Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

ไม่ทำอะไรมากกว่าการรู้

mp 3 (for download) : ไม่ทำอะไรมากกว่าการรู้

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม : หลวงพ่อครับ มีคำถามอย่างนึงครับ คือดูจิตดูใจมาแล้วรู้สึกว่า ความคิดอกุศลมันเกิดขึ้นเยอะในแต่ละวัน

หลวงพ่อปราโมทย์ : แต่เดิม มันก็คิดนะ แต่เราไม่เคยเห็น งั้นเราก็เลยจมอยู่ในอกุศล ต่อไปนี้จิตคิดอกุศลขึ้นมา เราก็จะเห็นแล้ว เราก็จะไม่จมอยู่กับอกุศล

โยม : แต่บางที ไม่รู้สึกว่ามันเป็นกลาง เราควรจะทำยังไงดีครับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ให้รู้ว่าไม่เป็นกลาง เราไม่ทำอะไรมากกว่าการรู้ ลองไปดูในมหาสติปัฏฐานสูตรนะ มีกริยาหลักอยู่คำเดียวคือคำว่ารู้ หายใจออกหายใจเข้าก็รู้ใช่ไหม ยืนเดินนั่งนอนก็รู้ เป็นสุขเป็นทุกข์เฉยๆก็รู้ โลภโกรธหลงก็รู้ ไม่โลภไม่โกรธไม่หลงก็รู้ รู้ลูกเดียว รู้ไปเรื่อยๆ ส่วนมันไม่เป็นกลาง รู้แล้วมันยินดี รู้แล้วมันยินร้าย ก็ให้รู้ว่ายินดียินร้าย ยินดียินร้ายเป็นอารมณ์ปัจจุบัน เกิดขึ้นใหม่ๆสดๆร้อนๆ เราก็รู้ไปอีก ในที่สุดวันนึงก็เป็นกลาง

การเป็นกลางเนี่ย เกิดจากมีปัญญา มันเห็นว่าทุกสิ่งชั่วคราว ทุกสิ่งเกิดแล้วก็ดับ ทุกสิ่งชั่วคราว ไม่มีอะไรดีกว่าอันไหน ไม่มีอะไรเลวกว่าอันไหน เนี่ยปัญญาขนาดนี้เกิดนะ ถึงจะเป็นกลางอย่างแท้จริง ถึงจะสักว่ารู้สักว่าเห็นอย่างแท้จริง

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๗ เดือนเมษายน พ.ศ.๒๕๕๑ หลังฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๕
Track: ๘
File: 510427B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๕๑ วินาทีที่ ๕๐ ถึง นาทีที่ ๕๒ วินาทีที่ ๕๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตปรุงแต่งไม่มีปัญหา แต่เราชอบเข้าไปปรุงแต่งจิต

mp 3 (for download) : จิตปรุงแต่งไม่มีปัญหา แต่เราชอบเข้าไปปรุงแต่งจิต

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
ขอขอบคุณ ภาพจากงาน “ธรรมะกลางเมือง”

หลวงพ่อปราโมทย์ : จิตใจนะเค้าทำงานของเค้าทั้งวัน เค้าปรุงดีบ้าง ปรุงร้ายบ้าง ไม่เป็นปัญหานะ จิตจะปรุงกุศล จิตจะปรุงอกุศล ไม่มีปัญหา ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าพวกเรานักปฏิบัติชอบเข้าไปปรุงแต่งจิต เช่น จิตมีอกุศลนะ หาทางละ จิตเป็นกุศลพยายามรักษาหรือพยายามทำให้กุศลเกิดขึ้นมา จิตปรุงแต่งไม่เป็นไร เราอย่าไปปรุงแต่งจิต

เพราะฉะนั้นอย่างจิตของเรามีโมหะ มัว ให้รู้ด้วยความเป็นกลาง นี่…คีย์เวิร์ดของมันนะ คือรู้ด้วยความเป็นกลาง ถ้าเรารู้ด้วยความเป็นกลางไม่ได้ เราจะเข้าไปปรุงแต่ง เช่น จิตเป็นอกุศลนะ อยากให้ดี ไม่เป็นกลาง แล้วเราก็พยายามหาทางทำอย่างโน้น ทำอย่างนี้ การที่เราปรุงแต่ง

การที่เราพยายามทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมานั่นแหละ มันปิดกั้นไว้ ปิดกั้นเอาไว้จากมรรคผลนิพพาน นิพพานคือความไม่ปรุงแต่ง เพราะฉะนั้นตราบใดที่จิตยังปรุงแต่งอยู่นะ ตราบใดที่ไปหลง ปรุงแต่งจิต ไม่ใช่จิตปรุงแต่ง ตราบใดที่ยังไปหลงปรุงแต่งจิตอยู่จะเห็นนิพพานไม่ได้เลย

แต่ถ้าเราเห็นจิตนี้ปรุงแต่งไปทั้งวันทั้งคืน เราไม่ปรุงแต่งจิต ถึงจุดหนึ่งมันจะเห็นเลย จิตมันก็ส่วนจิตนะ ก็ทำงานของมันไป ธรรมชาติที่เป็นคนไปรู้ ก็อยู่ต่างหาก ไม่เกี่ยวกัน ธรรมชาติที่ไปรู้ขันธ์โดยที่ไม่ไปยึดขันธ์นั่นแหละ ธรรมชาติอย่างนี้นะ ถึงจะไปเห็นนิพพานได้


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๙ หลังฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๖
Track: ๒
ระหว่างนาทีที่ ๒ วินาทีที่ ๕ ถึง นาทีที่ ๓ วินาทีที่ ๔๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จุดสุดท้ายที่ภาวนาได้ คือ จิตเป็นกลางด้วยปัญญา

mp 3 (for download) : จุดสุดท้ายที่ภาวนาได้ คือ จิตเป็นกลางด้วยปัญญา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : เป็นกลางเกิดขึ้นได้หลายแบบ อันที่หนึ่งเกิดจากการเพ่งเอาไว้ ถ้าเพ่งใจทื่อๆแล้วเป็นกลางเนี่ย ไม่ดี เป็นกลางเพราะมีปัญญา มีปัญญาเห็นทุกอย่างมันชั่วคราว ในที่สุดจิตจะเป็นกลางเอง อันนี้ดีที่สุดเลย

ความจริงมีอีกอันหนึ่ง เป็นกลางด้วยสติ คือทีแรกเป็นกลางด้วยการเพ่ง อันที่สองเป็นกลางเพราะมีสติรู้ทันจิตที่ไม่เป็นกลาง ความไม่เป็นกลางดับนั้น ก็เป็นกลางขึ้นมาชั่วคราว อันนี้ก็ยังดีอยู่ อย่างที่ดีที่สุดคือเป็นกลางด้วยปัญญา เวลาที่เรามีสติตามดูไปเรื่อย เห็นสภาวะทั้งหลายเกิดดับไปเรื่อย เห็นจิตเป็นกลางบ้างไม่เป็นกลางบ้าง ยินดีบ้าง(พอใจบ้าง – ผู้ถอด) ยินร้ายบ้าง(ไม่ชอบใจบ้าง – ผู้ถอด) ทั้งเป็นกลาง ทั้งยินดี ทั้งยินร้าย ก็มีแต่เกิดดับอีก

ในที่สุดปัญญามันเกิด มันจะเห็นว่าทุกสิ่งเกิดแล้วดับ พอปัญญาเกิดเห็นทุกสิ่งเกิดแล้วดับเนี่ย จิตจะเป็นกลางด้วยปัญญา ความทุกข์มาก็ไม่ทุรนทุราย รู้ว่าไม่นานก็ดับ ความสุขมา ก็ไม่ติดใจรักใคร่พัวพัน เพราะรู้ว่าอยู่ไม่นานก็ดับ (โยม : ค่ะ) เนี่ย เป็นกลางอย่างนี้ ใช้ได้เลย (โยม : ค่ะ)

พวกเราที่ภาวนานะ วันหนึ่งเราจะต้องมาสู่จุดนี้ให้ได้ คือความเป็นกลางด้วยปัญญา เพราะถัดจากความเป็นกลางด้วยปัญญาแล้ว ถัดจากนั้นขึ้นไป อริยมรรคจะเกิดแล้ว จุดสุดท้ายที่พวกเราจะภาวนาได้นะ ก็คือภาวนาจนกระทั่งจิดเป็นกลางด้วยปัญญา เป็นกลางต่อทุกสิ่งทุกอย่างเลย ความสุข ความทุกข์ กุศล อกุศล เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับ ดูไปวันหนึ่งจิตมีปัญญา เห็นทุกอย่างเกิดแล้วดับ จิตจะเป็นกลาง จิตเป็นกลางตัวนี้เรียกว่า จิตมีสังขารุเบกขาญาณ ญาณแปลว่าปัญญา สังขารุเบกขาก็คือ มีอุเบกขาต่อความปรุงแต่ง ทั้งดีทั้งชั่ว ทั้งสุขทั้งทุกข์

จิตที่เดินมาถึงสังขารุเบกขาญาณเนี่ย จะมีรอยแยก ๒ ทาง มีทางแยก ทางที่ ๑ นะ พวกเห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ พวกนี้จะพลิกไปสู่การเกิดมรรคผล พวกที่สองนะ เกิดความกรุณาสงสารสัตว์โลก จิตจะพลิกไปสู่ความเป็นพระโพธิสัตว์ มีพลิกไปได้สองทาง แล้วพวกที่เป็นโพธิสัตว์ที่เข้ามาถึงตรงนี้ได้ ถ้าไปเจอพระพุทธเจ้า อาจจะได้รับการพยากรณ์ ว่าอีก ๑๖ อสงไขย แสนมหากัปป์ข้างหน้าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง อีกนาน โลกแตกหลายรอบ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๒ หลังฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๑
Track: ๑๒
File: 520808B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๒ วินาทีที่ ๕๖ ถึง นาทีที่ ๑๕ วินาทีที่ ๒๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

หลักการเจริญสติปัฏฐาน (๑) มีสติ

mp 3 (for download) : หลักการเจริญสติปัฏฐาน (๑) มีสติ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: หลักของการเจริญสติปัฏฐาน การทำวิปัสสนากรรมฐานที่ถูกต้อง ถ้าสรุปง่ายๆ ภาษาไทยนะ “มีสติ รู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริง ที่กำลังปรากฏในปัจจุบัน ด้วยจิตที่ตั้งมั่น และเป็นกลาง” ยาวไปไหม ถ้ายาวไปนะ ก็ไปหาหนังสือ วิถีแห่งความรู้แจ้ง ๒ อ่านเอานะ เอาเวอร์ชั่น ๒ นะ เวอร์ชั่น ๑ ตอนเขียนความรู้ยังไม่แจ่มแจ้ง ไปอ่านตอนเวอร์ชั่น ๒ ให้มีสติรู้กายรู้ใจนะ รู้ตามความเป็นจริง รู้กายรู้ใจที่กำลังมีอยู่จริงๆ แล้วรู้มันตามที่มันเป็นจริงๆ รู้ด้วยใจที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง

ถ้าฝึกอย่างนี้ได้แล้วก็ไม่นาน ไม่นานนะจะรู้แจ้งในความเป็นจริงของกายของใจ ความจริงของกายของใจคือมันเป็นไตรลักษณ์ มันไม่เที่ยง มันเป็นของเป็นทุกข์ คือมันถูกบีบคั้น ถูกเสียดแทงตลอดเวลา อย่างร่างกายนี่ถูกเวทนาบีบคั้นตลอดเวลา นั่งอยู่ก็เมื่อย เดินก็เมื่อย นอนก็เมื่อย ใช่ไหม ทำอะไรก็ถูกบีบคั้น หายใจออกก็ทุกข์ หายใจเข้าก็ทุกข์ กินเข้าไปก็ทุกข์ ไม่กินก็ทุกข์นะ ขับถ่ายมากไปก็ทุกข์ ไม่ขับถ่ายก็ทุกข์อีก นี่มันถูกบีบคั้น ร่างกาย จิตใจก็ถูกกิเลสตัณหาบีบคั้นตลอดเวลา มันมีแต่ความทุกข์ทั้งนั้นเลย ในกายในใจ นี่ความจริงของเขา

ความจริงของเขาอีกอย่างหนึ่งคือ เขาไม่ใช่ตัวเรา ร่างกายเป็นแค่วัตถุ เป็นก้อนธาตุ ไม่ใช่ตัวเราที่แท้จริง ตอนนี้คนที่เรียนกับหลวงพ่อแล้วเห็นร่างกายไม่ใช่ตัวเราอย่างแท้จริงมีเยอะ แยะเลย มีเยอะแยะนับไม่ถูกแล้วนะ ถ้าแจกปริญญาคงแจกไม่ทันแล้ว ที่นี้ยังเห็นว่าจิตเป็นเราอยู่ ถ้าวันใดเห็นว่าจิตไม่ใช่เราอย่างแท้จริง จะเป็นพระโสดาบันวันนั้นล่ะ

ทีนี้ วิธีการนะ บอกแล้ว ให้มีสติรู้กายรู้ใจที่กำลังปรากฏ ตามความเป็นจริง มีสติรู้กาย รู้ใจ ไม่ใช่มีสติไปรู้อย่างอื่น สติ พูดมาทุกวันที่เจอหน้ากันว่า สติ คือความระลึกได้ สติไม่ได้แปลว่ากำหนด สติเป็นความระลึกได้ หลวงพ่อจะไม่ลงรายละเอียดเรื่องสติมากนัก สติเป็นความระลึกได้ สติเกิดจากถิรสัญญา คือจิตจำสภาวะได้แม่น จิตจำสภาวะได้แม่นถ้าเราหัดดูบ่อยๆ หัดรู้สึกบ่อยๆ ใจโกรธไปก็คอยรู้สึก ใจโลภก็คอยรู้สึก ใจฟุ้งซ่าน ใจหดหู่ คอยรู้สึกไปเรื่อยนะ รู้สึกไปเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งสติจะเกิด ตรงที่สติเกิดนี่ เวลาใจลอยไปนะ สติก็ระลึกได้เองว่า ใจลอยไปแล้ว เวลาโกรธขึ้นมา สติก็ระลึกได้ว่า โกรธไปแล้ว มันเป็นเอง หรือสติมันระลึกรู้ กำลังอาบน้ำถูสบู่อยู่นะ ระลึกปั๊บลงไป ระลึกถึงตัวรูป แต่เห็นเป็นท่อนๆ นะ เห็นเป็นท่อนๆ เป็นแท่งๆ เป็นแข็งๆ อ่อนๆ เป็นเย็นเป็นร้อน ไม่มีตัวมีตนอะไร


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ศาลากาญจนาภิเษก (ศาลาลุงชิน)
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๑

CD: ศาลาลุงชิน ครั้งที่ ๒๕
File: 511116
ระหว่างนาทีที่ ๑๓ วินาทีที่ ๓๘ ถึง นาทีที่ ๑๖ วินาทีที่ ๔๓

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สุขก็ได้ ทุกข์ก็ได้ เพราะสุขและทุกข์ต่างก็แสดงไตรลักษณ์เหมือนๆ กัน

mp 3 (for download) : สุขก็ได้ ทุกข์ก็ได้ เพราะสุขและทุกข์ต่างก็แสดงไตรลักษณ์เหมือนๆ กัน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

เอื้อเฟื้อภาพโดย ชมรมสารธรรมล้านนา

หลวงพ่อปราโมทย์ : งั้นจะเป็นพระโสดาฯก็ดี เป็นพระอรหันต์ก็ดี อยู่ที่การเจริญปัญญา มาเรียนรู้สภาวะที่เกิดดับ จะเป็นสภาวะของรูปธรรมก็ได้ สภาวะของนามธรรมก็ได้ เพราะทั้งรูปธรรมและนามธรรมก็แสดงสิ่งเดียวกัน จะเป็นสภาวะของความสุขก็ได้ จะเป็นสภาวะของความทุกข์ก็ได้ เพราะความสุขและความทุกข์ก็แสดงลักษณะอันเดียวกัน คือ แสดงสามัญลักษณะเหมือนๆกัน จะเป็นกุศลก็ได้ จะเป็นอกุศลก็ได้ เพราะกุศลและอกุศลก็แสดงไตรลักษณ์เหมือนกัน สามัญลักษณะเหมือนกัน

ใจมันจะเกิดความเป็นกลางขึ้น มันจะเห็นเลย สุขก็เท่านั้นแหละ ทุกข์ก็เท่านั้นแหละ กุศลก็เท่านั้นแหละ อกุศลก็เท่านั้นแหละ ร่างกายนี้ก็เท่านั้นแหละ ใจจะหมดความยินดี หมดความยินร้าย ถ้าจิตเราไม่ได้ฝึกสติปัญญาให้พอนะ มีความสุขขึ้นมาก็ยินดี มีความทุกข์ขึ้นมาก็ยินร้าย มีกุศลขึ้นมาก็ยินดี มีอกุศลขึ้นมาก็ยินร้าย

แต่ถ้าเห็นว่าความสุขก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ก็หมดความยินดีในความสุข เห็นความทุกข์ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ก็หมดความยินร้ายในความทุกข์ เห็นกุศลไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา นะ ก็หมดความยินดีในกุศล เห็นอกุศลไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา หมดความยินร้ายในอกุศล จิตเข้าไปสู่ความเป็นกลาง กลางระหว่างสุขกับทุกข์ กลางระหว่างกุศลกับอกุศล

แต่เราจะทำชั่วไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ บางคนได้ยินแค่นี้ก็คิดเอาเอง เมื่อมันเป็นกลางแล้วดีกับชั่วเท่าเทียมกัน ก็ทำชั่วได้ ที่จริงทำชั่วไม่ได้มาตั้งแต่ต้นแล้ว เพราะเราฝึกมา มีศีลมาก่อน เรามีศีลมาก่อนแล้ว เรามีสมาธิชนิดมีจิตตั้งมั่น แค่จิตมีสมาธิมันก็ข่มกิเลสยับเยินไปแล้ว นะ จนมาเห็น มีปัญญาแล้วเห็นทุกสิ่งทุกอย่างไร้สาระ คนเรามีกิเลส กิเลสย้อมตัวเองได้ ฮึ..มันมีตัวมีตนนะ มันยึดถือในตัวในตน ตัวตนไม่มี กิเลสจะไปย้อมแมวที่ไหน


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๑๒ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๔
File: 550212A
ระหว่างนาทีที่ ๑๕ วินาทีที่  ๑๓ ถึง นาทีที่ ๑๗ วินาทีที่ ๒๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ดูกิเลสเหมือนคนเดินผ่านหน้าบ้าน

mp 3 (for download) : ดูกิเลสเหมือนคนเดินผ่านหน้าบ้าน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าใจตั้งมั่นขึ้นมาแล้วสติระลึกรู้กาย จะเห็นทันทีว่ากายนี้มันไม่ใช่ตัวเรา จะเห็นทันทีว่าเวทนา คือความรู้สึกสุขทุกข์ทั้งหลาย ไม่ใช่ตัวเรา จะเห็นทันทีนะ ว่าสังขารทั้งหลายที่เป็นกุศลหรืออกุศลทั้งหลาย ก็ไม่ใช่ตัวเรา

ความโลภ ความโกรธ ความหลงเนี่ย มันเดินมาเหมือนคนเดินผ่านหน้าบ้าน ไม่เข้าบ้านนะเดินผ่านหน้าบ้าน ส่วนพวกเราเนี่ยพอเห็นมันเดินผ่านหน้าบ้าน เราจะกระโดดเข้าไป ไปไล่มัน มันเดินผ่านหน้าบ้าน เค้าไม่ยอม เนี่ยพวกคนรักดี ส่วนพวกคนรักชั่วรีบเปิดประตูเชิญเข้าบ้าน นี่พวกรักชั่ว ส่วนพวกที่ภาวนาเป็นนะ ดูเฉยๆ ไม่เปิดประตูให้เค้าเข้ามา แล้วก็ไม่วิ่งตามเค้าไป เห็นกิเลสมาแล้วก็ผ่านไปเฉยๆ มาแล้วก็ไป มาแล้วก็ไป พวกรักชั่วนะจะเปิดประตูให้กิเลสเข้าบ้าน ให้มันครอบครองหัวใจเรา พวกรักดีเห็นกิเลสนะวิ่งออกไปไล่ตีมัน เสร็จแล้วก็จะซมซานกลับมา ไม่มีใครสู้มันไหวหรอก

เพราะกิเลสน่ะเป็นเจ้าโลกที่แท้จริง ไม่ใช่ประธานาธิบดีอเมริกันหรอก ตัวเจ้าโลกที่แท้จริงก็คือกิเลสนั่นแหล่ะ มันสั่งประธานาธิบดีก็ได้นะ

เนี่ยเราคอยรู้สึกนะ รู้ไปๆนะ ด้วยใจที่เป็นกลาง ใจที่ไม่ไปต่อต้าน ใจที่ไม่ได้คล้อยตามกิเลส ไม่ต่อต้านด้วยและก็ไม่คล้อยตาม รู้เฉยๆ หรือรู้กายก็รู้เฉยๆนะ อย่าถลำไปเพ่งกาย อะไรเกิดขึ้นในกายคอยรู้สึก อะไรเกิดขึ้นในจิตใจคอยรู้สึก รู้สึกด้วยจิตที่ตั้งมั่น สบายๆ จิตที่ไม่คล้อยตาม จิตที่ไม่ต่อต้าน

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
เมื่อ วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๗
Track: ๔
File: 511023
ระหว่างนาทีที่ ๒๕ วินาทีที่ ๓๓ ถึง นาทีที่ ๒๗ วินาทีที่ ๑๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การปฏิบัติเหมือนชาวนาปลูกข้าว ถึงเวลาข้าวก็ออกรวงเอง

mp 3 (for download) : การปฏิบัติเหมือนชาวนาปลูกข้าว ถึงเวลาข้าวก็ออกรวงเอง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : งั้นรู้สึกตัวไปเรื่อยๆ รู้สึกแล้วก็รู้กาย รู้สึกแล้วก็รู้จิตใจ รู้สึกไปเรื่อยๆ มันจะสะสมแต้มไปเรื่อยๆ ถึงวันหนึ่งมันอิ่ม มันเต็ม มันพอนะ มันจะตัดสินความรู้ของมันเอง เราไม่ต้องทำอะไร เราไม่ต้องดิ้นรน เราไม่ต้องพยายามที่จะบรรลุมรรคผลนิพพาน จิตเขาจะบรรลุของเขาเอง

แต่เดิมหลวงพ่อก็พูดอย่างนี้นะ ว่าไม่มีใครทำจิตให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้ จิตมันเป็นเอง มันจะบรรลุเอง เราพูดแบบเซ่อๆไป พูดมาจากประสบการณ์ภาวนา ไม่เห็นมีใครจะสั่งจิตได้สักคนหนึ่ง ตอนหลังครูบาอ๊าไปเจอในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าสอนเหมือนกัน

ท่านสอนบอกว่า ผู้ปฏิบัติน่ะที่ต้องการมรรคผลนิพพานเนี่ยนะ ไม่มีใครทำมรรคผลนิพพานให้เกิดได้หรอก แต่ว่ามีหน้าที่เจริญศีลสิกขา เจริญจิตตสิกขา เจริญปัญญาสิกขา เรื่อยๆไป เมื่ออินทรีย์แก่กล้าเพียงพอแล้วนะ มรรคผลนิพพาน จะเกิดขึ้นเอง จิตจะบรรลุมรรคผลนิพพานเอง

งั้นพวกเราเจริญไปนะ รักษาศีลไว้ มีสติขึ้นมาก็มีศีล มีสติขึ้นมาก็มีสัมมาสมาธิ จิตตั้งมั่นขึ้นมา มีสติก็มีปัญญาเห็นความจริงของกายของใจ เพราะฉะนั้นรู้สึกตัวนะ มีสติรู้กายรู้ใจเรื่อยๆไป ถึงวันหนึ่งจะเกิดมรรคผลเอง

ท่านเปรียบเทียบเหมือนชาวนา ชาวนาไม่สามารถสั่งต้นข้าวให้ออกรวงข้าว ไม่สามารถทำให้รวงข้าวมีเมล็ดเต็มได้ ชาวนาสั่งต้นข้าวไม่ได้ แต่ชาวนาทำเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยให้ต้นข้าวออกรวงได้ ชาวนาไปไถนา ไปหว่านข้าว เอาน้ำเข้านา น้ำมากไปเอา(น้ำ)ออกจากนา คอยดูแลรักษาต้นข้าว ต้นข้าวก็ออกรวงเอง

พวกเรามีสติ มีสัมมาสมาธิ มีปัญญานะ อบรมดูแลจิตของเรา วันหนึ่งจิตออกมรรคออกผลเอง

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันจันทร์ที่ ๑๙ พฤษภายน พ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๕
Track: ๑๓
File: 510519
ระหว่างนาทีที่ ๒๖ วินาทีที่ ๑๘ ถึง นาทีที่ ๒๘ วินาทีที่ ๑๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางสายกลางของจิต

mp 3 (for download) : ทางสายกลางของจิต

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : สมาธิที่จิตตั้งมั่นเด่นดวงอยู่ที่จิตนั้นแหละ เป็นสมาธิที่สำคัญ แต่เราต้องไม่บังคับมัน ไม่บังคับให้มันตั้งอยู่ที่จิตนะ เอาแค่ว่ารู้ทันว่ามันไหล แล้วมันจะกลับมาพอดีๆ ถ้าเราจงใจให้มันไปตั้งอยู่ที่จิต มันจะตึงเครียดเกินไป

พระโพธิสัตว์ได้ยินพระอินทร์ดีดพิณ ๓ สายนะ ในตำราว่าอย่างนั้น สายที่ ๑ ตึงเกินไป สายพิณก็ขาด สายที่ ๒ นั้นหย่อนไป หย่อนเกินไป ไม่ไพเราะ สายที่ ๓ นี่พอดี ดีดแล้วไพเราะ มันก็คือการดำเนินของจิตนั่นแหละ

จิตที่หย่อนเกินไป ก็คือจิตที่ไหลไปหาอารมณ์ ไปเพลินอยู่กับอารมณ์ ยกตัวอย่างกระทั่งเรานั่งสมาธินะ แล้วจิตเคลิ้มเพลินกับอารมณ์ อันนั้นย่อหย่อนเกินไป ตามใจกิเลสแล้ว เวลาจิตไหลไปเพลินอยู่กับอารมณ์อันเดียวนะ มันมีความสุข มีความเพลินดเพลิน มีความพอใจ มีราคะเกิดขึ้น ถ้าเราไม่เห็นอะไรจะติดอยู่กับสมาธิอย่างนั้นน่ะ เมื่อไรที่สมาธิเสื่อมนะจะอารมณ์ร้ายกว่าคนปกติ เพราะว่ามันสงบมันสบายมานาน พอมันเคลื่อนออกมากระทบโลกข้างนอก มันทนไม่ไหวเลย มันร้อนแทบจะระเบิดเลย นี่อย่างนี้เรียกว่าหย่อนไปนะ มันไหลออกนอกไป เพลิดเพลินไป ตามใจกิเลสไป

ส่วนสายพิณที่ว่าตึงเกินไป ก็คือบังคับกายบังคับใจตัวเอง ยกตัวอย่างพวกเราจะนั่งสมาธิเนี่ย ส่วนมากชอบนั่งบังคับตัวเอง บังคับไม่ให้จิตคิด ไม่ให้จิตนึก ไม่ให้จิตปรุง ไม่ให้จิตแต่ง ไม่ให้จิตเคลื่อน จะรักษาจิตให้นิ่งให้ว่างอยู่ตลอดเวลา อันนั้นตึงเกินไปนะ

เราต้องพอดีๆเอาแค่ว่าจิตเคลื่อนแล้วรู้ทัน จิตเคลื่อนแล้วรู้ทัน มันจะเกิดสมาธิที่พอดีๆ สมาธิที่พอดีเนี่ยนะ สภาวะของจิตเนี่ยมันจะตั้งมั่น รู้เนื้อรู้ตัว จิตจะเบา จิตจะอ่อนโยน นุ่มนวล จิตจะคล่องแคล่วว่องไวในการเจริญปัญญา ไม่หนัก ไม่แน่น ไม่แข็ง ไม่ซึม ไม่ทื่อ จิตจะรู้สภาวธรรมทั้งหลาย ทั้งรูปธรรมนามธรรมอย่างที่มันเป็นโดยไม่เข้าไปแทรกแซง นั่นแหละคือสภาวะที่มันเป็นทางสายกลางจริงๆของจิต

คำว่าทางสายกลาง ทางสายกลาง ไม่ใช่ทางข้างนอกที่ร่างกายดำเนินไป แต่มันคือทางที่จิตดำเนินไป
จิตต้องไม่หย่อนเกินไป ถ้าจิตหย่อนเกินไป จิตก็ไหลตามกิเลส หลงไปหาอารมณ์ทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายทางใจ จิตต้องไม่ตึงเกินไป ถ้าจิตตึงเกินไปก็บังคับกายบังคับใจ เช่นบังคับจะต้องนั่งไม่กระดุกกระดิกเลยนะ บังคับมากๆอะไรอย่างนี้นะ หวังว่าไม่กระดุกกระดิกได้แล้วจะดี ไม่กินได้แล้วจะดี ไม่นอนได้แล้วจะดี อันนี้บังคับกายมากไป บังคับจิตมากไปก็จะบังคับไม่ให้จิตคิด ไม่ให้จิตนึก ไม่ให้จิตปรุง ไม่ให้จิตแต่ง ไม่ให้จิตเคลื่อน ถ้าคิดจะห้ามไม่ให้จิตเคลื่อนไปเลย ตึงเกินไป เพราะฉะนั้นเราไม่ห้ามนะ จิตจะเคลื่อนก็ได้ แต่เคลื่อนแล้วเรามีสติรู้ทัน

ห็นมั้ยว่าถ้าเราไม่รู้ทันก็หย่อนไป ถ้าเราบังคับไม่ให้เคลื่อนก็ตึงไป แต่ถ้ามันเคลื่อนแล้วเรามีสติรู้ทัน ตรงนี้แหละกลางๆ พอดีๆ จิตจะตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมานะ รู้เนื้อรู้ตัว เมื่อจิตตั้งมั่นเด่นดวงรู้เนื้อรู้ตัวได้แล้วเนี่ย มันจะตั้งอยู่กับจิต จิตเคลื่อนนิดเดียวก็เห็น จิตเคลื่อนนิดเดียวก็เห็น สภาวะมันจะคล้ายๆอย่างนี้นะ สมมุตินิ้วนี้ นิ้วชี้อันนี้ เหมือนเป็นจิตนะ เนี่ยจิตมันจ่อนะ พอมันเคลื่อนนะ เคลื่อนนิดเดียว สติมันเห็น มันเหมือนตั้งบนปลายเข็มนิดเดียว จิตขยับตัวกริ๊กเดียวนะ หลุดออกจากความรู้สึกตัว หลุดออกจากฐานนะ จะเห็นละ มันจะกลับมาตั้งของมันเอง แต่ถ้าบังคับนะ ไม่ให้ไปไหนเลย จับไว้ให้แน่นนะ ตึงเกินไป ถ้าหนีไปแล้วไม่รู้ หย่อนเกินไป


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ศาลากาญจนาภิเษก (ศาลาลุงชิน)
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๕

CD: ศาลาลุงชิน ครั้งที่ ๕๓
File: 550916
ระหว่างนาทีที่ ๒๐ วินาทีที่ ๕ ถึง นาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๕๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ความเป็นกลางเกิดขึ้นได้หลายแบบ

mp 3 (for download) : ความเป็นกลางเกิดขึ้นได้หลายแบบ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ตาหูจมูกลิ้นกายใจกระทบอารมณ์ ก็เกิดสุขเกิดทุกข์ เกิดกุศลอกุศลขึ้นได้

นี้พอมันมีสุขมีทุกข์ มีกุศลอกุศลแล้ว ถ้าจิตยินดีให้รู้ทัน ถ้าจิตยินร้ายให้รู้ทัน ความยินดียินร้ายจะดับไป เพราะอำนาจของสติ

ความยินดียินร้ายดับไปด้วยอำนาจของสมาธิก็ได้ เช่นเราเห็นผู้หญิงสวย ใจมันชอบ เราก็ไปพิจารณาให้เป็นปฏิกูลเป็นอสุภะ พิจารณามรณสติ อันนี้ใช้สมาธิเอา ใช้สมถะ ความยินดีในรูปของผู้หญิงนั้นก็หายไป

เพราะงั้นตัวเป็นกลางเนี่ยเกิดขึ้นได้หลายแบบนะ เกิดเพราะสติรู้ทันความยินดี ยินร้ายก็ได้ เกิดเพราะอาศัยสมาธิพิจารณา อย่างเวลาโกรธเกิดขึ้น ก็เจริญเมตตาไป ทำสิ่งตรงข้าม มันโกรธมันไม่เป็นมิตร ก็มาเจริญเมตตา คือความเป็นมิตร คำว่าเมตตากับคำว่ามิตรนะคำเดียวกันแหล่ะ คำว่าไมตรี เมตตา มิตร คำว่าเมตไตร พระศรีอาริยเมตไตร พอเราเจริญเมตตาไปแล้วนะ โทสะก็หาย ใจก็ค่อยเป็นกลาง ไม่ฟุ้งไปด้วยอำนาจโทสะ ไปแก้กันเป็นคราวๆไป อันนี้เป็นกลางเพราะสมาธิก็ยังไม่ใช่วิธีการ ไม่ใช่เป้าหมายที่เราต้องการ

สิ่งที่เราต้องการนั้นคือเป็นกลางด้วยปัญญา เราก็ฝึกจนเป็นกลางด้วยปัญญา ตอนแรกเลยถ้ามีสติรู้ทันความยินดียินร้าย ความยินดียินร้ายดับไป ก็โอเคแล้ว ใช้ได้ รู้สภาวะต่อไป ถ้าไปรู้สภาวะแล้วมันยังไม่หาย ยังยินดียินร้ายไม่หาย ทำความสงบทำสมถะ มันก็หายเหมือนกัน มีเครื่องมือหลายตัว

แต่การที่เราคอยเห็นความยินดียินร้ายเกิดขึ้นเนืองๆ เห็นความสุขความทุกข์เกิดขึ้นเนืองๆ เห็นกุศลอกุศลเกิดขึ้นเนืองๆนี้ ถึงจุดหนึ่งจิตจะเริ่มฉลาด จิตจะเริ่มเห็นความจริง ว่าความสุขก็เป็นของชั่วคราว ความทุกข์ก็เป็นของชั่วคราว กุศลก็เป็นของชั่วคราว อกุศลก็เป็นของชั่วคราว ความยินดีก็เป็นของชั่วคราว ความยินร้ายก็เป็นของชั่วคราว

การที่จิตได้เห็นสภาวะทั้งหลาย เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับเนืองๆ เช่นความสุขเกิดแล้วดับ ความทุกข์เกิดแล้วดับ กุศลอกุศลเกิดแล้วดับ ความยินดียินร้ายเกิดแล้วดับ เห็นเนืองๆ ในที่สุดจิตจะสรุปได้ จิตจะเกิดปัญญาปิ๊งขึ้นมา จิตมันรู้ขึ้นมา ว่าความสุขก็ชั่วคราว ความทุกข์ก็ชั่วคราว กุศลอกุศลนะ ความยินดียินร้ายทั้งหลายนี้ เป็นแค่ของชั่วคราวทั้งหมดเลย พอจิตมันรู้ความจริงอย่างนี้ มันจะเกิดความเป็นกลาง พ้นจากความยินดียินร้ายด้วยปัญญา

ปัญญานั้นน่ะไปเห็น ความเป็นไตรลักษณ์ของรูปนาม ถ้าเราดูจิตดูใจ เราก็จะเห็นเลย ความสุขความทุกข์ กุศลอกุศล ความยินดีความยินร้ายทั้งหลายเนี่ย เป็นของชั่วคราว เกิดแล้วดับทั้งสิ้น แล้วบังคับไม่ได้สั่งไม่ได้ เช่นสั่งให้มีความสุข สั่งไม่ได้ ความสุขจงเกิด นี่ ความสุขไม่เกิดหรอก ความสุขที่เกิดแล้วจงอยู่นิรันดร มันไม่อยู่หรอก ความทุกข์อยากเกิด มันก็จะเกิด ความทุกข์ที่เกิดแล้วจงหายไปเร็วๆ ก็ไม่หายหรอก ไม่เป็นในอำนาจ ไม่อยู่ในอำนาจ เป็นอนัตตา

การที่เราเห็นสภาวะเนืองๆนะว่ามันไม่เที่ยงบ้าง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาบ้าง จิตมันจะค่อยๆยอมรับความจริง (ว่า)เอ้อ มันเป็นของมันอย่างนี้แหล่ะ มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ บังคับไม่ได้ ไม่เป็นไปตามใจปรารถนา พอจิตมีปัญญาอย่างนี้ จิตจะเป็นกลางเพราะปัญญา


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๓
Track: ๒๒
File: 550204.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๘ วินาทีที่ ๓๒ ถึง นาทีที่ ๑๒ วินาทีที่ ๔๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สังขารุเปกขาญาณ เป็นประตูสู่มรรคผล

mp 3 (for download) : สังขารุเปกขาญาณ เป็นประตูสู่มรรคผล

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์  : การที่เราแต่ละคนๆนะ จะบรรลุพระโสดาบัน บรรลุพระสกทาคามีอนาคามี บรรลุพระอรหันต์เนี่ย ก็เดินอยู่ในร่องรอยอันเดียวกันทั้งหมดเลย เราต้องมาเห็นความเป็นจริงของรูปของนาม เห็นซ้ำแล้วซ้ำอีกนะ จนจิตมันเป็นกลาง จิตมันเป็นกลางแล้ว ถึงจะมีโอกาสเกิดอริยมรรค

ความเป็นกลางต่อสังขารนี่นะ ความเป็นกลางต่อความปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวงนี้แหล่ะ คือประตูแห่งการบรรลุมรรคผล ถ้าเรายังภาวนาไม่สามารถเข้ามาสู่ความเป็นกลาง ต่อรูปนาม ต่อความปรุงแต่ง ได้ด้วยปัญญา ยังไกลกับมรรคผลอยู่ อย่างถ้าเราเป็นกลางด้วยสติ เป็นกลางด้วยสมาธิ ยังไกลต่อมรรคผลอยู่ แต่ถ้าเราอบรมปัญญามากพอนะ มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลางมากเข้่าๆนะ ตรง(ที่)ตั้งมั่นและเป็นกลางเนี่ย เป็นกลางด้วยสมาธิ (เป็น)กลางด้วยสติด้วยสมาธิ ในที่สุดจิตจะเกิดปัญญา เห็นว่าทุกอย่างเนี่ย เป็นของชั่วคราว เท่าๆกันหมดเลย ตรงนี้จะเป็นกลางด้วยปัญญา

เมื่อมันเป็นกลางด้วยปัญญา จิตจะหมดความดิ้นรน หมดความปรุงแต่ง หมดการแสวงหา หมดกิริยาอาการทั้งหลาย จิตชนิดนี้แหล่ะพร้อมที่จะสัมผัสกับพระนิพพาน บางคนจิตจะรวมเข้าอัปปนาสมาธิ แล้วผ่านกระบวนการแห่งอริยมรรค แต่บางคนมาถึงสังขารุเปกขา(ญาณ)แล้วนะ จิตถอยออกมาอีก เสื่อมไปเลยก็ได้ บางคนไปอยู่ตรงนี้นะ แล้วปรารถนาพุทธภูมิก็ได้ เป็นทางแยกไปพุทธภูมิ

เพราะงั้นจะเป็นพระโพธิสัตว์ หรือจะเป็นพระอริยสงฆ์เป็นสาวกธรรมดา ก็ต้องฝึกจนกระทั่งได้สังขารุเปกขาญาณ ถ้าไม่มีสังขารุเปกขาฯเนี่ย พระโพธิสัตว์ก็อยู่ไม่รอดหรอก เดี๋ยวเจอความทุกข์เข้าก็ถอย ไม่เป็นกลางกับความทุกข์

งั้นพวกเราทุกคนนะ รู้เป้าหมายของเรา เราจะต้องพัฒนาจิตใจของตนเอง จนวันหนึ่งมันเป็นกลางต่อความปรุงแต่งทั้งปวง เช่นเป็นกลางต่อความสุขความทุกข์ เป็นกลางต่อกุศลอกุศล เป็นกลางต่อความยินดียินร้ายทั้งหลาย จะเป็นกลางได้นะ อาศัยมีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง รู้ด้วยจิตที่ตั้งมั่น รู้ด้วยจิตที่เป็นกลาง เป็นกลางตัวนี้กลางด้วยสติด้วยสมาธิไปก่อน แล้วสุดท้ายมันจะกลางด้วยปัญญา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๓
Track: ๒๒
File: 550204.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๑ วินาทีที่ ๑๙ ถึง นาทีที่ ๒๔ วินาทีที่ ๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางบรรลุธรรม (๘) เมื่อปล่อยวางจิต จิตจะทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้ ถึงโคตรภูญาณ แล้วอริยมรรคก็จะเกิดขึ้น

mp3 for download :ทางบรรลุธรรม (๘) เมื่อปล่อยวางจิต จิตจะทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้ ถึงโคตรภูญาณ แล้วอริยมรรคก็จะเกิดขึ้น

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทางบรรลุธรรม (๘) เมื่อปล่อยวางจิต จิตจะทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้ ถึงโคตรภูญาณ แล้วอริยมรรคก็จะเกิดขึ้น

ทางบรรลุธรรม (๘) เมื่อปล่อยวางจิต จิตจะทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้ ถึงโคตรภูญาณ แล้วอริยมรรคก็จะเกิดขึ้น

หลวงพ่อปราโมทย์ : พอจิตเข้าฌานแล้วคราวนี้ สติระลึกรู้อยู่ที่จิตนะ ไม่ได้เจตนาระลึก มันรู้เองเพราะมันไม่แส่ส่ายไปที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่แส่ส่ายไปในความคิด ก็หยุดตรงที่จิตดวงเดียว สติหยั่งลงที่จิต จิตตั้งมั่นอยู่ที่จิต เพราะฉะนั้นสมาธิเนี่ยเต็มสมบูรณ์แล้ว ตั้งมั่นอยู่ที่จิต สติสมบูรณ์แล้ว ระลึกอยู่ที่จิต ปัญญาสมบูรณ์แล้ว เห็นความเป็นจริงทุกสิ่งทุกอย่างที่เคลื่อนไหวอยู่ในจิต

ตรงนี้แหละ จิตจะไหวตัวขึ้นมา สองสามขณะ คือปรุงขึ้นมานะ แต่ไม่รู้ว่าคิดอะไร ไม่รู้ว่าปรุงอะไร มีความปรุงแต่งเกิดขึ้นแต่ไม่รู้ว่าปรุงอะไร จะเห็นว่าสิ่งบางสิ่งเกิดขึ้น แล้วสิ่งนั้นดับไป จะเห็นอย่างนี้เอง เห็นเอง

ถัดจากนั้นจิตจะรู้เลย มันไม่มีสาระนะ จิตมันจืดนะ มันไม่เอาอีกแล้ว ก็แค่เห็นความปรุงภายในจิตเกิดขึ้น พอเห็นความปรุงภายในจิตผุดขึ้น 2 – 3 ขณะ นะ ความเป็นกลางอย่างแท้จริงเลย รู้อย่างเป็นกลางอย่างแท้จริง ไม่ปรุงต่อนะ จิตจะวาง พอมันวางแล้วมันจะทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้ วางจิตแล้วทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้ ธาตุรู้ก็จิตนั่นแหละ แต่เป็นจิตอีกอย่างหนึ่ง จิตดวงเก่าดับไป จิตที่อยู่ในภพภูมิต่างๆดับไป จะทวนกระแสเข้าหาจิตที่อยู่เหนือภพเหนือภูมิ ทวนกระแสเข้ามา

ขณะที่มันปล่อยวางจิตดวงเดิมนะ แล้วก็ทวนเข้ามาแต่ยังไม่ถึงธาตุรู้ คาบลูกคาบดอก ยังเกาะอยู่ในขันธ์ แล้วก็ไม่ได้เกาะขันธ์แล้ว คือ ไม่ได้เกาะอยู่ที่จิต แต่ก็ยังเข้ามาไม่ถึงตัวธาตุรู้ ไม่ถึงอมตธาตุอมตธรรม ไม่ถึงพระนิพพาน ธาตุรู้ไม่ใช่พระนิพพานนะ แต่ธาตุรู้ไปเห็นพระนิพพาน นี้ต้องแยกให้ออก มันยังทวนเข้ามาไม่ถึงธาตุรู้ ไม่ใช่ปุถุชน ไม่ใช่พระอริยะ ทำไมไม่ใช่ปุถุชน เพราะมันปล่อยขันธ์แล้ว ขันธ์สุดท้ายที่มันปล่อยก็คือจิตนะ ไม่ใช่พระอริยะเพราะยังไม่เข้ามาถึงธาตุรู้ ไม่เข้าถึงพระนิพพาน ตัวธาตุรู้นั้นแหละเป็นตัวไปเห็นพระนิพพาน ตรงนี้เรียกว่า โคตรภูญาณ ญาณข้ามโคตร มีปัญญาข้ามโคตร

ข้ามโคตร ข้ามจากโคตรไหนไปสู่โคตรไหน จากโคตรของปุถุชนมาสู่โคตรของอริยชน เพราะฉะนั้นบรรลุมรรคผลแล้วนะ เปลี่ยนโคตรนะ อันนี้ข้ามจากสกุลของปุถุชนนะ ข้ามมาสู่อริยวงศ์ อริยโคตร เรียกว่า ญาณข้ามโคตร ไม่ใช่ปุถุชนนะ กำลังข้ามอยู่ ไม่ใช่พระอริยะ มีอยู่ขณะจิตเดียวแหละ ที่คาบลูกคาบดอกประหลาดอยู่อย่างนี้นะ ข้ามเข้ามา ทวนเข้ามาถึงจิตแท้ ถึงธาตุ วิญญาณธาตุ ธาตุรู้แท้ๆแล้ว ธรรมธาตุ ตัวนี้แหละ อริยมรรคก็จะเกิดขึ้น

540805.15m49-18m48

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
วันศุกร์ที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๔ ก่อนฉันเช้า

CD: 41
File (ประเทศไทย): 540805.mp3
File (สหรัฐอเมริกาและยุโรป): 540805.mp3

นาทีที่ ๑๕ วินาทีที่ ๔๙ ถึง นาทีที่ ๑๘ วินาทีที่ ๔๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

V-Clip : ความเป็นกลางของจิต

ความเป็นกลางของจิต

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๗) สรุปอานาปานสติ กรรมฐานสำหรับมหาบุรุษ

mp3 for dowload : อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๗) สรุปอานาปานสติ กรรมฐานสำหรับมหาบุรุษ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๗) สรุปอานาปานสติ กรรมฐานสำหรับมหาบุรุษ

อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๗) สรุปอานาปานสติ กรรมฐานสำหรับมหาบุรุษ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ทำอานาปานสตินะ คลุมสติปัฏฐาน ๔ ได้ด้วย ไม่มีกรรมฐานอะไรเหมือนเลยนะ ตั้งแต่โหลยโท่ย ไม่มีสติเลย หรือทำจนเครียดสติแตกไปเลยนะ ก็เป็นไปได้ ทำอานาปานสติแล้วก็พลิกไปทางกสิณ เล่นอภิญญาก็ได้ ทำแล้วเข้าฌานเพื่อพักผ่อน ออกจากฌานมา มาเดินปัญญา ดูกายก็ได้ ดูจิตก็ได้ ทำแล้วเข้าอัปปนาสมาธิ เข้าฌาน เจริญปัญญาอยู่ในฌานเลยก็ได้ ทำแล้วเข้าฌานไม่ได้ เห็นร่างกายหายใจ-ใจเป็นคนดูอยู่ เห็นร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวเรา นี่เดินปัญญานะ ใช้ปัญญานำสมาธิก็ได้ ไปดูจิตดูใจ หายใจไป จิตเป็นอย่างนั้นจิตเป็นอย่างนี้รู้ทัน นี่เดินปัญญาดูจิต เดินปัญญาดูกาย เดินปัญญาดูจิต แจกแจงให้ครบก็คือ การทำสติปัฏฐาน ๔ ครบทั้งหมดเลย

เห็นกายมันหายใจ ใจเป็นคนดูอยู่ เห็นกายไม่ใช่เรา เป็นกายานุปัสสนา

หายใจไปมีความสุข หายใจไปความสุขหายไป หายใจไปแล้วมีความทุกข์ หายใจแล้วความทุกข์หายไป หายใจแล้วมีอุเบกขา แล้วอุเบกขาหายไป อันนี้เป็นเวทนานุปัสสนา

หายใจแล้วฟุ้งซ่าน รู้ว่าฟุ้งซ่าน หายใจแล้วสงบ รู้ว่าสงบ หายใจไปแล้วจิตรวม เป็นมหัคคตะ หายใจแล้วจิตไม่รวม อย่างนี้เป็นจิตตานุปัสสนา

หายใจแล้วเห็นขันธ์กระจายตัวออกไป แต่ละขันธ์ทำงานของขันธ์ เป็นขันธบรรพ ในธัมมานุปัสสนา

หายใจไปแล้วโพชฌงค์เกิดขึ้น มีสติรู้ลมหายใจ มีความเพียรที่จะรู้ลมหายใจ มีฉันทะ หายใจแล้วสบายใจ วิริยะมันก็เกิด มีความเพียร ตามรู้ตามเห็นในตัวที่หายใจอยู่ ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เรียกว่า ธัมมวิจยะ มีปีติขึ้นมา อันนี้ไม่ใช่ปีติในฌาน เป็นปีติเพราะมีปัญญา มีปีติแล้ว สติรู้ทันปีติ หายใจไปมีปีติ รู้ทัน ปีติดับ สงบเข้ามาเป็น ปัสสัทธิ แล้วเป็นสมาธิ จิตตั้งมั่น จิตเป็นอุเบกขา เห็นจิตมันเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงไป เป็นลำดับ ตามหลักของโพชฌงค์ อันนี้ก็อยู่ในธัมมานุปัสสนา

หายใจไปแล้วมีนิวรณ์ขึ้นมา รู้เท่าทันนิวรณ์นั้น นิวรณ์เกิดแล้วดับไป เป็นนิวรณบรรพ อยู่ในธัมมานุปัสสนา

หายใจแล้วเห็นอริยสัจ ก็อยู่ในธัมมานุปัสสนา

หายใจแล้วมีความสุข มีความสุขแล้วตัณหาเกิด อยากได้ อยากมี อยากเป็น หายใจแล้วมีความทุกข์ ตัณหาก็เกิดอยากให้มันหายไป อยากให้ความทุกข์หายไป มีตัณหาขึ้นมาจิตใจก็มีความทุกข์ขึ้นมา เห็นปฏิจจสมุทปบาท (อยู่ในธัมมานุปัสสนา – ผู้ถอด)

ฉะนั้น หลวงพ่อไม่เห็นกรรมฐานใดอัศจรรย์เหมือนอานาปานสติ ลึกล้ำจนถึงขนาดยอมรับเต็มปากเต็มคำ เต็มหัวใจเลย มันเป็นกรรมฐานของพระมหาบุรุษ ไม่ใช่กรรมฐานของคนทั่วๆไปจะเล่นได้ชำนิชำนาญ

541106B.14m43-18m17

ขอขอบคุณพี่ maibok @wimutti.net สำหรับเนื้อหาของ clip ช่วงนี้

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
วันอาทิตย์ที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ หลังฉันเช้า

CD: 42
File: 541106B.mp3
นาทีที่ ๑๔ วินาทีที่ ๔๓ ถึง นาทีที่ ๑๘ วินาทีที่ ๑๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

รู้สภาวะแล้ว จิตยินดียินร้ายให้รู้ทันอีก

mp 3 (for download) : รู้สภาวะแล้ว จิตยินดียินร้ายให้รู้ทันอีก

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : คอยดูใจของเรานะเวลามันรู้สภาวะขึ้นมา เช่นมันเห็นความสุขเกิดขึ้นมา มันหลงยินดีให้รู้ทัน มันเกิดความทุกข์ขึ้นมา มันหลงยินร้ายให้รู้ทัน หรือภาวนาเจริญสตินะ สติเกิดถี่ยิบเลย พอใจรู้ทัน ช่วงนี้สติไม่เกิดเลยสติแตก เสื่อมไปกรรมฐานเสื่อม เสียใจกลุ่มใจทุรนทุราย รู้ทันลงไปว่าไม่พอใจอยู่ เนี่ย ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นนะรู้ลงไปที่ใจของเรา

เบื้องต้นแค่เห็นสภาวะก่อน เช่นร่างกายเคลื่อนไหวรู้สึก จิตใจเคลื่อนไหวรู้สึก โลภโกรธหลงเกิดขึ้นก็รู้อะไรรู้ ถ้ารู้แล้วนะต่อไปก็ลึกซึ้งขึ้นมาอีก สังเกตเข้ามาถึงจิตถึงใจ มันจะเข้ามาสังเกตได้เองแหล่ะ อย่าจงใจสังเกตนะ มันจะเห็นความยินดียินร้ายที่เกิดขึ้น

งั้นเบื้องต้นรู้สภาวะนะ ถัดมาก็รู้ความยินดียินร้ายต่อสภาวะนั้น เมื่อเรารู้ความยินดียินร้ายต่อสภาวะนั้น ความยินดียินร้ายจะดับไป ใจก็เป็นกลางขึ้นชั่วขณะ ก็ไปรู้สภาวะอีก ก็หลงยินดียินร้ายอีก รู้ทันความยินดียินร้ายอีกนะ ความยินดียินร้ายดับอีกชั่วขณะ เดี๋ยวกระทบอารมณ์ก็เกิดอีก เกิดไปจนวันนึงปัญญามันแจ้งขึ้นมาว่า ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เป็นไตรลักษณ์ เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์เป็นอนัตตา คราวนี้มันจะไม่ยินดียินร้ายของมันเองแล้ว

เบื้องต้นไม่ยินดียินร้ายเข้าไปรู้ทันความยินดียินร้ายเข้าเราจะได้ไม่ปรุงนาน พอฝึกมากเข้ามากเข้าเนี่ย มันเข้าใจความเป็นจริงของสังขารคือความปรุงแต่งทั้งปวง ทั้งรูปธรรมทั้งนามธรรม ทั้งกายทั้งใจ เข้าใจแล้วว่ามันไม่เที่ยงมันเป็นทุกข์เป็นอนัตตา มันจะหมดความยินดียินร้ายไปเอง นี่เป็นการที่มันเข้าถึงความยินดียินร้ายด้วยปัญญา ไม่ใช่ด้วยสติ

เบื้องต้นรู้ด้วยสตินะ เห็นจิตมันยินดีก็รู้ อย่างไปเห็นสาวสวยใจมันชอบนะ เราเห็นลงไปรู้ทันความชอบนี้ ใจไม่ชอบอีกแล้วอยากให้หายราคะ อยากให้หาย รู้ทันลงไปที่ความอยากให้ราคะดับอีกมันยินร้ายอีกแล้ว ถ้ารู้อย่างนี้นะอย่างนี้เรียกว่ารู้ด้วยสติ รู้ไปเรื่อยๆ ทันทีที่รู้ด้วยสตินะ ความยินดียินร้ายก็ดับ แต่ดับชั่วคราว ต่อไปพอซ้ำแล้วซ้ำอีก เห็นสภาวะเกิดดับไปเรื่อยๆ เห็นเป็นไตรลักษณ์ไปเรื่อย ต่อไปก็รู้ด้วยปัญญา เห็นว่าทุกอย่างเป็นของชั่วคราว ไม่รู้จะยินดีไปทำไม ไม่รู้จะยินร้ายไปทำไม อย่างนี้รู้ด้วยปัญญา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๗
Track: ๑๐
File: 511108A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๘ วินาทีที่ ๒๙ ถึง นาทีที่ ๑๐ วินาทีที่ ๕๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ดูรูปนามแสดงละคร

mp 3 (for download) : ดูรูปนามแสดงละคร

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ดูรูปนามแสดงละคร

ดูรูปนามแสดงละคร

หลวงพ่อปราโมทย์ : การเจริญปัญญานั้นจะรู้รูปธรรมนามธรรมว่าเป็น“ไตรลักษณ์” ต้องการเห็นตรงนี้

เราจะเจริญปัญญาได้นะ ถ้าหากเรามีสติรู้รูปรู้นาม รู้ตามความเป็นจริง คือไม่เข้าไปแทรกแซงนะ มันเป็นยังไงรู้ว่าเป็นอย่างนั้น มีสติรู้กายรู้ใจรู้รูปรู้นามตามความเป็นจริง รู้ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง ถ้าทำได้อย่างนี้นะปัญญาจะเกิด มันจะเห็นความจริงของรูปของนามได้

จิตมันเป็นแค่คนดู รูปนามนั้นแสดงละครให้จิตดู จิตเหมือนคนดูละคร รูปนามเป็นตัวละครผลัดกันมาแสดง เดี๋ยวตัวดีมาเดี๋ยวตัวร้ายมา เดี๋ยวตัวสุขมาเดี๋ยวตัวทุกข์มา เดี๋ยวรูปธรรมมาเดี๋ยวนามธรรมมา มันแสดงให้เราดู เราเป็นคนดูเฉยๆ ถ้าเราดูได้อย่างนี้ เราก็จะรู้เลยตัวละครทุกตัวเมื่อออกมาแสดงแล้ว ไม่นานก็ต้องไป

มีมั้ยตัวละครที่ไม่ยอมเข้าไปในโรงเลยมีมั้ย เราคงไม่ดูหรอก มันต้องไหลไปเรื่อย เปลี่ยน ตัวนี้มาตัวนี้ไปตัวนี้มาตัวนี้ไป หมุนเวียนไปเรื่อย ดูไปดูไปถึงรู้เลยโลกนี้เป็นโรงละครเท่านั้น ไม่ได้มีจริงหรอก ขันธ์ทั้งหลายที่แสดงละครให้เราดูเป็นแค่ตัวละครหลอกๆ เหมือนเราดูละครเรารู้แล้วละครไม่ใช่เรื่องจริง เราเห็นขันธ์ห้าแสดงละคร เรารู้เลยนี่มันแค่สมมติขึ้นมา แค่ตัวหลอกๆขึ้นมา

ใจไม่ไปหลงยินดียินร้ายในขันธ์ห้าเนี่ย ใจจะคลายความยึดถือในขันธ์ห้าออก ถ้าใจไม่ยึดในขันธ์ห้านะก็ที่สุดแห่งทุกข์อยู่ตรงนั้นเอง ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น ไม่ยึดตรงนั้น ไม่ยึดเพราะปัญญา ไม่ใช่ไม่ยึดเพราะน้อมใจให้ไม่ยึด ไม่ใช่ไม่ยึดเพราะเจตนาไม่ยึด แต่จิตมันไม่ยึดของมันเองเพราะมันเห็นความจริงแล้วว่า รูปธรรมนามธรรมทั้งหลาย ล้วนแต่เป็นของไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา หาสาระแก่นสารไม่ได้ เค้าถึงไม่ยึด เค้าไม่ยึดของเค้าเอง

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๔ หลังฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๒
Track: ๖
File: 541008B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๓๕ ถึง นาทีที่ ๒๕ วินาทีที่ ๓๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เราไม่ได้ภาวนาเอาเจริญ เพราะเจริญไม่เที่ยง

mp3 (for download) : เราไม่ได้ภาวนาเอาเจริญ เพราะเจริญไม่เที่ยง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.


โยม : กราบนมัสการครับหลวงพ่อครับ ก็ช่วงที่ผ่านมาติดหลงโลกอยู่ ก็ มันทั้งมานะอัตตา

หลวงพ่อปราโมทย์ : ภาวนาดีขึ้นเยอะแล้วล่ะ

โยม : ครับ แต่มันก็ยังไปหลงอยู่น่ะครับหลวงพ่อครับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : อย่างน้อยเรารู้ว่าหลงบ้างนะก็ยังดี

โยม : รู้ครับ แต่ว่ามันก็เพลิดเพลิน สุขไปกับทางโลกค่อนข้างเยอะนะครับ ก็ แต่ว่าในการปฏิบัติ ก็ปฏิบัติทุกวัน สวดมนต์ทุกวันครับ ดูกายดูใจทุกวัน ก็เห็นว่าช่วงนี้พอฟังซีดีหลวงพ่อก็จะรู้ว่า มันก็มีขึ้นมีลงนะครับ ช่วงนี้ก็เป็น คงเป็นช่วงขาลงมั้งครับเดือนนี้ แต่ก็ยังพอดูออก ก็เห็นน่ะครับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : สารวัตรเห็นมั้ยว่า ทั้งๆที่ขาลงแต่จิตเป็นกลางมากขึ้น ตัวนี้ดูออกมั้ย (โยม : ใช่ครับ) เพราะฉะนั้นขาขึ้นหรือขาลงไม่สำคัญนะ สำคัญที่รู้ด้วยความเป็นกลางต่างหาก เจริญกับเสื่อมเท่าเทียมกัน เราไม่ได้ภาวนาเอาเจริญหรอกเพราะเจริญไม่เที่ยง แต่ว่าพอปัญญามันแก่รอบเนี่ย จิตจะเป็นกลางต่อความเจริญและความเสื่อม ตัวนี้ต่างหากที่ทำให้ใจไม่ดิ้นรนปรุงแต่งต่อ ภาวนาดีขึ้นนะ ไม่ใช่แย่ลง

โยม : แล้วก็เห็นว่าจิตมันไม่เที่ยงนะครับ (หลวงพ่อปราโมทย์ : อ้อ ดี ) ก็เห็นตัวนี้ขึ้นมาครับหลวงพ่อครับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : อย่างนั้นแหล่ะ มันค่อยคลายออกนะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๔

CD: ๔๐
File: 540709B
ระหว่างนาทีที่ ๑๔ วินาทีที่ ๓๓ ถึงนาทีที่ ๑๕ วินาทีที่ ๕๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ว่างหรือไม่ว่างต่างก็เท่าเทียมกัน

mp3 (for download) : ว่างหรือไม่ว่างต่างก็เท่าเทียมกัน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม : แล้วเมื่อวานนี้หนูเดินจงกลมอยุู่ในศาลาค่ะหลวงพ่อ ก็ เห็นใจที่มันคือ เดินๆอยู่แล้วก็เห็นใจที่มันค่อยๆไหลลงไปเต็มฐานน่ะค่ะ แล้วมันก็ดีดตัวออกมา มันก็รู้ คือ แต่ไอ้ตัวรู้เนี่ยเมื่อก่อนมันจะ ที่หลวงพ่อบอกมันว่างแล้วมัน เอ่อ ที่หนูบอกหลวงพ่อว่า มันว่างแล้วมันก็สลับกับรู้ เอ่ะ ไม่ใช่ ว่างแล้วก็สลับกับหลง อย่างนี้ค่ะหลวงพ่อ แต่คราวนี้พอมันดีดมารู้ปุ๊บ มันจะเห็นว่างตัวนี้ มันจะเป็นว่างที่แบบ นานเกือบสิบนาที คือหนูเดินดูตัวเองที่แบบ เหมือนเป็นศพน่ะค่ะ เพราะว่า มันไม่มีตัวเราอยู่ในนั้นเลย แล้วก็แขนขา มันไม่ได้รู้สึกว่าเราเป็นแขนขา มันเป็นก้านๆแล้วมันก็เดินไปเดินมา

หลวงพ่อปราโมทย์ : หนูรู้สึกมั้ย ไอ้ตัวดูนี่ นิ่งๆ ทุกอย่างไม่เที่ยง ยกเว้นตัวดู

โยม : อ๋อ มันก็คือ ตัวเดียวกันกับที่หลวงพ่อบอกเมื่อตะกี้นี้

หลวงพ่อปราโมทย์ : มันก็ไปติดนะแหล่ะ มันก็ไปภพอีกภพนึง เห็นมั้ย ทุกอย่างแสดงไตรลักษณ์นะ ยกเว้นจิต ตัวรู้นี้เที่ยง แล้วเที่ยงกันเป็นกัลป์ๆเลยนะ ตรงนี้ถ้าหลุดไปพรหมโลก การดูจิตเนี่ย ถ้าพลาดนะจะไปอรูปภูมิ ไปอรูปพรหม เป็นอรูปพรหม ดูกายนะ ดูพลาดไปเป็นรูปพรหม

โยม : งั้น หนูก็แค่รู้มันไป

หลวงพ่อปราโมทย์ : อืม แค่รู้มันนะ มันก็คือสภาวะอันนึงที่จิตไปรู้เข้า เท่าเทียมกับทุกๆสภาวะนั่นแหล่ะ ไม่ใช่ว่าว่างดีกว่าไม่ว่าง ถ้าว่างดีกว่าไม่ว่างยังเป็นภาวะแห่งความเป็นคู่อยู่ ยังมีความต่างอยู่ เพราะฉะนั้น จิตจะดิ้นรนเอาความว่าง จะดิ้นรนหนีจากความวุ่นวาย ถ้าจิตยังปรุงแต่งจิตยังดิ้นรนอยู่ สร้างภพสร้างชาติไม่เลิกหรอก แต่ถ้าเห็นสภาวะทั้งหลายนั้นเท่าเทียมกันหมดเลยนะ จิตไม่ปรุงต่อ  เห็นแล้วจบลงจริงๆเลยไม่ปรุงต่อด้วยปัญญาอันยิ่งนะ ไม่ใช่ประคองไว้ ไม่ใช่ตัวนี้นิ่ง ตัวอย่างอื่นปรุง ไม่ใช่ ในท่ามกลางความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงนะ เห็นจิตเกิดดับไปด้วยนะ แต่ว่าไม่ยินดียินร้ายกับมันนะ นั่นแหล่ะ ถึงจะไม่ยึดถือจริงๆ ถ้ายังประคองตัวรู้อยู่ ไม่ใช่หรอก (โยม : ขอบพระคุณเจ้าค่ะ) ปล่อยให้ออกนะ หนูมุ่งไปทางอรูปมากไป

โยม : คือหนูรู้ลงไปแล้วก็ยังไงก็ได้ใช่มั้ยคะหลวงพ่อยอมรับมัน

หลวงพ่อปราโมทย์ : หนูรู้ลงไปอะไรก็ได้ สุข ทุกข์ ดี ชั่ว ว่างไม่ว่าง เสมอกันหมดเลย อยู่ที่จิตเรา จิตจะเกิดปฏิกิริยาอะไร ให้รู้ทัน เห็นว่างแล้วจิตพอใจ รู้ทัน เห็นว่างแล้วจิตนิ่งๆ เฉยๆ รู้ว่านิ่งๆเฉยๆ เห็นมันก็ยังตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ทั้งความว่างทั้งจิตนั่นแหล่ะดีที่สุด

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๔

CD: ๔๐
File: 540709B
ระหว่างนาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๒๕ ถึงนาทีที่ ๑๔ วินาทีที่ ๐๓

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทุกข์เป็นสิ่งที่หนีไม่ได้

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

Mp3 for download: 520704B_suffering can’t be denied

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้ารู้สภาวะนะ ให้รู้สภาวะตามความเป็นจริง  เป็นจริงของมันก็คือทุกข์นั่นแหละ  รู้ด้วยความเป็นกลาง ถ้าใจเราไม่เป็นกลาง  ใจเรายังรังเกียจทุกข์อยู่ก็ยังไม่พ้นหรอก มันก็จะทุกข์ไปเรื่อย ไปรู้อันนี้ จิตไปเกาะอันนี้ก็ทุกข์ จิตไปเกาะอันนี้ก็ทุกข์ มีแต่ทุกข์ไปหมดเลย วันนึงจิตจะฉลาดขึ้นมา จิตจะเป็นกลาง จิตรู้แล้วว่าความทุกข์เป็นสิ่งที่หนีไม่ได้ ห้ามก็ไม่ได้ หนีก็ไม่ได้ ไปไหนก็ไม่พ้น ไปไหนก็เอาทุกข์ไปด้วย พอจิตมันรู้ตรงนี้นะ มันยอมรับนะ เป็นกลางกับมัน

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ
วันเสาร์ ที่ ๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๒ หลังฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๑
File: 520704B
ระหว่างนาทีที่ ๒๔วินาทีที่ ๓๒ ถึง นาทีที่ ๒๕ วินาทีที่ ๐๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เวลาฝึกก็ถูกบ้างผิดบ้าง แต่ถูกแล้วที่ฝึกสังเกตใจ

mp3 (for download) : เวลาฝึกก็ถูกบ้างผิดบ้าง แต่ถูกแล้วที่ฝึกสังเกตใจ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

เวลาฝึกก็ถูกบ้างผิดบ้าง แต่ถูกแล้วที่ฝึก

เวลาฝึกก็ถูกบ้างผิดบ้าง แต่ถูกแล้วที่ฝึก

โยม : คือ พึ่งเริ่มฝึก แล้วก็ไม่แน่ใจว่าที่ฝึกนี้ ถูกต้องไหม

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถูกแล้วนะที่ฝึก ต้องฝึกนะ เวลาที่เรา ฝึกมันก็ถูกบ้างผิดบ้าง แต่อย่างน้อยที่ฝึกเนี่ย ถูกแล้ว (โยม : ก็ฝึกไปเรื่อยๆ ขอบคุณค่ะ) ต้องฝึกไปเรื่อยๆ วิธีฝึกก็ไม่มีอะไรหรอก สังเกตใจเราไว้ ใจเราแต่ละวันไม่เคยเหมือนกัน บางวันก็สุข บางวันก็ทุกข์ บางวันก็ดี บางวันก็ร้ายใช่มั้ย ในวันเดียวกันก็ไม่เหมือนกัน ดูออกมั้ย เช้าสายบ่ายเย็นความรู้สึกไม่เหมือนกัน ให้เราคอยรู้ความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ รู้เฉยๆนะ อย่าแทรกแทรง อย่าไปห้ามมันว่า ความรู้สึกต้องดีห้ามรู้สึกชั่วอะไรนี้  ไม่ห้ามเลย ให้รู้ไปลูกเดียว

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๑ หลังฉันเช้า

CD: ๒๔
File: 510315
ระหว่างนาทีที่ ๒๗ วินาทีที่ ๓๑ ถึงนาทีที่ ๒๘ วินาทีที่ ๑๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การเดินมรรค

Mp3 for download: การเดินมรรค

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

การเดินมรรค

การเดินมรรค

หลวงพ่อปราโมทย์ : ใจลอยไปแล้วรู้ ใจฟุ้งซ่านไปแล้วรู้ ใจฟุ้งไปแล้วรู้ รู้อย่างนี้เรื่อยนะ ใจจะตั้งมั่นขึ้นมา สมาธิชนิดนี้คือความตั้งมั่น คือ พูดภาษาไทยง่ายๆ นะ คือ จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว จิตใจไม่ลืมเนื้อลืมตัว จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวแล้วถัดจากนั้นเรามาเดินสติปัฏฐานที่ให้เกิดปัญญา

พอจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว สติระลึกรู้ลงในรูปธรรมนะ จะเห็นรูปธรรมไม่ใช่ตัวเรา สติระลึกรู้ลงในเวทนา จะเห็นว่าเวทนาไม่ใช่ตัวเรา ในขณะที่ใจเราตั้งมั่นอยู่กับเนื้อกับตัว เป็นผู้รู้ผู้ดู จิตเป็นผู้รู้ผู้ดูนี่แหละ เรียกว่ามีสมาธิล่ะ แล้วก็สติเกิดระลึกรู้ เห็นเวทนาทางใจ ก็จะเห็นว่าเวทนาทางใจไม่ใช่เรา สติระลึกรู้เห็นกุศลเห็นอกุศล จะเห็นว่ากุศลและอกุศลไม่ใช่เรา

ทีนี้ตัวผู้รู้เนี่ย มันจะรู้สึกเหมือนกับทรงอยู่ แต่ถ้าทำแค่ขณิกสมาธิเนี่ย ตัวผู้รู้จะไม่อยู่นาน ประเดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ ประเดี๋ยวก็เป็นผู้คิด ประเดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ ประเดี๋ยวก็เป็นผู้หลงไปเลย ไม่รู้คิดเรื่องอะไร ประเดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ ประเดี๋ยวก็เป็นผู้เพ่ง ตัวผู้รู้เองก็เกิดดับ จิตนี้เองเกิดดับ ไม่เที่ยงด้วย ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์เท่าๆกับขันธ์อื่นๆนั่นเอง เนี่ยการเดินปัญญาทำอย่างนี้นะ รู้ลงไปในกาย  มีสติระลึกรู้กายที่กำลังปรากฏอยู่ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง จิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ลืมเนื้อลืมตัว เนี่ยคือจิตที่มีสมาธิได้มาด้วยการทำฌาณก็ได้นะ ได้มาด้วยการรู้ทันจิตที่ไหลไปๆ แล้วรู้บ่อยๆ เนี่ย มันจะตั้งมั่นขึ้นเอง พวกเราใจไหลไปแล้วรู้ ไหลแล้วรู้เนี่ย ใจมันจะมาอยู่กับเนื้อกับตัว

พอใจอยู่กับเนื้อกับตัวแล้วมันจะรู้สึกขึ้นมานะว่า ร่างกายที่กำลังเคลื่อนไหว ใช้คำว่าร่างกายที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่เนี่ย ไม่ใช่ตัวเรา ดูกายเนี่ยจะดูลงปัจจุบันขณะนะ  ดูลงขณะปัจจุบันนี้เลย เนี่ยๆ กำลังเคลื่อนอยู่เนี่ย เรารู้ได้มั้ย รู้ได้ เพราะจิตมันเป็นคนไปรู้กาย แต่ว่าการดูจิตเนี่ยจะไม่ดูลงปัจจุบันขณะ การดูจิตจะดูด้วยลักษณะที่เรียกว่า ดูปัจจุบันสันตติ  ไม่เหมือนกันนะ ปัจจุบันขณะก็คือสิ่งที่กำลังปรากฏต่อหน้าต่อตานี้เอง ปัจจุบันสันตติคือสิ่งที่เนื่องอยู่กับปัจจุบัน ปัจจุบันเป๊ะๆไม่ได้ เพราะจิตนั้นรู้อารมณ์ได้ครั้งละอย่างเดียว อย่างร่างกายเคลื่อนไหวเนี่ย จิตดูลงปัจจุบันได้ เพราะจิตมารู้กาย แต่จิตจะไปรู้จิตเนี่ยไม่ได้ จิตจะไปรู้จิตในขณะ ขณะนั้นนะ ในขณะที่เดินปฏิบัติปกติเนี่ยไม่ได้ แต่ในขณะที่เกิดอริยมรรคได้นะ คนละอันกันนะ คนละเรื่อง ที่ท่านว่าจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นมรรคนั้น ท่านพูดถึงอริยมรรคเลย เฮ้อ เหนื่อย เทศน์มันยากมากเลย มัน intensive course

เพราะงั้นดูกายเนี่ยนะ ดูมันลงปัจจุบัน ดูจิตนั้น ดูมันเนื่องกับปัจจุบัน เช่น มันโกรธ พอมันโกรธปุ๊บ สติรู้ว่าโกรธ ในขณะที่จิตมีสติรู้ว่าโกรธเนี่ย ความโกรธนั้นเป็นอดีตไปแล้ว ความรู้ รู้ว่าเมื่อกี้โกรธนั้นเป็นปัจจุบัน ความโลภเกิดขึ้น ความโลภเป็นปัจจุบัน สติรู้ว่าเมื่อกี้โลภ โลภเป็นอดีตละ จิตที่มีสตินี้เป็นปัจจุบัน

จิตที่มีสติมันเกิดตามหลังจิตที่มีกิเลสนะ เพราะงั้นตรงที่มีกิเลสเนี่ย ดูไม่ได้ เพราะในขณะที่กิเลสเกิดเนี่ย สติไม่มี ในขณะที่มีสติน่ะไม่มีกิเลส เพราะงั้นการที่เราเห็นว่าจิตมีกิเลสน่ะ เราเห็นตามหลังทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นการดูจิตนี่นะ จะตาม แต่ตามแบบติดๆนะ เมื่อวานโกรธวันนี้รู้ไม่เรียกว่าปัจจุบันสันตตินะ เพราะว่าห่างไกลมาก นั่นเป็นอดีตสันตติแล้วไม่ใช่ปัจจุบันละ

เพราะงั้นการดูจิตนะ ดูแบบติดๆ เลย โกรธขึ้นมาก่อน รู้ว่าโกรธ นี่เห็นหางความโกรธๆไหวๆ หายแว้บไปต่อหน้าต่อตา นี่ เห็นหางเท่านั้นนะ ไม่เห็นตัวมันหรอก งั้นดูอย่างนี้นะ ดูไปเรื่อย แต่จิตต้องตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู ตัวนี้แหละคือตัวสัมมาสมาธิ จิตที่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู สติระลึกรู้กายลงเป็นปัจจุบัน สติตามรู้จิตที่ดับไปสดๆร้อนๆ นะ เนี่ยในขณะที่เดินมรรคเขาเดินกันอย่างนี้ ในขณะที่เกิดอริยมรรคเป็นอีกแบบนึง คนละเรื่องกัน อย่าไปปนกัน

พอเราเจริญมากๆนะ จะได้อะไร จะได้ตัวของปัญญา ปัญญา คือสัมมาทิฐิ คือสัมมาสังกัปปะ สัมมาทิฐิคือความเห็นแจ้งในอริยสัจจ์ รู้ว่าตัวตนไม่มีหรอก ตัวตนมีแต่ทุกข์ ขันธ์มีแต่ตัวทุกข์ ขันธ์ไม่ใช่ตัวตน พอมีอย่างนี้นะใจมันก็ดำริออกจากกาม ดำริออกจากพยาบาท ดำริออกจากการเบียดเบียน ก็ตัวเราไม่มีจะมีกามไปทำไม จะพยาบาททำไม จะเบียดเบียนยังไง ใจก็พ้นจากกิเลส พ้นจากทุกข์ พ้นจากทุกสิ่งทุกอย่างไป

เนี่ยวันนี้เทศน์เรื่องมรรคให้ฟังนะ มรรคมีหนึ่งนะ แต่มีองค์แปด แต่ไม่ได้มีแปดมรรคนะ ถ้าแปดมรรคเรียกมักมาก มรรคมีหนึ่งเท่านั้นแต่มีองค์แปด คล้ายๆ แมงมุมมีหนึ่งตัวแต่มีแปดขา หักออกขานึงก็พิการละ ใช้ไม่ได้ อริยมรรคจะไม่เกิดนะ ถ้าขนาดส่วนใดส่วนหนึ่ง

เพราะฉะนั้นส่วนแรกเลยที่ต้องรักษาคือศีล จำไว้นะ ตั้งใจ แล้วพยายามดำรงชีวิตอย่างสุจริต พยายามฝึกจิตฝึกใจไปเรื่อย คอยรู้ทันจิตไป กิเลสเกิดรู้ทัน อย่าให้มันครอบงำ รู้ทันกิเลสได้บ่อยๆ ใจก็มีกุศลมากขึ้นๆ แล้วก็หัดรู้สภาวะของรูปธรรมนามธรรมทั้งหลาย จนกระทั่งสติมันเกิด แล้วก็ฝึกจิตไป จิตไหลไปแล้วรู้ๆ สมาธิก็เกิด ในที่สุดก็มีสมาธิ มีสติรู้รูปรู้นามตามความเป็นจริงด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง จิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลางคือจิตมีสมาธิ เมื่อมีสติรู้รูปรู้นามรู้กายรู้ใจด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลางมากพอ ปัญญาจะเกิด จะเห็นแจ้งว่ารูปธรรมนามธรรมไม่ใช่ตัวตน เป็นแต่ตัวทุกข์ล้วนๆ ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ล้วนๆ พอปล่อยวางได้นะ คุณงามความดีทั้งหลายเนี่ยสมบูรณ์แบบหมดเลย ความสุขอันมหาศาลจะเกิดขึ้น

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโชแสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๓ ก่อนฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๔
File: 530425A
ระหว่างนาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๑๑  ถึง นาทีที่ ๒๙ วินาทีที่ ๑๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 1 of 41234