างนาทีที่ ๒๙วินาทีที่
๕๕ ถึงวินาทีที่ ๓๑ วินาทีที่ ๑๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อยากรู้ว่าตายแล้วไปไหน จะรู้ได้อย่างไร

mp 3 (for download) : อยากรู้ว่าตายแล้วไปไหน จะรู้ได้อย่างไร

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม : หนูอยากทราบว่า ตายแล้วไปไหนคะ?

หลวงพ่อปราโมทย์ : โอ้.. ตอนนี้ เย็นนี้จะไปไหนยังนึกไม่ออกเลย อยากรู้จริงหรือเปล่า? อยากรู้จริงๆนะ อยากรู้จริงๆต้องเล่นเกมส์ๆหนึ่งนะ กลับบ้านไป หากระดาษมาแผ่นหนึ่งมาตีเป็นช่องๆนะ แล้วก็ใส่ไปเลย โลภ โกรธ หลง อะไรอย่างนี้ ใส่เข้าไปนะ แล้วเราก็คอยสังเกตใจของเรา สัก ๕ นาที ถ้าใจเราโลภ ๑ ครั้ง อยากโน่นอยากนี่ขึ้นครั้งหนึ่งนะ ก็ไปขีดช่องโลภ ถ้าใจเราอยู่ๆก็โกรธอย่างนี้ขึ้นมานะ ไปขีดช่องโกรธ ใจเราเดี๋ยวใจลอยฟุ้งซ่านไปใจลอยลืมตัวเองไป ไปขีดช่องหลงนะ เนี่ยไปขีดเป็นช่องๆอย่างนี้นะ ใช้เวลาสักเท่าไหร่ก็ได้ แล้วแต่เรา บางที ๑๐ นาที ๑๕ นาที

ทดลองนะ แล้วดูคะแนน ถ้าโลภมากตายแล้วไปเป็นเปรต ถ้าโกรธมากตายแล้วตกนรก ถ้าหลงมาก ใจลอยฟุ้งซ่านมาก ตายแล้วไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน เพราะฉะนั้นไม่ต้องถามหลวงพ่อเลยนะ เราจะวัดตัวเราเอง เพราะอะไร เพราะว่าเวลาเราจะตายเนี่ย จิตจะไหลไปตามความเคยชิน ความเคยชินแต่ละชนิดเนี่ย ถ้ามันเคยชินจะโลภ จะไปเป็นเปรตนะ ถ้าเคยชินที่จะโกรธ หงุดหงิด ทุกข์ทรมานใจ เห็นมั้ยว่าตกนรกทั้งเป็นอยู่แล้ว เวลาจะตายก็จะตายไปแล้วไปเกิดเป็นสัตว์นรก ถ้าใจลอยเหม่อๆทั้งวัน เห็นหมาเห็นแมวเวลามันนั่งอยู่ตัวเดียวไม่มีอะไรทำ มันจะนั่งเหม่อ มีมั้ยหมาแมวนั่งพุทโธๆ ไม่มีหรอก มีแต่นั่งเหม่อ มีแต่นั่งใจลอย เพราะฉะนั้นใจลอยก็ไปขีดช่องใจลอยนะ แล้วเราจะรู้เลยต่อไปเราจะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ตายแล้วไปไหน ไปตามที่จิตเคยชิน

แต่ถ้าใครเล่นเกมส์นี้นะ จะไปนิพพานะ เพราะอะไร เพราะทุกครั้งที่เรารู้ว่าใจโลภ เรามีสติ ๑ คะแนน ทุกครั้งที่เรารู้ว่าใจโกรธ เราได้สติมาอีกหนึ่งคะแนน ได้ความรู้ทันไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นคะแนนรวมที่เราทำได้ คือจำนวนค่าบวกนะ คือค่าบวกนะ (คือ ทุกครั้งที่รู้ทันความโลภ ทุกครั้งที่รู้ทันความโกรธ ทุกครั้งที่รู้ทันความหลง ก็คือทุกครั้งนั้นแหละมีสติ การเล่นเกมส์นี้จึงได้คะแนนการมีสติหรือรู้ทันกายใจ มากที่สุด – ผู้ถอด) เพราะฉะนั้น ถ้าใครเล่นเกมส์นี้รับรอง ไม่ไปอบายหรอก มันก็คือการฝึกกรรมฐานอย่างหนึ่งนั่นแหละ คือ ฝึกรู้ทันใจตนเอง คนส่วนใหญ่จิตมีกิเลสแล้วไม่เคยเห็น ตายไปมันก็ไปตามกิเลสนั่นแหละ ทำไมเปรตต้องคอยาว หือ เคยเป็นห่วงใครมั้ย เวลาเป็นห่วงคนที่เรารักกลับบ้านช้า ชะเง้อดูมั้ย เมื่อไหร่จะมา ชะเง้อมากๆ(คอ)เลยยืดไปเลยนะ ตายไปแล้วคอยาวเลย

เราเป็นอย่างที่เราทำนะ เราเป็นอย่างที่เราทำ จิตของเราจะไหลไปตามความเคยชิน ธรรมชาติของจิตย่อมไหลไปตามความเคยชิน เพราะฉะนั้นเราพยายามมาฝึกความเคยชินใหม่ คือฝึกความเคยชินที่จะรู้สึกตัว รู้ทันจิตรู้ทันใจนะ ศีล สมาธิ ปัญญา เราดีขึ้น เราไม่ไปที่ต่ำหรอกนะ


CD: บริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) วันอังคารที่ ๑๖ เดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๕
File: 551016.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๔๔ วินาทีที่ ๒๓ ถึง นาทีที่ ๔๗ วินาทีที่ ๕๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การภาวนาบางทีก็ดูกายบางทีก็ดูจิต

mp3 for download: การภาวนาบางทีก็ดูกายบางทีก็ดูจิต

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: พวกช่างคิดนะ ดูจิตของตัวเองไปเรื่อย แต่ว่าอาศัยร่างกายมาช่วยบ้าง บางครั้งจิตมันไม่มีกำลังที่จะดูจิตก็มาดูกาย เพราะฉะนั้นเวลาภาวนาก็ดูกายบ้าง ดูจิตบ้าง แต่ว่าไม่ได้จงใจดูหรอก สติระลึกรู้กายก็รู้กายไป สติระลึกรู้จิตก็รู้ไป รู้ไปเรื่อยๆ เราจะเห็นเลยเขาทำงานของเขาเอง บางทีเขาก็ไปรู้กาย เดี๋ยวเขาก็ไปรู้จิต เนี่ยเรียกว่าเรารู้ทันจิตของเราเอง


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ศาลากาญจนาภิเษก (ศาลาลุงชิน)
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๘ เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๑

CD: ศาลากาญจนาภิเษก (ศาลาลุงชิน) ครั้งที่ ๒๐
File:
510518
ระหว่างนาทีที่ ๒๔ วินาทีที่ ๑๙ ถึง นาทีที่ ๒๔ วินาทีที่ ๔๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

หัดรู้สึกตัว

mp3 for download: หัดรู้สึกตัว

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์:หัดรู้สึกตัวไปเรื่อย วันๆนึงเอาเวลาไปล้างผลาญซะเยอะละ ลองใช้เวลาวันละ 15 นาทีนะมาคอยรู้สึกตัว รู้สึกกายรู้สึกใจไปเรื่อยๆ ดูเล่นๆ ดูสบายๆ ไปเรื่อย ต้องทำเล่นๆ นะ อย่าทำเคร่งเครียด ฝึกเล่นๆ รู้สึกๆๆ ไปเรื่อย เราจะเห็นเลยใจนี้ลอยแว้บๆ  ทั้งวัน เดี๋ยวหนีไปโน่น เดี๋ยวหนีไปนี่ ส่ายไปส่ายมา ให้เรารู้ทันนะ ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้น จิตเรายินดีให้เรารู้ทัน จิตเรายินร้ายให้รู้ทัน คอยรู้ทันจิตตัวเองไปเรื่อยๆ ตาหูจมูกลิ้นกายใจกระทบอารมณ์แล้ว จิตก็ยินดีขึ้นมาบ้าง ตาหูจมูกลิ้นกายใจกระทบอารมณ์แล้ว จิตยินร้ายบ้าง กระทบแล้วจิตแกว่งไปแกว่งมาคอยรู้ไปเรื่อยๆ

ต่อไปก็จะเห็นเลยทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างชั่วคราวหมดเลย ความสุขความทุกข์ กุศลอกุศลชั่วคราวทั้งหมดเลย

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ศาลากาญจนาภิเษก (ศาลาลุงชิน)
แสดงธรรมเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๘ เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๑
CD: ศาลากาญจนาภิเษก (ศาลาลุงชิน) ครั้งที่ ๒๐
File: 510518
ระหว่างนาทีที่ ๒๑ วินาทีที่ ๒๗ ถึง นาทีที่ ๒๒ วินาทีที่ ๑๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 1 of 1212345...10...Last »