Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

ใจเป็นทุกข์จึงดิ้นรน ใจดิ้นรนเพราะถูกตัณหากิเลสเสียดแทงตลอดเวลา

mp3 for download :ใจหมดหิวก็เป็นพระอรหันต์

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : มีความสุขน่ะ มันมีสันติสุข สันติตัวนี้นะมันเกิดจากใจนะมันพ้นจากความปรุงแต่ง ไม่มีอะไรมาเสียดแทงมันได้ ใจของเราเสียดแทงตลอด รู้สึกมั้ย มีความหิวมีตัณหาเสียดแทงใจของเราตลอดเวลา แล้วก็โลภโกรธหลงเสียดแทงใจเราตลอดเวลาเลย

ใครเคยเห็นใจหิวบ้าง ยกมือสิ มีมั้ย ใจหิว.. สาธุ ใกล้จะเป็นพระอรหันต์แล้ว หมดหิวก็เป็นพระอรหันต์แล้วล่ะ ไม่เป็นไรหรอก

ใจมันหิว หิวก็ดิ้น ใช่มั้ย หิวก็ดิ้นรน ร่างกายหิววันละกี่ครั้ง สองสามครั้ง ร่างกายหิว แต่จิตน่ะหิวอยู่ทุกนาทีเลย เพราะฉะนั้นจิตนั้นทุกข์ๆ ทุกข์มากเลย ถูกความหิวแผดเผาอยู่ตลอดเวลา ถูกกิเลสแผดเผาอยู่ตลอดเวลา ทิ่มแทงอยู่ตลอดเวลา ทิ่มแทงจริงๆนะ จิตเหมือนวัวเหมือนควายนะ กิเลสเหมือนเอาไม้แหลมๆเหมือนปฏักน่ะทิ่มให้วิ่งไปทางโน้นทีทางนี้ที สังเกตมั้ยจิตของเราถูกตัณหาผลักดันให้วิ่ง ถูกกิเลสผลักดันให้วิ่ง ไปทางโน้นทางนี้ วิ่งไปทางตาม วิ่งไปทางหู วิ่งไปทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ วิ่งพล่านๆ พล่านๆ ตลอดเวลา มันมีความสุขเสียที่ไหนที่วิ่งพล่านๆอย่งนั้น เป็นหมาถูกน้ำร้อนเลยนะ วิ่งไปเรื่อย มีแต่ความทุกข์นะ

สติปัญญาแก่รอบนะ โอ้.. ปล่อยวางจิตได้ เขาวางเองนะ อย่าไปอตุริวางนะ บางคนนะ ฮ่า ฮ่า ต่อไปนี้ผมจะวางจิตนะ บ้าไปเลยนะ มีสติไว้ก่อน อย่าเพิ่งปล่อยวางทุกสิ่งที่ทุกอย่าง จิตเขาวางของเขาเอง ห้ามไปจงใจวาง ส่วนเรานั้นมีหนาที่เจริญสติเจริญปัญญาให้มาก..ไป แล้วพอถึงเวลาเขาวางของเขาเอง


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
แผนที่ : 1 2 3
แสดงธรรมที่ วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันเสาร์ที่ ๗ เดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๕๖ ก่อนฉันเช้า
FILE : 560907B
CD : สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๕๑
ระหว่างนาที่ที่ ๗ วินาทีที่ ๑๙ ถึง นาทีที่ ๙ วินาทีที่ ๑๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ความอยากมาจากการยอมรับความจริงไม่ได้

mp3 for download : ความอยากมาจากการยอมรับความจริงไม่ได้

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ขอขอบคุณภาพจาก บ้านจิตสบาย
retouched by Dhammada.net

หลวงพ่อปราโมทย์ :ยกตัวอย่างปีกลาย (ปี ๒๕๓๔ – ผู้ถอด) เราไม่อยากให้น้ำมาบ้านเรา ไปบ้านคนอื่นไม่เป็นไรหรอก มาบ้านเรา มาน้อยๆหรือไม่มาแล้วดี อยากให้มันไม่มา เพราะเราไปปลูกบ้านในที่ๆน้ำจะมา เราไปอยากในสิ่งซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ อย่างน้ำมันต้องมีที่อยู่ อยากให้น้ำไม่มีที่อยู่นะ อยู่ๆก็ข้ามบ้านเราไปลงทะเลเลย ไม่มาท่วม เป็นความอยากที่ไร้เดียงสา อยากเพราะว่าไม่รู้ความจริง ยอมรับความจริงไม่ได้

สังเกตดูเถอะความอยากทั้งหลายนั้น มาจากการที่ยอมรับความจริงไม่ได้ ยกตัวอย่างแก่แล้วก็อยากไม่แก่ยอมรับความจริงไม่ได้ว่าต้องแก่ เจ็บก็อยากไม่เจ็บเพราะยอมรับความจริงไม่ได้ว่าต้องเจ็บ ตายก็ยอมรับความจริงไม่ได้ ทนไม่ได้เพราะยอมรับไม่ได้ ยอมรับความจริงไม่ได้ว่าต้องตาย เรายอมรับความจริงไม่ได้ว่าบางคราวเราก็ต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักบางคราวเราก็ต้องเจอสิ่งที่ไม่รัก เรายอมรับความจริงไม่ได้ว่าสมอยากในทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้หรอกนะ

เมื่อใจยอมรับความจริงไม่ได้ มันจะอยากให้เป็นอย่างอื่น หรือว่าอยากให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งดำรงอยู่เรื่อยๆไป ยอมรับความจริงไม่ได้ว่าจะต้องสูญเสียไป ยอมรับความจริงไม่ได้ว่าบางสิ่งจะต้องมา


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
แผนที่ : 1 2 3
แสดงธรรมที่ วัดสวนสันติธรรม
วันศุกร์ที่ ๑๑ เดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๕๖ ก่อนฉันเช้า
File: 551208B
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๘
ระหว่างนาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๑๓ ถึงนาทีที่ ๗ วินาทีที่ ๔๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ความพลัดพรากเป็นเรื่องทางใจ ทุกข์ขึ้นมาเพราะมีความอยาก

mp3 for download : ความพลัดพรากเป็นเรื่องทางใจ ทุกข์ขึ้นมาเพราะมีความอยาก

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ขอขอบคุณภาพจาก บ้านจิตสบาย
retouched by Dhammada.net

หลวงพ่อปราโมทย์ :ยกตัวอย่างเราเห็นร่างกายนี้ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย นี่เป็นเรื่องธรรมดา เราก็ไม่ได้ไปอยากว่ามันจะต้องเป็นหนุ่มเป็นสาวตลอด อยากให้มันแข็งแรงตลอด อยากให้มันเป็นอมตะไม่รู้จักตาย อะไรอย่างนี้ ถ้าเรารู้ความจริงแล้ว ว่ามันต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย บางครั้งใจเราก็ต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักนะ ร่างกายอาจจะไม่พลัดพราก

ยกตัวอย่างบางคนทำงานที่เดียวกันเจอกันทุกวันเลย เคยรักกัน แต่วันหนึ่งไม่รักกันแล้ว เขาไปรักคนอื่น ตัวยังไม่ได้พลัดพรากกันนะ แต่ใจพลัดพราก บางคนสามีภรรยาทำงานกันคนละที่ ลูกศิษย์ของหลวงพ่อก็มี บางคน สามีอยู่กรุงเทพฯภรรยาอยู่กระบี่อะไรอย่างนี้ เขาไม่รู้สึกว่าเขาพลัดพรากกัน ทั้งๆที่ร่างกายเขาแยกกันอยู่นะ เขาไม่รู้สึกพลัดพรากเพราะว่าใจของเขายังรู้สึกว่าอยู่ด้วยกัน

เพราะฉะนั้นการพลัดพรากจากสิ่งที่รัก การประสบกับสิ่งที่ไม่รักอะไรอย่างนี้ อันนี้เป็นเรื่องทางใจ ทั้งๆที่ร่างกายอยู่ด้วยกันนะ ก็ยังรู้สึกสูญเสียคนรักไปก็ได้นะ เพราะฉะนั้นมันเป็นเรื่องทางใจ ความแก่ความเจ็บความตายเนี่ย เป็นความทุกข์ทางร่างกาย ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก การประสบสิ่งที่ไม่รัก ความไม่สมปราถนา นำความทุกข์ต่างๆมาให้ อันนี้เป็นเรื่องทางจิตใจ

ความอยากทั้งหลายที่จะให้ร่างกายไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย เกิดจากการที่ไม่รู้ความจริง ยอมรับความจริงไม่ได้ ว่าร่างกายต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย การที่มีทุกข์ขึ้นมา เพราะพลัดพรากจากคนที่รัก เพราะเจอกับสิ่งที่ไม่รัก หรือเพราะว่าผิดหวัง ไม่สมปราถนา ก็มีความอยากเป็นพื้นฐานเหมือนกัน ถ้าชอบเขาก็อยากให้เขาอยู่ด้วยนานๆ พอเขาไม่เที่ยงขึ้นมานะ ก็พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ทนไม่ได้ หรือเราอยากจะเจอแต่คนที่ชอบใจ ขอว่าไม่เจอคนที่ไม่ดีอะไรอย่างนี้ มีกรรมร่วมกันมาก็มาเจอกัน ห้ามมันไม่ได้ มันมา เราไปอยากให้มันไม่มา แต่มันมา นะ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
แผนที่ : 1 2 3
แสดงธรรมที่ วัดสวนสันติธรรม
วันศุกร์ที่ ๑๑ เดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๕๖ ก่อนฉันเช้า
File: 551208B
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๘
ระหว่างนาทีที่ ๓ วินาทีที่ ๔๘ ถึงนาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๑๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เมื่อมีความอยากก็มีความยึดถือ มีความยึดถือก็มีความทุกข์

mp3 for download : เมื่อมีความอยากก็มีความยึดถือ มีความยึดถือก็มีความทุกข์

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ขอขอบคุณภาพจาก บ้านจิตสบาย
retouched by Dhammada.net

หลวงพ่อปราโมทย์ :อะไรเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน ก็ตัณหา-ความอยาก เป็นปัจจัยให้เกิดความยึดถือ เพราะอยากถึงยึด เพราะเขามีความอยากจึงมีความยึด ความอยากนั้นเกิดจากว่า เรารู้สึกว่านำความสุขมาให้ หรือไม่นำความทุกข์มาให้ สิ่งที่มากระทบเรานี้

ถ้าเรารู้สึกว่ามันนำความสุขมาให้ เราก็อยากให้มันอยู่นานๆ หรือหากมันยังไม่มาก็อยากให้มันมา มันมาแล้วก็อยากให้มันอยู่ตลอด ถ้ารู้สึกว่ามันนำความทุกข์มาให้ เราก็อยากให้มันไม่มา มาแล้วก็อยากให้มันไปเร็วๆ ตัวเวทนานะ ความรู้สึกสุขรู้สึกทุกข์ก็เลย เป็นปัจจัยให้เกิดความอยาก พอมันสุขก็อยากให้มันมา มาแล้วก็อยากให้มันอยู่นานๆ มันทุกข์ขึ้นมา ก็อยากให้มันไม่มา ถ้ามันมาก็อยากให้มันไปเร็วๆ

อาศัยเวทนานะเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา อาศัยตัณหาคือความอยากก็ทำให้เกิดความยึด มีความยึดขึ้นมานะ ก็ไปหยิบฉวยเอาตัวทุกข์ขึ้นมา กายนี้ใจนี้โดยตัวของมันเองนะ เป็นตัวทุกข์

สติปัญญาของเราไม่พอที่จะเห็นว่ามันเป็นตัวทุกข์ เราเห็นว่ามันเป็นของดีของวิเศษเราจึงเข้าไปยึดมัน แต่ถ้าวันใดเราเห็นความจริงว่ากายนี้ใจนี้เป็นตัวทุกข์ เห็นของไม่ใช่ของดีของวิเศษอย่างที่เคยนึกเคยคิดไว้ ถ้าเห็นความจริงตรงนี้ได้นะ ความยึดถือจะหมดไป ความอยากความยึดก็จะหมดไป


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
แผนที่ : 1 2 3
แสดงธรรมที่ วัดสวนสันติธรรม
วันศุกร์ที่ ๑๑ เดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๕๖ ก่อนฉันเช้า
File: 551208B
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๘
ระหว่างนาทีที่ ๒ วินาทีที่ ๑๐ ถึงนาทีที่ ๔ วินาทีที่ ๑๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เราทุกข์เพราะความอยากในใจ

mp 3 (for download) : เราทุกข์เพราะความอยากในใจ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: วิธีที่เราจะขจัดความทุกข์ออกจากใจเรา เป็นศาสตร์ที่ท่านสอนเอาไว้นะ ท่านสอนไว้อย่างละเอียดมากเลยนะว่า ความทุกข์มันมาได้อย่างไร แล้วอย่างไรมันถึงจะไม่มา

ความทุกข์ในทางใจเราเนี่ย มันเกิดจากความอยาก ความอยากมันเกิดจากการที่จิตใจของเราเนี่ย ยอมรับสิ่งที่กำลังปรากฎต่อหน้าต่อตาในชีวิตของเราไม่ได้ ถ้าเรายอมรับไม่ได้นะ ใจของเราก็จะดิ้นรนอยากให้มันเป็นอย่างอื่น

เหมือนอย่างปีกลายน้ำจะท่วม เราอยากให้น้ำไม่ท่วมนะ พอความอยากเกิด ความทุกข์มันก็เกิด น้ำยังไม่ทันจะท่วม ความทุกข์ก็ท่วมใจเราเสียก่อนแล้ว หรือปีนี้ไม่มีภัยรุนแรงอะไร บางคนก็เจ็บไข้ได้ป่วย บางคนไปตรวจร่างกาย เป็นมะเร็งเป็นอะไร ยอมรับไม่ได้ว่าร่างกายเราจะเจ็บป่วย ไม่ทันตายเพราะมะเร็งก็มีนะ ช็อคตาย กังวลตาย กลุ้มใจ

ปัญหาใหญ่ก็คือ เราไม่สามารถยอมรับสิ่งที่กำลังปรากฎต่อหน้าต่อตาเรานี้ได้ เราอยากให้มันเป็นอย่างอื่น หรือเรายอมรับไม่ได้ว่าสิ่งดีๆที่กำลังปรากฎขึ้นต่อหน้าต่อตาเรานี้ วันหนึ่งมันจะหายไป เรายอมไม่ได้

เรามีความอยากเกิดขึ้น อยากให้มีความสุขอยู่นานๆ อยากให้ความสุขเกิดขึ้นแล้วก็ให้อยู่นานๆ อยากให้ความทุกข์ไม่เกิดขึ้น ถ้าเกิดขึ้นก็อยากให้หายเร็วๆ เนี่ยใจเราไม่ยอมรับสภาวะ ไม่ยอมรับความจริงที่มีอยู่ต่อหน้าต่อตา


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย
เมื่อ วันพุธที่ ๒๘ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๕

CD: แสดงธรรมที่ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย
File: 551128
ระหว่างนาทีที่ ๔ วินาทีที่ ๒๕ ถึง นาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๐๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ตราบใดที่ยังอยาก จะไม่เกิดมรรคผล

mp 3 (for download) : ตราบใดที่ยังอยาก จะไม่เกิดมรรคผล

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.


ขอขอบคุณ บ้านจิตสบาย ที่เอื้อเฟื้อภาพ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช

หลวงพ่อปราโมทย์ : พระพุทธเจ้าสอนอริยสัจนะ ง่ายๆเลย ทุกข์ให้รู้ ทุกข์คืออะไร ทุกข์คือกายกับใจ หน้าที่ของเราก็คือรู้กายรู้ใจใช่มั้ย ง่ายๆ รู้ไปเรื่อยแล้ววันนึงละสมุทัยเอง ละความอยาก พอหมดความยึดในกายในใจ มันก็หมดความอยากที่จะให้กายให้ใจเป็นสุข หมดความอยากให้กายให้ใจพ้นทุกข์ เมื่อไรจิตหมดความอยากนะ จิตก็เห็นนิพพาน นิพพานคือสภาวะที่พ้นจากความอยาก ยังอยากอยู่นะไม่เห็นนิพพาน ยังอยากปฏิบัติยังไม่มีวันเห็นนิพพานหรอก อยากได้ผลนะ ยิ่งไม่มีทางเห็นใหญ่ งั้นตราบใดที่ความอยากยังครองหัวใจอยู่ ตราบนั้นยังไม่เกิดมรรคผลหรอก

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
เมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๒ หลังฉันเช้า

สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๐
Track: ๕
File: 520426B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๓ วินาทีที่ ๔ ถึง นาทีที่ ๓ วินาทีที่ ๔๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ภาวนาจนสติปัญญาอัตโนมัติ จะเห็นแต่ทุกข์

mp 3 (for download) : ภาวนาจนสติปัญญาอัตโนมัติ จะเห็นแต่ทุกข์

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : หัดเบื้องต้นนะ มีสติก็มีความสุข มีสมาธิก็มีความสุข มีปัญญาก็มีความสุข จนสติมันทำงานบ่อย อัตโนมัติขึ้นมา แต่เดิมเห็นความสุขโผล่ขึ้นมาแล้วหายไป โผล่แล้วหายไป ต่อไปไม่ใช่อย่างนั้น ภาวนาไปถึงจุดหนึ่งนะ พอสติปัญญามันอัตโนมัติเนี่ย มันจะเห็นเลย โผล่มาทีไร ทุกข์ทุกทีเลย กระทั่งความสุขก็เป็นความทุกข์

ความสุขก็เป็นความทุกข์นะ เป็นสิ่งที่เสียดแทงใจเหมือนกัน ความสุขก็ทำให้จิตใจเสียสมดุลย์ ความทุกข์ก็ทำให้ใจเสียสมดุลย์ ฝึกไปๆเห็นมีแต่ทุกข์ กายนี้ทุกข์ ใจนี้ทุกข์ นะ จะทำอะไรๆก็ทุกข์นะ ตรงไหนก็ทุกข์หมดเลย ทุกๆหน ทุกๆแห่ง เต็มไปด้วยความทุกข์ทั้งหมดเลย ทุกข์จนเบื่อหน่าย ขอไม่ดู ขอไม่ดูดีกว่า กลับไปเป็นคนบ้าๆแบบเดิมดีกว่า สบายดี จิตก็ไม่ยอม อย่านึกนะว่าจะสุข ไม่ใช่เวลาที่จะมีความสุข ตอนนี้น่ะ เป็นเวลาที่จะต้องเรียนรู้ความจริง ของกายของใจ

เราพัฒนามีสติ มีใจที่ตั้งมั่นขึ้นมานะ จะเห็นเลยว่ามันมีแต่ทุกข์ ทุกข์ทั้งวัน ทุกข์ทั้งคืน หลับก็ทุกข์ ตื่นก็ทุกข์ สมัยภาวนาไม่เป็นนะ ไปนอนหลับก็ว่ามีความสุข ตอนนี้ภาวนาเป็น จำนวนมากแล้ว รู้สึกมั้ยว่าหลับก็ไม่มีความสุขเหมือนแต่ก่อนแล้ว แล้วสุขอยู่ที่ไหน สุขหายไปแล้ว

ในความเป็นจริง ความสุขเป็นภาพลวงตา ในความเป็นจริง โลกนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ คนหลงหรอกมันมองไม่เห็นความทุกข์ กิเลสตัวหนึ่งนะมันหลอกลวง กิเลสมันหลอกลวง ตัณหาพาให้เราไปเห็นว่า อย่างโน้นสิแล้วจะสุข อย่างนี้สิแล้วจะสุข มันหลอกให้เราอยากไปเรื่อยๆ หลอกให้เราดิ้นไปเรื่อยๆ พอดิ้นๆไปนะ ตัณหามันหลอก มีแฟนสิแล้วจะสุข มีแล้วไม่สุขน่ะ มันสอนต่อ ต้องมีเมียถึงจะสุข มีเมียแล้วไม่สุขน่ะ ต้องมีใหม่แล้วสุข มันสอนเราไปเรื่อยๆนะ ผลักดันเราไปเรื่อยๆเลย โอ้..มันขับ มันผลักดันนะ เป็นแรงผลัก บีบคั้นอยู่ตลอดวันตลอดคืนเลย

กิเลสตัณหานะ ศัตรูร้ายของความสงบสุขในชีวิต ทีนี้จิตใจของเรายังไม่มีสติปัญญาพอจะทำลายรากแก้วของมัน กิเลสตัณหาเกิดทั้งวันเลย แต่ก่อนมันเกิดขึ้นมานะ เราสนองกิเลสไปเรื่อย เราไม่รู้หรอกว่า กิเลสตัณหาทำความทุกข์ให้ ตอนนี้เรามีสติมีปัญญาขึ้นมา เราแค่เห็นเลย แค่ใจอยากขึ้นมาก็ทุกข์แล้ว ใจมีความอยากขึ้นมาก็ทุกข์แล้ว รู้สึกมั้ย ใจถูกบีบคั้นตลอดเวลาเลย ทั้งวันทั้งคืนมีแต่บีบคั้นนะ ไม่รู้จะสุขตรงไหน

ไปนอนหลับมันยังไม่หลับดีเลย ร่างกายหลับนะ กรนคร่อกๆเลย จิตดันตื่นขึ้นมา มองเห็นกายนอน น่าอเน็จอนาถ เห็นร่างกายเต็มไปด้วยความทุกข์ ตัวจิตเอง พอมีสติถี่ๆขึ้นมานะ เห็นทุกอย่างหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มันไม่ใช่สุขบ้างทุกข์บ้างนะ มันจะกลายเป็นทุกข์ล้วนๆเลย ทุกอย่างเกิดขึ้นมาแล้วล้วนแต่บีบคั้นทั้งนั้นเลย เป็นความบีบคั้นทั้งสิ้น เป็นทุกข์ทั้งสิ้นเลย


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๒ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๑
Track: ๑
File: 520704A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๗ ถึง นาทีที่ ๒๐ วินาทีที่ ๒๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ความรักตัวเองผลักดันให้จิตปรุงแต่ง

mp3 for download: ความรักตัวเองผลักดันให้จิตปรุงแต่ง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: ดูต่อไปได้ไหมว่าอะไรผลักให้ปรุง

โยม: ความคิด

หลวงพ่อปราโมทย์: ลึกลงไปเลยนะคือความรักตัวเอง เรารักตัวเองเราก็เลยอยากให้มันดี อยากให้มันสุข อยากให้มันสงบ พอมันไม่ดีไม่สุขไม่สงบก็ดิ้น พอจิตใจยิ่งดิ้น จิตใจยิ่งทุกข์ พอจิตใจยิ่งทุกข์จิตใจก็ยิ่งดิ้นไปเรื่อย น่าสงสาร แต่ช่วยไม่ได้ ตัวใครตัวมัน

โยม: นึกถึงคำหลวงพ่อที่ว่าสมน้ำหน้ามันก็ยังนึก เออใช่ สมน้ำหน้ามัน ทำเอง

หลวงพ่อปราโมทย์: เออนะ ดูไป ทำเองแหละ ใครเขาหาความทุกข์มาให้เรา เราหาเอง คนอื่นสร้างปัญหาให้ได้นะ จิตใจเราเข้าไปหยิบไปฉวย เราอยากให้ปัญหานี้หายไป อยากให้เป็นอย่างอื่น มันไม่ได้เป็นไปอย่างที่ใจอยากมันก็ต้องทุกข์แหละ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑๘ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๙ ก่อนฉันเช้า
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๖
ระหว่างนาทีที่ ๘ วินาทีที่ ๐๗ ถึง นาทีที่ ๙ วินาทีที่ ๐๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ข้ามทะเลทั้งสี่ แล้วจะถึงจิตหนึ่ง (๔) ทะเลอวิชา

mp 3 (for download) : ข้ามทะเลทั้งสี่ แล้วจะถึงจิตหนึ่ง (๔) ทะเลอวิชา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: จะข้ามภพข้ามชาติได้ ก็ต้องละตัณหาได้ ทีนี้ตัณหาเกิดจากอะไร ตัณหาเกิดจากอวิชา นี้ ทะเลตัวสุดท้ายนี้ ข้ามยากที่สุด ถ้าข้ามตัวนี้ได้นะ จะหลุดจากน้ำเชี่ยวนี้ได้ด้วย อวิชาเหมือนทะเลหมอก น้ำสงบนะ ไม่มีคลื่น ไม่มีลม สบายๆ แต่เหมือนมีหมอกปกคลุมจนไม่รู้อะไรเลย บางทีเราอยู่ห่างฝั่งใช่มั้ย ถูกคลื่นซัดตูมตาม ตูมตาม กระเสือกกระสนเข้ามา จนจะถึงฝั่งอยู่แล้ว เกือบถึงฝั่งแล้วนะ มันมีหมอกลง มันมองไม่เห็น ว่ายไปว่ายมา ว่ายออกทะเลลึกไปอีกแล้ว เพราะฉะนั้นข้ามอวิชานี้ยากที่สุดเลย ทะเลตัวนี้จะข้ามได้ต้องเห็นอริยสัจจ์ เห็นไม่เหมือนกันนะ เห็นมั้ย เห็นอริยสัจจ์ เห็นแจ้งอริยสัจจ์

อริยสัจจ์ที่ตัวลึกซึ้งที่สุดเลย คือการเห็นว่าจิตเป็นทุกข์นี่เอง นะ เราภาวนาไปนาน เราเห็นแต่จิตเป็นสุข เพราะจิตเริ่มสงบแล้ว ใช่มั้ย ข้ามทะเลโน้นทะเลนี้มาถึงภพที่สงบ ภพที่ไม่มีคลื่นมีลมแล้ว จิตใจก็พอใจ รักใคร่พอใจอยู่แค่นี้แหละ สบายใจแล้ว เสร็จแล้วก็ว่ายกลับไปกลับมาแล้ว ถูกคลื่นซัดออกไปอีกแล้ว

ถ้าเป็นปุถุชนเนี่ย ซัดไปหาทิฎฐิเลย เกิดมิจฉาทิฎฐิได้เรื่อยๆนะ ถ้าไม่ใช่พระอนาคาฯ ก็หลงไปในกามได้อีก เพราะฉะนั้นมันพร้อมจะถอยหลังได้ ทีนี้จะละอวิชาได้นะ ต้องรู้อริยสัจจ์ รู้ลงมานะ กายนี้ใจนี้เป็นทุกข์ล้วนๆเลย พวกเรามีแต่อวิชา เราเห็นว่ากายนี้ใจนี้เป็นทุกข์บ้างเป็นสุขบ้าง นี่อวิชานะ อวิชาพาให้เห็น

ไหน สารภาพมา มีใครรู้สึกมั้ย กายนี้ เป็นทุกข์บ้างเป็นสุขบ้าง มีมั้ย สารภาพ มีผู้ร้ายปากแข็งครึ่งห้อง นะ ไม่ยอมสารภาพ นะ พวกเรารู้สึกมั้ย จิตนี้เป็นทุกข์บ้างเป็นสุขบ้าง เห็นอย่างนี้แหละ อวิชา

ถ้าเห็นอย่างมีวิชา ก็จะเห็นว่า ขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ล้วนๆ ไม่ใช่ทุกข์บ้างสุขบ้าง เห็นยากนะ ถ้าสติ สมาธิ ปัญญา ไม่แก่กล้าพอ มันไม่เห็นขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ล้วนๆ โดยเฉพาะจิตเนี่ย จิตผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้สงบ สะอาด สว่าง แหมฟังแล้วดีทั้งนั้นเลย ใช่มั้ย จะให้เห็นว่าเป็นทุกข์ล้วนๆ ไม่ใช่ง่ายนะ ปฎิบัติกันปางตายเลยล่ะ เหมือนเอาชีวิตเข้าแลกเลยนะ ถึงจะเห็น เพราะฉะนั้นทะเลตัวนี้ ทะเลอวิชา เป็นทะเลที่เรียบๆนะ แต่ยากสุดๆเลย ยากมากเลย จับต้นจับปลายไม่ถูก นะ มีแต่เรียนรู้นะ มาตามลำดับๆ รู้กาย รู้ใจมาตามลำดับ

พอรู้กายถูกต้อง แจ่มแจ้งได้พระอนาคาฯ จิตใจก็จะสบายขึ้นเยอะเลย จะไม่แส่ส่ายไปทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย จะเหลือแต่ความสงบสุขอยู่ภายใน เพลิดเพลินอยู่กับความสงบสุขภายในจิตในใจของเราเอง นี่เอง

ต่อมาสติปัญญาแก่รอบลงมาอีก เห็นเลย ตัวจิตตัวใจที่ว่าสุขว่าสงบเนี่ย เอาเข้าจริงก็เป็นตัวทุกข์ล้วนๆ ตัวนี้ไม่รู้ว่าจะพูดภาษามนุษย์ยังไงนะ ฟังเอาไว้ก็แล้วกัน มันเห็นเป็นทุกข์ล้วนๆเมื่อไหร่นะ มันจะทิ้งแล้ว จะวาง แต่ถ้ายังเห็นทุกข์บ้างสุขบ้าง มันไม่วางหรอก มันทุกข์ล้วนๆ โอ้ ขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ล้วนๆ ตัณหาจะดับทันทีเลย เมื่อมันเป็นทุกข์ล้วนๆแล้วจะอยากให้มันสุขได้อย่างไร นะ ของเรามีตัณหาขึ้นมาเพราะอยากให้ขันธ์ ๕ มีความสุข รู้สึกมั้ย อยากให้ขันธ์ ๕ พ้นทุกข์

แต่วันหนึ่งเรียน จนกระทั่งรู้ชัดเลย ขันธ์ ๕ นี่ทุกข์ล้วนๆน่ะ ไม่มีทางอยากให้มันมีความสุข ไม่มีทางอยากให้มันพ้นทุกข์อีกต่อไปแล้ว มันไม่สมหวัง มันทุกข์ล้วนๆ เนี่ย ใจเข้าถึงตรงนี้ ใจยอมรับตรงนี้จริงๆแล้วจะสลัดคืนเลย จะหมดตัณหาแล้วก็สลัดคืนความยึดถือกายความยึดถือใจให้โลก คืนเจ้าของเดิมนั้นเอง จิตใจก็จะเข้าถึงความสงบ สันติ ที่แท้จริง คือ นิโรธ หรือ นิพพาน บางทีก็มีหลายชื่อนะ อุปสมะ ก็ได้ นะ มีหลายชื่อเยอะแยะเลย ชื่อ ความจริงก็คือ ความสงบ สันติ ซึ่งมันพ้นทุกข์ พ้นกิเลส พ้นความยึดถือในธาตุในขันธ์ ในกาย ในใจ นี้เอง

พอพ้นปั๊บเราจะเห็นโลกนี้ มี แต่ไม่มีอะไร โลกนี้มีอยู่ แต่ไม่มีอะไรเลย ว่างเปล่า ว่างเปล่าไม่ใช่แปลว่า ไม่มีอะไรเลย มันว่างเปล่าจากความเป็นตัวเป็นตน ว่างเปล่าจากกิเลส ว่างเปล่าจากขันธ์ ว่างเปล่าจากทุกข์ มันมีอยู่ของมันตามสภาพของมัน มันเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพของมัน แต่จิตใจที่ฝึกฝนอบรมจนกระทั่งไม่ยึดถือในจิตแล้วเนี่ย จะไม่ยึดถืออะไรในโลกอีก เห็นโลกนี้มีแต่ไม่มี ว่างเปล่าอยู่อย่างนั้นเอง จิตใจมีแต่ความสุขล้วนๆ สุขแบบนึกไม่ถึงนะ สุข สุขที่สุดเลย มีความสุขมาก ไม่รู้จะใช้ภาษาอะไร พระพุทธเจ้าท่านก็เลยใช้เอาง่ายๆ “นิพพานัง ปรมัง สุขัง” บรมสุขเลย ไม่รู้จะใช้คำอะไรแล้ว ท่านใช้คำว่า “ปรมัง สุขัง” บรมสุขเลย

ความสุขของโลกๆที่พวกเรารู้สึกน่ะนะ รู้จักกันนะ ความสุขลุ่มๆดอนๆ สุกๆดิบๆ เป็นความสุขร้อนๆ สุกๆ เผ็ดๆ นะ เผ็ดร้อนรุนแรง สุขชั่วครั้งชั่วคราวได้มาแล้วก็เสียไป ตะกายหาอีก จับได้ปั๊บหลุดมือไปอีกแล้ว อย่างนี้ตลอดชีวิตเลย เดินทางในสังสารวัฏฏ์นะ ข้ามภพข้ามชาติไม่ได้ ข้ามมหาสมุทรสี่อันนี้ไม่ได้ ก็ข้ามภพข้ามชาติไม่ได้ เพราะฉะนั้นตั้งอกตั้งใจนะ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๘ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๐ หลังฉันเช้า


สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๙
File: 500408B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๓ วินาทีที่ ๑๖ ถึง นาทีที่ ๑๙ วินาทีที่ ๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อุปัตติภพและกัมมภพ

mp 3 (for download) : อุปัตติภพและกัมมภพ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ภพมี ๒ ชนิด ภพชนิดที่ ๑ ชื่ออุปัตติภพ

อุปัตติภพเนี่ยหมายถึงภพโดยการเกิด อย่างพวกเราขณะนี้มีอุปัตติภพเป็นมนุษย์ อุปัตติคืออุบัตินั่นเอง เราอุบัติมาเป็นมนุษย์ เพราะว่ากิเลสตัณหาเก่าๆ หรือกุศลเก่าๆนะ ผลักให้มาเป็นมนุษย์นี่แหล่ะ

ภพอีกชนิดนึงชื่อกัมมภพ คือเจตนาที่จะทำกรรม จิตเรามีความจงใจที่จะทำกรรม ทำกรรมชั่วบ้าง ทำกรรมดีบ้าง เจตนาที่จะพ้นจากการกระทบสัมผัสเข้าไปสู่ความว่างๆบ้าง เจตนาที่จะทำชั่วเรียกว่าอปุญญาภิสังขาร เจตนาที่จะทำดีชื่อว่าปุญญาภิสังขาร เจตนาที่จะหนีการกระทบสัมผัสเรียกว่าอาเนญชาภิสังขาร ตัวเจตนาจงใจกระทำกรรมนี้แหล่ะ เจตนาคือกรรม ตัวกรรมนี้แหล่ะคือตัวภพ

เพราะงั้นในร่างของมนุษย์นี้ จิตเราเดี๋ยวก็เป็นสัตว์เดรัจฉาน อย่างเจตนา มันเจตนาเองนะ เราไม่ได้เจตนาจะเป็นเดรัจฉานเลย แต่จิตเจตนาจะหลง จิตมันจงใจจะหลง มันพอใจที่จะหลง มันเพลิดเพลินไปกับการหลง เมื่อไรจิตเราหลง จิตเรามีโมหะ เมื่อนั้นเรามีกัมมภพเป็นสัตว์เดรัจฉานในร่างมนุษย์ ในอุปััตติภพเป็นมนุษย์ แต่กัมมภพ จิตเราขณะนั้น ทำกรรมแบบเดรัจฉาน คือหลงไป

ถ้าขณะใดจิตของเรามีความโลภ ขณะนั้นเราทำกรรมแบบเปรต ทำไปด้วยโลภะ

ถ้าขณะใดเราเจ้าความคิดเจ้าความเห็น ยึดถือแต่ความคิดความเห็นของตัวเอง ขณะนั้นเราเป็นสัตว์ชื่อว่าอสูรกาย เจ้าทิฏฐิเจ้ามานะ เราเป็นสัตว์ชื่ออสูรกายในร่างของมนุษย์นี่เอง

ขณะใดที่จิตของเรามีโทสะ มีความไม่แช่มชื่นใจ ขณะนั้นกัมมภพของเราเนี่ย จิตเวียนอยู่ในกัมมภพของนรก อยู่ในภพของนรก ร่างกายเป็นมนุษย์แต่ใจเป็นสัตว์นรกนะ เรียกว่ามนุสสนิรโย

ถ้าไปหลงก็เป็นมนุสสติรัจฉาโน เป็นเดรัจฉาน เป็นมนุษย์ตัวเป็นมนุษย์ แต่ใจเป็นเดรัจฉาน ถ้าโลภอยู่ ก็ตัวเป็นมนุษย์ใจเป็นเปรต เรียกมนุสสเปโต

แต่ถ้าเรามีศีลมีธรรม มีสติอยู่นี้นะ เราเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ กัมมภพนี้เป็นกัมมภพของมนุษย์ อุปัตติภพก็เป็นมนุษย์ กัมมภพก็เป็นมนุษย์ เรียกว่า มนุษย์มนุษย์ (มนุสฺสมนุสฺโส)

บางคนจิตเป็นบุญเป็นกุศลนะ มีความสุขอยู่กับบุญกุศลที่ได้ทำไว้แล้วนะ ก็เป็นมนุสสเทโว เป็นเทวดา หรือทำฌานทำอะไรนะ ก็ถือว่าเป็นเทวดาเหมือนกัน ความจริงเป็นพรหม คำว่าเทวดาเนี่ย ถ้าในความหมายอย่างกว้างครอบคลุมถึงพรหมด้วย เป็นมนุสสเทโว

งั้นจิตเราเนี่ยเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในภพน้อยๆเนี่ยตลอดเวลา ภพใหญ่ๆนานๆเกิดที ภพใหญ่ของเราเป็นมนุษย์ ภพย่อยภพน้อยๆเนี่ย ในจิตในใจของเราเนี่ย เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จิตเราเวียนจากภพโน้นไปสู่ภพนี้ เวียนจากภพดีไปสู่ภพชั่ว เวียนจากภพชั่วไปสู่ภพที่ดี หมุนไปเรื่อยทั้งวัน การที่ต้องท่องเที่ยวไปเรื่อย เป็นความทุกข์ เป็นความเหนื่อยยาก ซึ่งผู้มีสติปัญญาเห็นเลยว่าไม่เคยได้หยุดเลย ไม่เคยได้พักเลย ถูกตัณหาผลักดัน ให้วิ่งไปสู่ภพโน้นภพนี้อยู่ตลอดเวลา


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๕
Track: ๖
File: 550429A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๐ วินาทีที่ ๔๖ ถึง นาทีที่ ๑๕ วินาทีที่ ๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

มักคิดว่าทำยังไงถึงจะดีขึ้นอีก

Mp3 for download: มักคิดว่าทำยังไงถึงจะดีขึ้นอีก

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม: คือมันมักจะคิดอยู่ว่าทำยังไงให้ดีขึ้นไปอีกค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์: นั่นโลภะแทรกแล้ว ให้รู้ทันว่าโลภะแทรกนะ ถ้ารู้ทันแล้วมันก็ไม่เป็นไร ก็หลุดออกมา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อวันอาทิตย์ ที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๔๕ ก่อนฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๗
File: 531028B
ระหว่างนาทีที่  ๑๒ วินาทีที่
๑๗ ถึง นาทีที่ ๑๒ วินาทีที่ ๓๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เมื่อได้อะไรมา ก็ได้ภาระมาด้วย

mp 3 (for download) : เมื่อได้อะไรมา ก็ได้ภาระมาด้วย

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ทุกวันนี้เรามีความสุขจริงนะ แต่ความสุขที่พวกเรารู้จักนะ เป็นความสุขที่มีภาระทั้งสิ้นเลย มีแฟนซักคนนึงใช่มั้ยก็มีความสุข แต่มีภาระ มีบ้านก็มีความสุขนะ แต่มีภาระนะ มีรถยนต์หรูๆซักคันนึงก็มีภาระมาด้วย มีเงินมากๆก็มีภาระ

ครั้งนึงหลวงพ่อนั่งอยู่กับหลวงปู่สิม มีคนนะเอาธูปมาให้ท่านเสกเยอะเลย บอก หลวงปู่ให้หลวงปู่อธิษฐานนะ จุดธูปแล้วให้ลูกค้าเข้าร้านเยอะ ขอให้หนูรวย ท่านถามว่าจะรวยแค่ไหน เอารวยๆๆรวยเยอะๆเลย รวยไม่จบไม่สิ้น นี่ ขออย่างนี้นะ หลวงปู่ยิ้มหวานเลย ท่านปลุกเสกให้นะแล้วท่านก็สอน รวยๆระวังโจรปล้นนะ คือท่านแย็บธรรมะให้หน่อย

ได้อะไรมานะ ก็ได้ภาระมาด้วยนะ มีเงินมากๆก็ต้องรักษาใช่มั้ย เป็นภาระมั้ย ไปไหนก็ไม่ได้นะต้องเฝ้าสมบัติอยู่ เนี่ยท่านสอน แต่ว่าท่านไม่สอนมากนะ ท่านแย้บๆ ไม่งั้นเดี๋ยวคนอยากรวยจะโกรธท่าน เราฟังปุ๊บเราเข้าใจที่ท่านบอกแล้ว

ทุกสิ่งที่ได้มาเนี่ย มันแถมภาระมาด้วย เพราะงั้นความสุขในโลกนี้ มีความสุขจริงนะ แต่มีภาระมาด้วย มีเครื่องเสียดแทงตามมาด้วย ความสุขในธรรมะนั้น ไม่มีภาระ ไม่มีการเสียดแทง คนละชั้นกัน เอาอะไรมาแลกก็ไม่เอาหรอก

ไปหัดเอานะ หัดไปฝึกจิตใจให้อยู่กับเนื้อกับตัว แล้วดูขันธ์มันทำงาน แยกขันธ์ไป จนกระทั่งจิตมันยอมรับความจริงของขันธ์ ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จิตก็ไม่เข้าไปก้าวก่ายขันธ์ ไม่เข้าไปหยิบฉวยขันธ์ขึ้นมาอีก ขันธ์ก็ทำหน้าที่ของขันธ์ จิตก็ทำหน้าที่ของจิต ไม่ก้าวก่ายกัน ชีวิตจะมีความสุขขึ้นเยอะเลย จะไม่มีภาระ

ขันธ์ทั้ง ๕ นั่นแหล่ะเป็นภาระ บุคคลนะแบกเอาภาระไป ก็ไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวง พระอริยเจ้าคือพระอรหันต์เนี่ย วางภาระลงแล้ว วางขันธ์ลงแล้ว แล้วก็ไม่หยิบฉวยขึ้นมาอีก ท่านถึงพ้นทุกข์ได้ นี่พระพุทธเจ้าสอนไว้อย่างนี้นะ งั้นเราตอนนี้ยังมีภาระก็แบกไปก่อนก็แล้วกัน ค่อยฝึกไป วันนึงค่อยลดๆลง


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๕ หลังฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๔
Track: ๑๗
File: 550317.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๗ วินาทีที่ ๘ ถึง นาทีที่ ๒๙ วินาทีที่ ๓๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางวิปัสสนา (๑๗) เห็นไตรลักษณ์ของกายใจ นี้เป็นทางแห่งความบริสุทธิ์

mp3 for download : ทางวิปัสสนา (๑๗) เห็นไตรลักษณ์ของกายใจ นี้เป็นทางแห่งความบริสุทธิ์

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทางวิปัสสนา

ทางวิปัสสนา

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าเรามีความเห็นว่า นี่ไม่ใช่ตัวเราหรอก ความทุกข์จะหายไป ความทุกข์จะหายไปเยอะเลย เราทุกข์เพราะอะไร ทุกวันนี้เราทุกข์เพราะเรารักกาย เราทุกข์เพราะเรารักจิตใจของเรา อยากให้มันดี อยากให้มันสุข อยากให้มันสงบ อยากโน้นอยากนี่ ทุกคราวที่ความอยากเกิด ความทุกข์จะเกิดเสมอ ความอยากใดๆเกิดขึ้น ความทุกข์เกิดขึ้นทุกที อยากขึ้นมาได้เพราะไม่รู้ความจริงว่ามันไม่ใช่เราหรอก มันคิดว่าเป็นเราจริงๆ ไปคิดว่าร่างกายเป็นตัวเรา ก็ไม่อยากให้มันแก่ ไม่อยากให้มันเจ็บ ไม่อยากให้มันตาย คิดว่าจิตใจนี้เป็นตัวเราจริงๆ ก็ไม่อยากพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ไม่อยากประสบกับสิ่งที่ไม่รัก เราอยากโน้นอยากนี้ ก็อยากจะสมหวังอย่างเดียว ไม่สมหวังก็กลุ้มใจทุกข์ใจ หนักเข้าไปอีก

เพราะฉะนั้นเรามาฝึกนะ เส้นทางที่จะไปสู่ความพ้นทุกข์อย่างแท้จริงเนี่ย ก็คือเส้นทางที่จะพัฒนาสติปัญญาของเราให้แก่กล้า ให้เห็นความจริงของสิ่งที่เรียกว่า”ตัวเรา” ถ้าเห็นได้ก็จะหมดความยึดถือในสิ่งที่เรียกว่า”ตัวเรา”ได้

พระพุทธเจ้าท่านสอนนะ ถ้าเรามีปัญญา เราเห็นความไม่เที่ยงของสังขาร สังขารก็คือกายกับใจเรานี่เอง คือ ขันธ์ ๕ นี่เอง ถ้ามีปัญญาเห็นความไม่เที่ยงของสังขาร จิตจะเบื่อหน่าย นี้เป็นทางแห่งความบริสุทธิ์ ถ้าเห็นความเป็นทุกข์ของสังขาร คือของกายของใจ จิตจะเบื่อหน่าย พอเบื่อหน่ายมันก็จะไม่ยึดถือกายยึดถือใจ นี่คือเส้นทางของความบริสุทธิ์ ถ้าเราเห็นสังขารคือกายนี้ใจนี้นะ เป็นอนัตตา คือสิ่งที่ไม่ใช่คนไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เราไม่ใช่เขา เราจะเบื่อหน่าย พอเบื่อหน่ายแล้วพระพุทธเจ้าบอกว่า นี่คือเส้นทางแห่งความบริสุทธิ์

เพราะฉะนั้นเส้นทางแห่งความบริสุทธิ์ ก็คือการที่เราสามารถเห็นกายนี้ใจนี้ หรือเห็นขันธ์ ๕ นี้ รูปนามนี้ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา หาสาระแก่นสารไม่ได้ แล้วก็หมดความยึดถือ

550409.32m06-33m57

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ ห้องสุวรรณภูมิบอลรูม ชั้น ๒ อาคารบี
บจก. เตียวฮงสีลม บางพลี
วันจันทร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕
ระหว่างเวลา ๑๓:๐๐ – ๑๕:๐๐ น.

File: 550409.mp3 (ไทย)
File: 550409.mp3 (สหรัฐอเมริกาและยุโรป)
เสียงพระธรรมเทศนา ระหว่างนาที่ ๓๒ วินาทีที่ ๖ ถึง นาทีที่ ๓๓ วินาทีที่ ๕๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ธรรมะเริ่มด้วยความมักน้อย และ สันโดษ

mp3 (for download) : ธรรมะเริ่มด้วยความมักน้อย และ สันโดษ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ธรรมะเริ่มด้วยความมักน้อย และ สันโดษ

ธรรมะเริ่มด้วยความมักน้อย และ สันโดษ

หลวงพ่อปราโมทย์​ : เริ่มต้นต้องมักน้อยนะ อันที่สองสันโดษ มักน้อยกับสันโดษไม่เหมือนกัน สันโดษนี่ยินดีตามมีตามได้ ได้มากก็ยินดี ถ้าเราจะไปนิพพานนี่ต้องเติมมักน้อยเข้าไป แต่มักน้อยเนี่ยเป็นธรรมะสำหรับพระนะ ฆราวาสเริ่มที่สันโดษก็พอแล้ว ถ้าเป็นนักบวชต้องเริ่มต้นด้วยมักน้อย มักน้อยหมายถึงว่าถึงมีเยอะก็ปรารถนาน้อย อย่างวัดหลวงพ่อนะพวกเราเอาของมาให้เยอะ ปีหนึ่งปีหนึ่งเยอะมากเลย หรือไปเทศน์ที่โน่นที่นี่นะก็คนก็ให้ของมาเยอะ หลวงพ่อก็ใช้ในวัดดูพระที่อยู่นานๆนะจีวรผืนนึงให้ใช้อย่างน้อยซักสองสามปีนะซักสามปี มันจะมีส่วนที่เหลือเยอะเนี่ยส่งไปให้ที่เค้ายากจน ส่วนใหญ่ส่งไปทางสุรินทร์ทางอะไรนี้ ทางคนทางนั้นจนกว่าพวกเราเยอะเลย บวชเนี่ยนะเดินตัวเปล่าๆเข้ามา มาบอกอุปัชฌาย์จะบวช ผ้าก็ไม่มีบาตรก็ไม่มีไม่มีอะไรซักอย่างนะ เนี่ยเราได้ข้าวของแล้วก็ส่งไป เนี่ยพอเราปรารถนาน้อยมักน้อยเนี่ยจะมีส่วนเกินที่เหลือ นี่คนในโลกนี้ปรารถนาไม่มีที่สิ้นสุดมักมาก เท่าไหร่ทรัพยากรเท่าไหร่ก็ไม่พอ อยู่ลำบาก นี่ฆราวาสไม่ชอบมักน้อยก็ไม่เป็นไรเอาแค่สันโดษ สันโดษหมายถึงว่าทำงานให้เต็มที่เลย แต่ว่าผลงานได้เท่าไหร่นะพอใจ ไม่เหมือนกันนะ มักน้อยเนี่ยมีมากก็เอาน้อยๆเท่าที่จำเป็น อันเนี้ยเข้าไปจุดที่เรียกว่า basic minimum need เลย เอาเท่าที่จำเป็น ฆราวาสไม่ถึงขนาดต้องเป็น basic minimum need หรอก ฆราวาสสันโดษทำมาหากินให้เต็มที่เลย แล้วก็ผลสมมติว่าตั้งเป้าว่าปีนี้จะกำไรร้อยล้านมันเกิดกำไรสิบล้าน พอใจได้ทำเต็มที่แล้ว พอใจที่ได้ทำสุดฝีมือแล้ว นั้นมีความสุขตามมีตามได้

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรม ณ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
อ. ศรีราชา จ.ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๔

CD: พระธรรมเทศนา สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๒
File: 541125
ระหว่างนาทีที่  ๒ วินาทีที่ ๐๖ ถึงนาทีที่ ๔ วินาทีที่ ๓๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

วิปลาส

mp 3 (for download) :วิปลาส

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

วิปลาส

หลวงพ่อปราโมทย์ : ดูขันธ์มันทำงานไปนะ แยกธาตุแยกขันธ์ กายส่วนกาย เวทนาคือความรู้สึกสุขทุกข์ เกิดขึ้นในกายบ้าง เกิดขึ้นในจิตบ้าง ก็ส่วนของเวทนาไม่เกี่ยวกับใคร ทำหน้าที่รู้สึกสุขรู้สึกทุกข์ไปงั้น รู้สึกเฉยๆ

สัญญาทำหน้าที่จำได้กับหมายรู้สองอันนะ จำได้กับหมายรู้ไม่เหมือนกัน จำได้เช่นจำได้ว่านี่สีเขียวนี่สีแดงนี่จำได้ จำได้ซ้อนลงไปอีกชั้นนึง สีเขียวเป็นสัญลักษณ์ให้ขับรถไปได้ สีแดงเป็นสัญลักษณ์ว่าไม่ให้ไป เป็นสมมติซ้อนสมมติเข้าไปนะ จำสัญญาซ้อนเข้าไป หมายรู้หมายถึงอะไร หมายรู้มีหลายระดับนะ หมายรู้เบื้องต้นเป็นการวิเคราะห์เอาว่าสิ่งซึ่งพบซึ่งเห็นอยู่นี่่น่าจะเป็นอะไร ไม่เคยเห็นแต่ว่ามีข้อมูลเดิมทีเอามาเทียบเคียง อย่างเด็กเล็กๆเคยรู้จักแมว ในบ้านมีแมว พอมาที่สวนเสือเด็กก็หมายรู้นี่คือแมว อาจจะหมายรู้ผิดก็ได้นะ เห็นมันหน้าตาเหมือนๆกันเพียงแต่ลายมันไม่เหมือนกันเท่านั้น ท่าทางอะไรก็เหมือนกัน เวลาเล่นก็เล่นเหมือนกัน อย่างนี้เค้าเรียกว่าหมายรู้

หมายรู้อีกอย่างนึงหมายรู้ลึกซึ้งเข้าไปอีกนะ หมายรู้อย่างอื่นน่ะไม่เท่าไหร่หรอกแค่จำทางผิดเช่น จำว่านี่ถนนนี้ไปไหนๆได้ จำทางผิดก็ไม่เท่าไหร่ เดี๋ยวไปผิดทางก็มาเดินใหม่ หมายรู้อีกชนิดนึงเนี่ยน่ากลัว หมายรู้ชนิดที่เรียกว่าวิปลาสเลย เห็นของไม่สวยไม่งามว่าสวยว่างาม เนี่ยสัญญาวิปลาสแล้ว หมายรู้ผิดอย่างร้ายแรง หมายรู้ของไม่เที่ยงว่าเที่ยง อย่างจิตใจของเราเนี่ยไม่เที่ยงนะ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเลย เรากลับรู้สึกว่าจิตของเราเที่ยง จิตของเราดวงนี้กับจิตของเราตอนเด็กๆเป็นดวงเดียวกัน นี่หมายรู้ว่าของไม่เที่ยงว่าเที่ยง วิปลาสอย่างร้ายแรง หมายรู้สิ่งซึ่งเป็นทุกข์ว่าเป็นสุขเห็นว่ามันมีความสุข รู้สึกมั้ยร่างกายเราเนี่ยมีความสุขเป็นช่วงๆนะ นานๆมีความทุกข์ที นี่หมายรู้ผิดนะ

ถ้าหมายรู้ถูกก็จะรู้ว่ามีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อยไม่ใช่มีทุกข์กับสุข จิตใจก็มีแต่ทุกข์มากทุกข์น้อยไม่ใช่มีทุกข์กับสุข เราหมายรู้ผิดๆอยู่ว่ามันเป็นทุกข์บ้างสุขบ้าง ใครก็เป็นอย่างนี้ใช่มั้ย รู้สึกมั้ย ร่างกายเนี่ยทุกข์บ้างสุขบ้าง เนี่ยหมายรู้ผิดสติปัญญาไม่พอ หมายรู้ของไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนว่าเป็นตัวเป็นตน นั่งภาวนาก็อยากจะเอาชนะเวทนาเอาชนะกิเลส คิดแต่จะเอาชนะอะไรต่ออะไรนะ สุดท้ายก็แพ้ทุกทีแหล่ะ ใครจะเอาชนะกิเลส ไม่มีใครเอาชนะกิเลสหรอก ถ้าฉลาดพอจิตมันไม่ปรุงกิเลส ไม่ต้องไปเอาชนะมันหรอก

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

CD: แสดงธรรมเทศนา สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๑
File: 540819A
ระหว่างนาทีที่ ๒๗ วินาทีที่ ๐๐ ถึงนาทีที่ ๓๑ วินาทีที่ ๑๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ปัญหาไม่ได้ทำให้ทุกข์ เราทุกข์เพราะไม่ยอมรับกับความจริง

mp 3 (for download) : ปัญหาไม่ได้ทำให้ทุกข์ เราทุกข์เพราะไม่ยอมรับปัญหา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ปัญหาไม่ได้ทำให้ทุกข์ เราทุกข์เพราะไม่ยอมรับกับความจริง

ปัญหาไม่ได้ทำให้ทุกข์ เราทุกข์เพราะไม่ยอมรับกับความจริง

หลวงพ่อปราโมทย์ : พวกเราสังเกตมั้ยเวลาน้ำท่วม ตัวที่ทำให้ความทุกข์เข้ามาสู่ใจเราไม่ใช่น้ำแต่เป็นความอยาก น้ำมาแล้วอยากให้ไม่มา ใช่มั้ย อยากให้น้ำไม่มา ก็น้ำจะต้องมาอย่าให้น้ำไปไหน น้องทรายก็กั้นน้องน้ำไม่ได้หรอกน้ำมันจะมา ความอยากของเรามันไร้เดียงสา น้ำมาแล้วน้ำมันขังอยากให้น้ำไปเร็วๆ ที่เราต่ำน้ำก็ไปช้า เรามีความอยากซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เยอะแยะเลย

ถ้าของที่มันเป็นไปตามใจเราต้องการ เราก็ไม่มานั่งอยาก เราก็ไม่ต้องอยาก ไอ้ที่อยากเพราะมันไม่เป็นอย่างที่ต้องการ นี่ความต้องการของเรามันไม่ยอมรับความจริงฝืนความจริง น้ำจะท่วมอยากให้ไม่ท่วม เราจะต้องแก่อยากให้ไม่แก่ เราจะต้องเจ็บไข้อยากให้ไม่เจ็บไข้ เราจะต้องตายอยากให้มันไม่ตาย เราจะต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักจากคนที่เรารักเราไม่อยากพลัดพราก เราต้องเจอสิ่งที่ไม่รักไม่ชอบใจเราไม่อยากเจอ ใจที่ไม่อยากนี้เองทำให้ใจดิ้นรน หาความสุขหาความสงบไม่ได้

ถ้าใจเรายอมรับสภาวะทุกสิ่งทุกอย่างได้ ใจจะไม่ทุกข์ อย่างยอมรับได้ว่าต้องแก่ แก่ขึ้นมาก็ไม่ทุกข์ ยอมรับได้ว่าต้องเจ็บ เจ็บขึ้นมาก็ไม่ทุกข์ ยอมรับว่าต้องตาย ต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ต้องเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจเป็นครั้งเป็นคราว ยอมรับได้ก็ไม่ทุกข์ ยอมรับไม่ได้ก็ทุกข์ นี่ทำไงใจเราจะยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างได้

ตัวนี้แหละที่พระพุทธเจ้าสอนเรา สอนเราว่าทำยังไงเราจะยอมรับปรากฎการณ์ทั้งหลายทั้งปวงได้ งั้นน้ำท่วมก็ไม่ทุกข์นะ อะไรเกิดขึ้นก็ไม่ทุกข์ถ้าใจยอมรับได้ใจไม่ดิ้น วิธีการที่จะฝึกจิตฝึกใจให้ยอมรับความจริงที่ต้องเผชิญได้ก็คือวิปัสสนากรรมฐานนั่นเอง เรามาเรียนรู้ความจริงของชีวิตนะ วิธีเรียนไม่จำเป็นต้องไปเรียนอะไรไกลตัว เรียนที่ง่ายๆเลย เรียนอยู่ที่ใจของเรานี่เอง

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

CD: ศาลาลุงชิน ครั้งที่ ๔๖
File: 541218
ระหว่างนาทีที่ ๔ วินาทีที่ ๑๑ ถึงนาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๔๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สุขทุกข์อยู่ที่ใจเราเอง

mp3 (for download) : 530228B_suffering

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

สุขทุกข์อยู่ที่ใจเราเอง

สุขทุกข์อยู่ที่ใจเราเอง

โยม : พอจุดที่ไปอยู่แล้วรู้สึกว่าไม่ใช่ที่ๆ มีความสุขนะเจ้าคะ มันก็ไปอินกับความเศร้าอยู่พักนึง แล้วก็มันไม่มีกำลัง

หลวงพ่อปราโมทย์ : ที่ๆ อยู่ จุดที่อยู่หมายถึงอะไร จุดข้างในนี้หรือ

โยม : ที่ๆ เลือก สถานที่ที่เลือกไปเจ้าคะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : จะบอกให้ว่า จะไปอยู่ที่ไหนก็จะไม่มีความสุขหรอก เพราะว่าความทุกข์มันอยู่กับตัวเราเอง ไม่ว่าจุ๊จะย้ายไปอยู่ตรงไหน ความทุกข์ก็จะตามไป

โยม : แล้วตอนนี้มันก็ มันเหมือนเริ่มเห็นว่าจุดที่จะเลือกใหม่ มันก็กลัวเจ้าคะ ก็เลยจะกลับไปสู้กันอีกตั้งนึง

หลวงพ่อปราโมทย์ : ที่ไหนก็ทุกข์เหมือนกันนะ เราไม่ต้องกังวลมากหรอก เพราะว่าอะไร เพราะว่าที่ทุกข์มากๆ ก็เพราะใจเรานี่เอง ใจเราปฎิเสธสิ่งแวดล้อม เราไม่อยากได้อย่างนี้ เราก็ทุกข์สิ ถ้าเรารู้ทันเนี่ย โอ้ ความทุกข์มาเกิดขึ้นในใจเราเนี่ย เพราะใจเราไม่เป็นกลาง มีวิภวตัณหาเกิดขึ้น ไม่ชอบ เป็นตัณหา มีตัณหาก็ต้องมีทุกข์แหละ

โยม : จุ๊ก็เลยนับหนึ่งใหม่ พอีหนอณัฐบอกให้กระตุ้นความรู้สึกตัว ก็เลยเริ่มพยายามที่กลับมาทำ ก็เลยมากราบขอคำแนะนำหลวงพ่อค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : นั้นแหละ ก็แนะถูกแล้วนะ รู้สึกตัวไป รู้สึกบ่อยๆ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อวันอาทิตย์ ๒๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๓ หลังฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๔
File: 530228B
ระหว่างนาทีที่ ๔๓ วินาทีที่ ๐๓ ถึง นาทีที่ ๔๔ วินาทีที่ ๑๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

นิพพานอยู่ต่อหน้าต่อตา

Mp3 for download: 530726A_Nirvana

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

นิพพานอยู่ต่อหน้าต่อตา

นิพพานอยู่ต่อหน้าต่อตา

หลวงพ่อปราโมทย์ : นิพพานเป็นธรรมะที่มีอยู่แล้วนะ เป็นของที่มีอยู่แล้วไม่ใช่ของที่เกิดขึ้นสดๆร้อนๆ เหมือนกิเลสตัณหาทั้งหลายนี่เกิดขึ้นสดๆร้อนๆ  นิพพานมีอยู่แล้วแต่เรามองไม่เห็นเพราะใจของเรามีกิเลสตัณหา ใจของเราเร่าร้อน ใจของเราไม่คู่ควรที่จะเห็นนิพพาน ใจเรามีกิเลสมีตัณหา ใจเราชอบดิ้นรนปรุงแต่งนะ ปรุงดีบ้าง ปรุงชั่วบ้าง ปรุงสุขบ้าง ปรุงทุกข์บ้าง ปรุง กลางๆ ไม่ดีไม่ชั่วไม่สุขไม่ทุกข์บ้างนะ ปรุงตลอดเวลา

จิตใจที่ปรุงอยู่ ฟุ้งซ่านอยู่นั้นเป็นจิตใจที่ไม่คู่ควรกับธรรมะนะ ไม่เห็นนิพพานซึ่งเป็นธรรมะที่พ้นกิเลสพ้นตัณหา พ้นความปรุงแต่ง พ้นความดิ้นรน เมื่อไรจิตเราพ้นจากตัณหาได้เพราะว่ารู้ทุกข์แจ่มแจ้ง นิพพานจะปรากฎขึ้นให้เห็นต่อหน้าต่อตา นิพพานอยู่ต่อหน้าต่อตาอยู่แล้วแต่ไม่เคยเห็น ขณะนี้พวกเราทุกคนนะ นิพพานอยู่กับเราต่อหน้าต่อตานี่แหล่ะแต่พวกเราไม่เห็น เพราะใจของเรายังมีตัณหาอยู่นะ ถ้าเมื่อไหร่ตัณหานี้ดับสนิทลงไปนิพพานจะปรากฎขึ้น นิพพานคือสภาวะที่สิ้นตัณหา สิ้นความอยาก นิพพานมีสภาวะยังไง สิ้นตัณหาสิ้นความอยาก นิพพานสงบ นิพพานมีสันติ ที่นี่ชื่อสวนสันติธรรมนะ ถ้าแปลแล้วสันติธรรมคืออะไรคือนิพพานนะ สวนสันติธรรมนะ สันติก็คือนิพพานนั้นมีสันติลักษณะ สงบ สงบจากอะไร สงบจากกิเลส สงบจากตัณหา สงบจากความปรุงแต่ง สงบจากความทุกข์ สงบจากขันธ์นะ เนี่ย มันจะปรากฎขึ้นต่อหน้าต่อตา

เมื่อไรใจพ้นความปรุงแต่งเมื่อนั้นเราจะเห็นธรรมะที่ไม่ปรุงแต่งคือเห็นนิพพาน ทำนองเดียวกับที่พวกเราเป็น วันใหนจิตใจของเราร่าเริงเบิกบานโลกทั้งโลกดูร่าเริงเบิกบาน วันใหนจิตใจของเราหดหู่เศร้าหมองโลกทั้งโลกดูหดหู่เศร้าหมอง ถ้าวันใดใจของเราพ้นความปรุงแต่ง พ้นความอยากนะ มีความอยากมันก็ปรุงแต่งนะ พ้นความอยากมันก็พ้นความปรุงแต่ง เมื่อนั้นเราจะเห็นความไม่ปรุงแต่งเนี่ย ครอบคลุมโลกทั้งโลกอยู่ ความไม่ปรุงแต่งความสงบความสันติครอบคลุมโลกทั้งโลกนี้อยู่นะ นี่คือตัวนิพพานนะ เป็นความสิ้นทุกข์สิ้นกิเลสสิ้นขันธ์นะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อวันจันทร์ที่ ๒๖ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๓ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๕
File: 530726A
ระหว่างนาทีที่ ๑๗ วินาทีที่ ๓๕ ถึง นาทีที่ ๒๑ วินาทีที่ ๕๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เบื้องต้นดูภาพในจอ ต่อไปจะเห็นเครื่องฉายหนัง

mp3 for download : เบื้องต้นดูภาพในจอ ต่อไปจะเห็นเครื่องฉายหนัง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

เบื้องต้นดูภาพในจอ ต่อไปจะเห็นเครื่องฉายหนัง

เบื้องต้นดูภาพในจอ ต่อไปจะเห็นเครื่องฉายหนัง

หลวงพ่อปราโมทย์ : เวลาที่เราดูจิต เราไม่ได้ดูเหมือนเราดูหนัง ถ้าจะดูจิตให้มันลึกซึ้งจริงๆไม่ใช่เหมือนดูหนัง การดูจิตตสังขารน่ะเหมือนดูหนัง ดูปลายทางของมัน มันปรุงไปแล้วมันแต่งไปแล้ว มันทำงานขึ้นมาแล้ว เหมือนเราดูภาพในจอหนัง แต่การดูจิตจริงๆนี่นะ เหมือนดูเครื่องฉายหนัง เราเห็นเลยว่ามันติดไฟขึ้นมาแล้ว รูปกำลังจะวิ่งไปที่จอหนังแล้ว เห็นตรงนี้นะ ไฟดับปั๊บลงไปเลย ไม่ต้องไปสร้างภพสร้างชาติ เสียเวล่ำเวลา

ถ้าดูไปจนชำนิชำนาญถึงจุดหนึ่งนะ เอาเครื่องฉายหนังนี้โยนทิ้งไป ทุบซะแหลกละเอียด ฉายอีกไม่ได้แล้ว สร้างภพสร้างชาติอีกไม่ได้ อันนั้นหมายถึงว่า จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งแล้ว จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งมันสร้างภพสร้างชาติไม่ได้อีกแล้ว เพราะฉะนั้นจิตเห็นจิตนี่ก็เป็นมรรคนะ จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นอรหัตตมรรค เหมือนเราทำลายต้นตอมัน ไม่ได้ไปดูปลายทาง

แต่พวกเราสังเกตจิตสังเกตใจของเราให้ดี เราชอบไปดูปลายทาง เราไม่เห็นตรงที่จิตเคลื่อนไป เคลื่อนเข้าไปในจอหนัง เราไม่เห็น เราไปเห็นแต่ภาพในจอหนัง แล้วภาพนั้นไม่นิ่งไม่เที่ยง อยากบังคับมันเที่ยวไปจับรูปในจอ มันจับก็จับไม่ได้ มันก็ฉายไปตามเหตุตามปัจจัยของมัน บังคับมันไม่ได้หรอก

แต่พอสติปัญญาแก่รอบขึ้นมา มันก็ทวนกระแสเข้าหาจิตหาใจนี้แหละ ทวนๆๆเข้ามาจนเห็นเลย มันมีความคันๆขึ้นมาก่อนนะ มันมีความคันๆขึ้นในจิต แล้วมันก็เลยอยากรู้อยากดูอยากเห็นอยากเป็นอยากได้อยากโน้นอยากนี้ขึ้นมาแล้วก็ส่งออกไป เคลื่อนออกไป

ถ้ารู้ทันตรงที่เคลื่อนไป คล้ายๆมันผงะนิดนึง ผงะอย่างนี้ ผงะ จะชะโงกลงไปดู เห็นตรงที่จะชะโงกลงไปดู มันจะขาดสะบั้นตรงนั้น ก็จะไม่ชะโงกนะ กลายเป็นนั่งดูอยู่ห่างๆ เรียกว่าดูสักว่ารู้สักว่าเห็นอยู่ เห็นอะไรก็สักว่ารู้สักว่าเห็น ไม่ถลำลงไปรู้ เห็นมั้ยคำว่าไม่ถลำรู้ลึกซึ้งนะ ไม่ใช่แค่ว่าลงไปนอนแช่หรอก แค่ผงะเข้าไปนิดเดียวก็เห็นแล้ว แค่นั้นก็ถลำแล้ว

เพราะฉะนั้นการภาวนาในเบื้องต้นก็หยาบๆหน่อย เบื้องปลายก็ละเอียดขึ้นๆ จะเห็นเลยว่าจิตนี้มันผงะทั้งวันนะ ขยับๆมันหิวอารมณ์นั่นแหละ พอรู้ทันมันก็ดับไปๆ เหลือจิตอยู่ ๒ อย่างเอง จิตที่รู้ตัวตื่นอยู่ สักว่ารู้สักว่าเห็นสภาวะอยู่ อันนี้อันหนึ่ง จิตที่ถูกกิเลสตัณหาผลักดัน ขยับตัวไป จะเข้าไปเสพอารมณ์ จะเข้าไปรู้อารมณ์ก่อน อยากรู้อารมณ์ พอรู้อารมณ์ก็เข้าไปเสพอารมณ์

พวกเราส่วนใหญ่เห็นตอนมันเสพอารมณ์ไปแล้ว นี่ค่อยๆฝึกนะ ต่อไปเหลือจุดที่ต้องปฎิบัตินิดเดียว เหมือนอยู่บนปลายเข็ม คล้ายๆ ถ้าสำนวนโบราณหน่อย เหมือนเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดตั้งเอาไว้บนปลายเข็ม เล็กๆเล็กๆ เล็กนิดเดียวนะ ขยับกริ๊กเดียวก็ตกแล้ว ตกจากยอดปลายเข็มแล้ว พวกเรายุคนี้คงไม่รู้จักเมล็ดพันธุ์ผักกาด เอาแค่เมล็ดตะขบก็พอ พอจะรู้จักมั้ย หรือก็ไม่รู้จักอีก ก็ไม่รู้จักนะ ต้องแบบสปอร์อะไรสักอย่าง เล็กๆอย่างนั้น

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนฉันเช้า

CD: ๒๔
File: 510414A
ระหว่างนาทีที่ ๔ วินาทีที่ ๒๓ ถึงนาทีที่ ๗ วินาทีที่ ๕๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เมื่อต้องพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รัก

mp3 (for download): เมื่อต้องพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รัก

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.


พ่อปราโมทย์ : วันนี้เรามาพบกันในงานศพ ก็เป็นโอกาสของการฟังธรรม ชาวพุทธเราจะไม่ปล่อยชีวิตให้ล่วงเลยไปเปล่าๆ หน้าที่ของชาวพุทธก็ต้องศึกษาธรรมะ มาพบกันในโอกาสงานศพก็ต้องพูดธรรมะกัน

ธรรมะนี้เป็นเครื่องถอดถอนความเศร้าโศกออกจากจิตใจ คนที่เรารักตาย จิตใจของเราเศร้าโศกเป็นเรื่องธรรมดา ห้ามไม่ได้ ใครๆก็กลัวตายเพราะเราไม่มั่นใจว่าตายแล้วชีวิตจะเป็นอย่างไร ชีวิตหลังความตายมีหรือไม่มีก็ไม่รู้นะ แต่กลัวไว้ก่อน กลัวไม่มีนั่นแหละ ถ้ามีก็กลัวไม่ดี

ถ้าเราเตรียมความพร้อม หัดพัฒนาจิตใจของเราให้ดี มีศีลมีสมาธิมีปัญญา สะสมไป เราไม่กลัวความตาย ความตายไม่ได้น่ากลัวอะไร มันน่ากลัวสำหรับคนซึ่งไม่มั่นใจในคุณงามความดีของตัวเอง ถ้ามั่นใจในคุณงามความดีของตัวเองแล้ว ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย เราจะเผชิญความตายด้วยความองอาจกล้าหาญ

ในส่วนของคนแต่ละคนนะ ที่จะตายก็ต้องเตรียมความพร้อม พวกเราญาติมิตรลูกหลานก็ต้องเตรียมความพร้อม บางคนก็ร้องห่มร้องไห้เสียอกเสียใจ ทำไมต้องเสียใจ เพราะไม่อยากให้ตาย ก็เลยคิดว่าความตายของคนที่เรารักเนี่ยทำให้เราเศร้าโศก ความจริงแล้วความตายของใครก็ไม่ได้ทำให้เราต้องเป็นทุกข์นะ เราเป็นทุกข์เพราะใจเราไม่ยอมรับความจริงว่าเขาต้องตาย เราอยากให้เขาอยู่นานๆ เราทุกข์เพราะความอยากของเราเอง ไม่ใช่ทุกข์เพราะผู้ตาย

เพราะฉะนั้นถ้าเราเข้าใจตรงนี้นะ คนที่เรารักตายนั่นก็คือสภาวะธรรมดา ยังไงวันหนึ่งก็ต้องพลัดพราก เราไม่พลัดพรากจากเขา ก็เขาพลัดพรากจากเรา ก็ต้องมีข้างหนึ่งล่ะ ยังไงก็ต้องพลัดพรากจากกันนะ ตายพร้อมๆกันก็ยังต้องพลัดพรากจากกันอีก ถ้าเข้าใจความจริงของชีวิต เกิดมาแล้วยังไงเราก็หนีความตายไม่พ้นนะ หนีความพลัดพรากจากคนที่เรารักไม่ได้ เราก็ต้องยอมรับความจริง ถ้าเรายอมรับความจริงไม่ได้เราก็มีความทุกข์ ยังยอมรับความตายไม่ได้ พอมีความตายเกิดขึ้นเราก็ทุกข์ ใจเราอยาก อยากให้เขาไม่ตาย พอเขาตายแล้วเราก็ทุกข์ อยากให้ฟื้นเขาไม่ยอมฟื้นก็ทุกข์อีก

เพราะฉะนั้นจริงๆเราทุกข์เพราะความอยากของตนเอง ไม่ใช่ทุกข์เพราะว่าเขาตายหรอกนะ เพราะฉะนั้นเรามาฝึกจิตฝึกใจของเรา ให้ข้ามพ้นความอยากไป ไม่ใช่เฉพาะอยากเรื่องให้คนตายแล้วฟื้นหรืออยากให้คนไม่ตาย อยากอะไรก็ตามเถอะ ความอยากอะไรเกิดขึ้นทีไรความทุกข์ก็เกิดขึ้นทุกที มีความอยากทีไรก็มีความทุกข์ทุกทีแหละ

ทีนี้ห้ามใจไม่ให้อยากมันห้ามไม่ได้ เราต้องมาพัฒนาใจของเราให้มันฉลาด ทำไมใจเรามีความอยาก มันหวังว่ามันจะได้สิ่งที่ดีๆ หวังว่าจะไม่พลัดพรากจากสิ่งที่ดีๆ มันมีความอยากมีความหวังอยู่อย่างนี้ ห้ามมันไม่ได้

แต่ถ้ามาเรียนรู้ความจริงของชีวิต ชีวิตของเราไม่ใช่ของดีของวิเศษอะไรนักหรอก ร่างกายจิตใจที่ประกอบกันเป็นตัวเรานะ คนตายเขาก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ถึงวันหนึ่งก็ต้องทิ้งไป เราเองวันหนึ่งก็ต้องทิ้งไป ร่างกายนี้ที่เรารักเราหวงแหนนี้ ยังหนุ่มยังสาวเราก็ว่ามันดี พออยู่ไปนานๆแล้วรู้เลยมันมีแต่ทุกข์ทั้งนั้นเลย ในร่างกายของเราถูกความทุกข์บีบคั้นอยู่ทั้งวันทั้งคืน แต่คนที่ไม่มีปัญญาก็มองไม่เห็น มันทุกข์ยังไง เดี๋ยวก็หิวเดี๋ยวก็หนาวเดี๋ยวก็ร้อนนะ เดี๋ยวก็อย่างโน้นเดี๋ยวก็อย่างนี้ นานๆเข้าก็ป่วยหนักๆสักทีหนึ่ง อะไรอย่างนี้

ถ้าเรามีสติ มีปัญญา เรารู้ลงในร่างกายเราบ่อยๆ เราเห็นร่างกายนี้มีแต่ความทุกข์ ยกตัวอย่างคนไม่สบายก็มีความทุกข์เยอะ เราอยากให้ญาติของเราไม่ตายเนี่ย เขาไม่สบายมาตั้งนานแล้ว เราอยากให้เขาทุกข์นานๆหรือเปล่า? เราอยากให้เขาอยู่อย่างเดียวนะไม่ได้อยากให้เขาทุกข์นะ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ เป็นความอยากที่ขัดกับความจริงน่ะ ก็เขาไม่สบายเขาอยู่นานเขายิ่งทุกข์มากเลยนะ ถ้าเราเข้าใจตรงนี้เราก็ไม่กังวลหรอก เขาตายก็สมควรตายแล้่ว

หลวงพ่อตอนนั้นยังไม่บวชนะ ตอนเตี่ยของหลวงพ่อตาย มีทำกงเต๊กด้วยหลวงพ่อชอบที่สุดเลยเรื่องทำกงเต๊กเนี่ย มันส์มากเลย เสียดายเขาไม่นิมนต์มาดูกงเต๊ก เตี่ยตายแทนที่เราจะเศร้าโศกนะ จิตมันร่าเริงนะ จิตใจมันร่าเริงมันยอมรับความจริงน่ะว่า วันหนึ่งเขาต้องตาย เขาอยู่แล้วเขาทรมานมากกว่าเขาตายอีก ทีนี้บางทีก็เป็นความเห็นแก่ตัวของเรานะ เราพยายามยื้อคนที่ป่วยหนักๆไม่ให้ตายเนี่ย เรากลัวความพลัดพราก ถ้าเราเมตตาสงสารเขาบางทีก็ต้องปล่อยให้เขาตายนะ ตามธรรมชาตินี้ดีที่สุดเลย ไปปั๊มพ์มากๆทรมานมาก เหนื่อย เหนื่อยทุกฝ่าย เราก็ลุ้นไม่ให้เขาตาย สุดท้ายก็ตาย

อยู่ที่ใจเรานะ ใจเราค่อยเรียนรู้ความจริงลงไป ชีวิตนี้ไม่ใช่ของวิเศษวิโสอะไรที่จะต้องหวงแหนมากมาย ชีวิตนี้เต็มไปด้วยความทุกข์น่ะ ถ้าเรารู้สึกนะ คอยรู้สึกอยู่ในร่างกาย เห็นร่างกายมีแต่ความทุกข์ มาคอยดูจิตดูใจของเรา ใจเราไม่เคยเต็มอิ่มเลย ใจเราก็มีแต่ความทุกข์เต็มไปหมดเลย เพราะวันหนึ่งความอยากเกิดขึ้นตั้งมากมาย ความอยากเกิดขึ้นทีไรความทุกข์เกิดขึ้นทุกที ไปสังเกตดูนะ สังเกตดูว่าจริงหรือไม่จริงว่าความอยากเกิดขึ้นแล้วความทุกข์จะตามมา

ถ้าคนที่สติปัญญาไม่มากพอก็คิดว่าถ้าอยากนะยังไม่ทุกข์ ต้องไม่สมอยากก่อนถึงจะทุกข์ แต่ถ้าคนมีสติมีปัญญามากขึ้นหัดภาวนา ดูของจริง ในจิตในใจของตนเอง จะรู้เลยว่าในทันทีที่ความอยากเกิดขึ้น จิตมีความเครียดเกิดขึ้นแล้ว มันจะทุกข์น่ะ อยากแล้วมันก็ลุ้นใช่มั้ยว่าจะได้อย่างที่อยากมั้ย

เพราะฉะนั้นเรามาเฝ้ารู้อยู่ที่ใจเรานะ จะเห็นเลยว่าในใจนี้เต็มไปด้วยความอยาก เพราะฉะนั้นใจนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ เพราะฉะนั้นทั้งกายทั้งใจที่ประกอบขึ้นมาเป็นคนนะ ประกอบเป็นสัตว์ทั้งหลายนี้ เป็นตัวทุกข์ทั้งหมดเลยนะ เรามาคอยรู้คอยดูอยู่ นี่เป็นวิธีปฏิบัติธรรม

การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องอะไรที่ลึกลับ ไม่ใช่เรื่องการไปนั่งหลับหูหลับตาอะไรมากมายนะ ทำสมาธิทำไปเหมือนกันไม่ใช่ไม่ทำ ทำพอให้จิตใจมีเรี่ยวมีแรง พอจิตใจมีเรี่ยวมีแรงแล้วต้องมาดูความจริงของร่างกาย มาดูความจริงของจิตใจ ความจริงของร่างกาย ร่างกายมีแต่ความทุกข์เยอะแยะไปหมดเลยนะ ความจริงของจิตใจก็คือมีความทุกข์เยอะแยะไปหมดเลย เนี่ยเฝ้ารู้ลงไปๆแล้วเราจะรู้เลยว่า สิ่งที่ดำรงชีวิตอยู่นี้ไม่มีอะไรนอกจากตัวทุกข์ทั้งนั้น ถ้าเราเห็นได้อย่างนี้เราจะไม่กลัวตาย

สิ่งที่มีชีวิตอยู่ตอนนี้ก็คือตัวทุกข์นะ เวลาจะตายก็คือตัวทุกข์มันจะตาย มันไม่ใช่ของดีของวิเศษมันกำลังจะตาย เราจะเห็นเลยว่าตัวทุกข์มันจะตาย ถ้าตัวทุกข์มันจะตายเราจะไปกลุ้มใจทำไม

พระอรหันต์นะ ถึงเวลาวันที่จะตายเนี่ย จะผ่องใสมากเลยนะ จะผ่องใสเป็นพิเศษเลย เพราะตัวทุกข์มันกำลังจะตายละ สมน้ำหน้ามันนะ นี่จิตใจจะห้าวหาญเหมือนนักรบที่กล้าหาญมากๆ ได้ยินเสียงกลองศึกแล้วคึกคัก ไม่ใช่เข่าอ่อนใจฝ่อนะ ไม่เหมือนอย่างพวกเราหลายคนเลยใจฝ่อ เคยเห็นมั้ยคนจะตายร้องไห้ ไม่อยากตายๆ

หลวงพ่อเคยเจอคนหนึ่งนะ ไม่อยากตายๆ สุดท้ายมันตายนะ คนที่เขามีหูมีตาก็บอกว่า มันไม่ยอมไปไหนเลยมันเฝ้าศพอยู่อย่างนั้นน่ะ หวังว่าจะมีหมอมารักษาให้มันฟื้นได้อีก พยายามลองไปนอนทับศพนะ พยายาม กะว่าถ้าลงไปนอนพอดีแล้วจะลุกขึ้นมาได้ ขืนมันลุกขึ้นมานะ คนที่กำลังร้องไห้รักมันอยู่นะจะวิ่งหนีหมดศาลาเลย มันไม่รักจริงหรอก เนี่ย ถ้าลุกขึ้นมาเอามั้ย รักนักหนา.. ลุกขึ้นมาไม่เอาแล้ว ไปฮวงซุ้ยเหอะ ไป

เพราะฉะนั้นมาเรียนรู้นะ มาเรียนรู้ความจริงของชีวิตนะ มาเรียนรู้ความจริงของชีวิตแล้วเราจะไม่กลัวตาย เราจะไม่เศร้าโศกเพราะความตาย เรารู้เลยว่า ที่เราเศร้าโศกที่เห็นคนตายที่เห็นคนที่รักตายนั้น จริงแล้วเราเศร้าโศกเพราะว่าใจเราอยากนั้นเอง อยากให้เขาอยู่ อยากให้เขามีชีวิตอยู่นานๆ อยากให้เขาไม่ตายอะไรอย่างนั้น เป็นความอยากที่ไร้เดียงสา ใครๆมันก็ตายกันทั้งนั้นแหละ ถ้าเข้าใจอันนี้ก็ไม่กล้วแล้ว คนที่เรารักจะตายมันก็เป็นเรื่องธรรมดา ตัวเราจะตายก็เป็นเรื่องธรรมดา โดยเฉพาะตัวเรานะมีแต่ตัวทุกข์นะ ตัวทุกข์จะตายจะไปเสียดายทำไม

เพราะฉะนั้นอยู่ที่สติปัญญานะ จะทำให้เราพ้นทุกข์ได้หรือไม่ได้ ไม่ใช่อยู่ที่ใครอื่นหรอก จะหวังว่าคนที่เรารักจะอยู่กับเราตลอดไป เราถึงจะไม่ทุกข์ อย่างนี้หวังไม่ได้ ไม่จากตายก็จากเป็น ยังไงก็จาก เพราะฉะนั้นเราฝึกฝนใจของเราไปเรื่อย ต่อไปใจเรามีความสุขนะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร

แสดงธรรมเมื่อ วันพุธที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๔

CD: แสดงธรรมเทศนานอกสถานที่ วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร
File: 540810B
ระหว่างนาทีที่ ๐ วินาทีที่ ๒๓ ถึง นาทีที่ ๑๐ วินาทีที่ ๑๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 1 of 3123