Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

ทาน ศีล สมาธิ วิปัสสนา นิพพาน

mp3 for download : ทาน ศีล สมาธิ วิปัสสนา นิพพาน

หลวงพ่อปราโมทย์ : ขออนุญาตท่านอาจารย์ครับ หลวงพ่อจะมาเยี่ยมครูบาอาจารย์เฉยๆนะ มาเยี่ยมหลวงพ่อ.. กับหลวงพ่อคำเขียน ๒ องค์ ไม่ได้มาเทศน์หรอก เทศน์ไม่ได้ ผิดธรรมเนียม ครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่กว่าอยู่ต้องนิมนต์ท่านเทศน์หรอก แต่นี่ท่านอนุญาตนะ ครูบาอาจารย์อนุญาตให้เราเทศน์ เราก็เทศน์ได้ แต่เทศน์แล้วต้องทำนะ จะให้หลวงพ่อเทศน์เปล่าๆ บาปนะ คือเราให้พระเหนื่อยฟรีๆแล้วขี้เกียจ

อย่าขี้เกียจนะ ความทุกข์มันบีบคั้นเราอยู่ทั้งวันทั้งคืน คนมีปัญญาถึงจะมองเห็น คนไม่มีปัญญาก็จะเห็นแต่มีความสุขนะ หลงระเริงไปเรื่อยๆ วนไปวันหนึ่งๆนะ เดี๋ยวก็เดือนเดี๋ยวก็ปี ไม่นานก็ตาย สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรติดเนื้อติดตัวไป น่าเสียดายที่สุดเลย

พวกเรามีบุญนะ พวกเราอุตส่าห์มาวัด มาหาครูบาอาจารย์ มาอะไรนี่ ได้รักษาศีล ได้ฟังธรรม ก็ต้องมาปฏิบัติ ธรรมะที่เราจะปฏิบัตินะ ก็มีทานมีศีลมีภาวนานะ ทำทานก็ไม่ใช่ว่าต้องเสียเงินเสียทองนะ ยกตัวอย่างเราโกรธคน คนเขาด่าเรา เราอภัยให้เขาอะไรอย่างนี้ ก็เป็นทานอย่างหนึ่ง คนเขาไม่มีความรู้ แล้วเราให้ความรู้เขา ก็เป็นทานอย่างหนึ่ง ทานก็มีหลายอย่าง ไม่ต้องเสียเงินเสียทองอะไร ให้ความรู้เขาให้ความเข้าใจนะ ได้บุญแรง

ต้องรักษาศีล ของเรามาอยู่วัด อุตส่าห์แต่งขาว เรามีสตินะ แต่งชุดขาวๆ ขาดสติเดี๋ยวก็เลอะแล้ว เพราะฉะนั้นท่านให้แต่งขาวๆไว้ก็ดี จะกระดุกกระดิก จะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวนะ รู้สึก คอยรู้สึกไว้เรื่อยๆนะ เวลาโมโหใครขึ้นมา รู้ทันที่ใจเรา

มาอยู่วัดมาหาความสุขความสงบ หาความดีให้ตัวเอง ฝึกจิตฝึกใจของเราทุกวันๆนะ ภาวนาไปพุทโธๆไปก็ยังดี หายใจไปรู้สึกตัวไป มีสติ คอยรู้ทันใจตัวเองไว้เสมอๆ ถ้าเรามีสติรู้ทันใจของเราได้บ่อยๆนะ กิเลสอะไรเกิดขึ้นในใจเราคอยรู้ทัน ถ้าเรารู้ทันกิเลสที่เกิดขึ้นในใจของเราได้นะ กิเลสจะครอบงำใจเราไม่ได้ ถ้ากิเลสมันครอบงำจิตใจของเราไม่ได้นะ เราจะไม่ผิดศีลหรอก คนมันทำผิดศีลนะเพราะมันถูกกิเลสหลอกเอาไป

ยกตัวอย่างมันไปฆ่าเขามันไปตีเขานะ เพราะโทสะมันครอบงำใจ คอยหลอกลวงเขาอะไรอย่างนี้ หรือไปเป็นชู้กับเขาอะไรอย่างนี้ ก็เพราะโลภะครอบงำใจ เพราะฉะนั้นมันมาจากกิเลสทั้งนั้นเลยนะ ทำให้เราทำผิดศีลผิดธรรมเพราะฉะนั้นเรารักษาศีลให้มั่นคงแข็งแรงนะ ทุกคนต้องมีศีล ถ้าเราไม่มีศีลนะ เราเสียความเป็นมนุษย์แล้ว เราจะไปอบาย

ทีนี้เรามีศีลเท่านั้นไม่พอนะ เราต้องมีฝึกใจของเราให้สงบบ้าง ใจของเราร่อนเร่หนีเที่ยวทั้งวันทั้งคืน ไม่เคยอยู่กับเนื้อกับตัวเลย เรามาฝึกให้จิตใจอยู่กับตัวเอง การฝึกให้ใจอยู่กับตัวเองนี้แหละที่เรียกว่าฝึกให้มีความสงบมีความตั้งมั่นมีสมาธิขึ้นมา เราก็เอาสตินี้แหละมารู้ทันใจ เป็นวิธีที่ง่ายๆนะ ถ้าใจเราแอบไปคิดเรารู้ทัน ใจเราแอบไปคิดเรารู้ทัน รู้อย่างนี้บ่อยๆนะ พอใจเราไหลไปแว้บมันจะรู้สึกขึ้นมา ใจมันจะตื่น มันจะตั้งมั่น จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว ได้สมาธิเบื้องต้น สมาธิที่เรามีสติรู้ทีละแว้บๆ เขาเรียกว่าขณิกสมาธินะ สมาธิชั่วขณะเท่านั้นแหละ ได้สมาธิชั่วขณะก็ดีกว่าไม่มีเลย

คนไหนมีบุญมีวาสนานะ ภาวนาทุกวัน รู้ลมหายใจเข้าหายใจออกนะ พุทโธไป ภาวนาไป จิตใจไม่หนีไปที่อื่น จิตสงบอยู่กับลมหายใจ นั่นแหละจะได้สมาธิที่ละเอียดที่ปราณีตขึ้นไป ได้อุปจารสมาธิ ได้อัปนาสมาธิ จิตใจจะตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ใจจะเป็นผู้รู้นะ ใจไม่ใช่ผู้หลงคิด ใจที่ไม่มีสมาธิจะเป็นใจผู้หลงคิด ใจที่มีสมาธิมีความตั้งมั่นอยู่กับเนื้อกับตัวจะเป็นจิตที่เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานนะ มันจะมีความสุขอยู่ในตัวเอง

เพราะฉะนั้นเราฝึกจิตฝึกใจของเรานะให้อยู่ในอารมณ์อันเดียว ฝึกไปเรื่อย จะอยู่กับพุทโธก็อยู่นะ จะอยู่ในลมหายใจก็อยู่ ถ้าทำได้ก็ดีจะได้ความสุขความสงบที่ปราณีต ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าเสียใจ ให้อาศัยสติคอยรู้ทันจิตเป็นขณะๆไปก็ได้สมาธิเหมือนกัน แต่เป็นสมาธิแค่ขณิกสมาธิชั่วขณะ ดีกว่าไม่มีเลย ก็เหมือนกับคนยากคนจนนะ มีเงินร้อยบาท สองร้อยบาท สิบบาท ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย ไม่มีเงินล้านเงินแสนอย่างคืนอื่นก็ไม่เป็นไร เราไม่ได้มีฌานมากมายอย่างคนอื่นก็ไม่ต้องเสียใจ ได้ความสงบที่เป็นขณะๆอย่างนี้ก็พอที่จะไปมรรคผลนิพพานได้นะ

ทีนี้พอจิตใจเราอยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ลืมเนื้อลืมตัว ไม่ใจลอยล่องลอยหนีไปเรื่อยแล้วเนี่ย ให้มาคอยเจริญปัญญาต่อ เห็นมั้ยมามีศีลมีสมาธิแล้วมามีปัญญา มีศีลเพราะมีสติรู้ทันกิเลสนะ กิเลสครอบงำจิตไม่ได้ จิตก็มีศีลขึ้นมา มีสติที่รู้ทันจิตที่ฟุ้งซ่านไป จิตก็สงบขึ้นมาได้สมาธิ ถัดจากนั้นพอจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวแล้วต้องเดินปัญญา ถ้าเราไม่ได้เจริญปัญญาเราจะไม่ได้คุณค่าของศาสนาพุทธหรอก เพราะการรักษาศีล การทำสมาธิเนี่ย ถึงไม่มีพระพุทธเจ้านะ นักปราชญ์ทั้งหลายเขาก็สอนกันได้

ต้องมาเจริญปัญญาให้ได้ มาทำวิปัสสนานะ ถึงจะเป็นชาวพุทธแท้ๆได้รับประโยชน์จากพระศาสนาอย่างแท้จริง การเจริญปัญญาคือการเรียนรู้ตัวเอง สิ่งที่เรียกว่าตัวเราเองก็คือกายกับใจนะ เพราะฉะนั้นเราคอยมีสติรู้อยู่ที่กายมีสติรู้อยู่ที่ใจ รู้ไปอย่างสบายๆ รู้ด้วยจิตใจที่ตั้งมั่นจิตใจที่เป็นกลาง จิตใจที่มีสมาธิหนุนหลัง เพราะฉะนั้นจิตใจของเราต้องตั้งมั่นนะ สงบ ตั้งมั่น แล้วมาคอยรู้กายมาคอยรู้ใจ

เห็นกายทำงานเห็นใจทำงานไปเรื่อย ควรจะเห็นเหมือนเห็นคนอื่นนะ ร่างกายยืนเดินนั่งนอน เหมือนจะรู้สึกเหมือนกับว่าคนอื่นยืนเดินนั่งนอน ไม่ใช่ตัวเราแล้ว เห็นร่างกายหายใจออกร่างกายหายใจเข้า เนี่ยร่างกายมันหายใจไม่ใช่เราหายใจ จะไม่มีความรู้สึกว่าเป็นตัวเราจะเห็นเป็นเพียงวัตถุเท่านั้น เป็นก้อนธาตุนะ มีธาตุไหลเข้ามีธาตุไหลออก หายใจเข้าหายใจออก ก็แค่วัตถุเท่านั้นเอง ไม่ใช่คนไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่เราไม่ใช่เขา

มาดูจิตดูใจนะ เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย เฝ้ารู้ไปเรื่อย พวกเราเป็น.. ส่วนใหญ่คนรุ่นนี้เป็นพวกคิดมาก จิตคิดทั้งวันนะ คิดไปแล้วเดียวก็สุข คิดไปแล้วเดี๋ยวก็ทุกข์ มีมั้ยคิดแล้วทุกข์ บางทีเขาด่าเรามาสิบปีแล้วนะมาคิดใหม่ทุกข์ใหม่ เออ.. เป็นมั้ย โกรธใหม่ก็ได้ เรื่องตั้งนานแล้วนะ คิดซ้ำก็เป็นอีกนะ เนี่ยใจของเราชอบหลง หลงๆไปนะ ให้เราคอยมีสติรู้ทันนะ รู้ทันใจ ใจหลงไปคิดเรื่องนี้-รู้ทัน คิดแล้วเกิดความสุขก็รู้ทันว่ามีความสุขแล้ว ความทุกข์เกิดขึ้นในใจเราก็รู้ทันนะ กุศล-อกุศล โลภโกรธหลงอะไรเกิดขึ้นในใจ คอยรู้ทัน รู้เฉยๆ

ในขั้นของการเดินปัญญา ไม่เหมือนในขั้นของการทำสมาธิ ขั้นการทำสมาธินี่นะ จิตไม่ดีทำให้ดี จิตไม่สุขทำให้สุข จิตไม่สงบทำให้สงบ แต่ในขั้นปัญญาเนี่ย จิตไม่ดีรู้ว่าไม่ดี จิตไม่สุขรู้ว่าไม่สุข จิตไม่สงบรู้ว่าไม่สงบ รู้ลูกเดียวเลย รู้อย่างที่มันเป็นนะ เราจะเห็นเลยความสุขที่เกิดขึ้นในใจเราก็อยู่ชั่วคราว ความทุกข์ก็ชั่วคราวนะ โลภโกรธหลงอะไรๆก็ชั่วคราว นี่หัดดูลงไปนะ ทุกอย่างในชีวิตนี้เป็นของชั่วคราว นี่ล่ะคือการการเดินปัญญานะ ดูลงไป ค้นคว้าพิจารณาลงไปนะ

ถ้าจิตมันไม่ยอมดูของมันเองก็ต้องช่วยมันคิดช่วยมันพิจารณาก่อนในเบื้องต้น ยกตัวอย่างพิจารณาร่างกายนะ เป็นปฏิกูล เป็นอสุภะ เป็นธาตุเป็นขันธ์ นี่คือช่วยมันคิดก่อน แต่ถ้าจิตมันมีปัญญามีกำลังพอนะ มันจะเห็นเอง ร่างกายที่หายใจอยู่ไม่ใช่เรา จิตใจที่สุขจิตใจที่ทุกข์นั้น ความสุขความทุกข์ นั้นก็ไม่ใช่เรา จิตเป็นธรรมชาติรู้ จิตรู้ว่ามีความสุข จิตรู้ว่ามีความทุกข์ ตัวที่รู้นี้ก็ไม่ใช่เรา ตัวเราไม่มี ฝึกไปเรื่อยๆนะแล้วเราจะเห็นความจริงว่าตัวเราไม่มีหรอก

ภาวนาจนล้างความเห็นผิดว่ามีตัวเรา มีตัวตน ถ้าตัวเราไม่มีแล้วใครจะทุกข์ล่ะ ก็ขันธ์ ๕ มันทุกข์นะ ไม่ใช่เราทุกข์อีกต่อไปแล้ว เนี่ยเฝ้ารู้เฝ้าดูต่อไปนะ สติปัญญาแก่รอบขึ้นไปเรื่อย มันจะเห็นเลยว่าขันธ์ ๕ มีแต่ทุกข์ล้วนๆ อย่างพวกเราตอนนี้ปัญญาเราไม่พอ ศีลสมาธิปัญญาต้องฝึกให้แก่รอบนะ วันหนึ่งถึงจะพอ ถ้าพอจริงจะเห็นเลย กายนี้ทุกข์ล้วนๆ จิตนี้ทุกข์ล้วนๆ

พวกเราไม่เห็นหรอก พวกเราเห็นว่าร่างกายนี้เป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้าง ใช่ม้้ย เห็นมั้ยว่าจิตนี้เป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้าง เห็นอย่างนี้ใช่มั้ย นี่เราไม่รู้จริงหรอก พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ ท่านไม่ได้บอกว่าทุกข์บ้างสุขบ้างนะ เพราะฉะนั้นเรายังไม่ได้เห็นอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนหรอก เพราะฉะนั้นเรายังไม่ได้พ้นทุกข์หรอกนะ เพราะฉะนั้นต้องรู้ลงไปในกายรู้ลงไปในใจบ่อยๆ อย่าใจลอยนะ รู้สึกอยู่ในกายรู้สึกอยู่ในใจบ่อยๆนะ วันหนึ่งเราจะเห็นได้ว่ากายนี้ทุกข์ล้วนๆเลย

ยกตัวอย่างนั่งอยู่ก็ทุกข์นะ เดินอยู่ก็ทุกข์ นอนอยู่ก็ทุกข์ หิวก็ทุกข์ อิ่มก็ทุกข์ ง่วงก็ทุกข์นะ เจ็บป่วยขึ้นมาก็ทุกข์ นั่งอยู่เฉยๆก็คัน มีมั้ยนั่งแล้วไม่คัน คันก็ทุกข์นะ ทีนี้พวกเราพอทุกข์นะ เราก็เปลี่ยนอิริยาบถปับเลย เรายังไม่ทันจะรู้สึกเลยว่าทุกข์ ยกตัวอย่างคันขึ้นมารีบเกาเลย ยังไม่ทันรู้ตัวเลยว่าคันนะ เกาไปก่อนแล้ว เราก็ไม่เห็นทุกข์ มันเมื่อยขึ้นมาเราก็ขยับซ้ายขยับขวานะ เรายังไม่ทันรู้สึกเลยว่าเมื่อยนะ ยังไม่ทันรู้เลยว่ากายนี้เป็นทุกข์ ขยับหนีความทุกข์ไปเสียก่อนแล้ว เพราะฉะนั้นก่อนที่จะขยับตัวนะ รู้สึกตัวเสียก่อน ก็จะเห็นว่ามีแต่ทุกข์ล้วนๆเลยนะ

จิตใจนี้ก็เหมือนกันนะ คอยรู้ทันบ่อยๆจะเห็นว่ามีแต่ทุกข์ล้วนๆเลย ถ้าเห็นว่ามีแต่ทุกข์ล้วนๆเมื่อไหร่ก็ข้ามโลกได้แล้วนะ ถ้ายังเห็นว่าทุกข์บ้างสุขบ้างก็ไปไหนไม่รอดหรอก

ก็ฝึกเอานะ ขั้นแรกเลย รักษาศีล อุตส่าห์แต่งขาวๆน่ะ อย่าปากร้ายนะ ปากร้ายนี้มันมาจากใจร้ายก่อน ใช่ม้้ย แล้วมันลดลงมา เพราะฉะนั้นเรามีศีลไว้ก่อนนะ ต่อไปเราก็มาฝึกใจให้สงบ กายสงบวาจาสงบแล้วด้วยศีล ฝึกให้ใจสงบด้วยสมาธิ แล้วก็ขั้นสุดท้ายฝึกให้จิตเกิดปัญญาด้วยวิปัสสนา กิเลสมี ๓ ขั้นนะ กิเลสอย่างหยาบเนี่ยคือ โลภ โกรธ หลง ของหยาบที่สุด สู้ด้วยศีลนะ กิเลสอย่างกลางชื่อนิวรณ์ สู้ด้วยสมาธิ ใจอยู่กับเนื้อกับตัว ใจไม่ฟุ้งไป จิตมีสมาธิ นิวรณ์ครอบงำไม่ได้ กิเลสที่ละเอียดที่สุดนะ คือความเห็นผิด คืออวิชา ความเห็นผิด คือมิจฉาทิฎฐิ เราสู้ด้วยความเห็นถูก รู้ลงในกายรู้ลงในใจดูว่าจริงๆมันเป็นอย่างไร จริงๆมีแต่ทุกข์นะ ดูไป เอ้า..เท่านี้เนาะ เทศน์แค่นี้ก็ถึงนิพพานแล้วล่ะ เหลือแต่ทำเอา ก่อนจะถึงนิพพาน ศีล ๕ ก่อนเน่อ เดี๋ยวหลวงพ่อต้องไปแล้วล่ะ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่เกาะสีชัง จ.ชลบุรี
เมื่อวันจันทร์ที่ ๘ เดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓

File: 530308
Whole track

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

วิธีฝึกสมาธิชนิดตั้งมั่น (๓/๓)

mp3 for download : วิธีฝึกสมาธิชนิดตั้งมั่น (๓/๓)

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ขอขอบคุณภาพจากบ้านจิตสบาย

หลวงพ่อปราโมทย์ : พระอรหันต์ส่วนใหญ่ในสมัยพุทธกาลนะ ก่อนที่จะบรรลุพระอรหันต์ ก่อนที่จะบรรลุพระโสดาฯอะไรอย่างนี้ ก็ทำฌานไม่ได้เหมือนพวกเรานี้เอง ยกตัวอย่างเมื่อวานนี้ที่หลวงพ่อเล่าให้ฟัง พวกที่ไม่ได้มา เล่าย่อๆนิดนึง

พระพุทธเจ้าท่านอยู่กับพระ หมู่สงฆ์จำนวนมากนะ แล้วท่านก็อธิบายให้สงฆ์ฟัง บอกว่าในบรรดาพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์เนี่ย เป็นพระอรหันต์ที่ได้วิชา ๓ เนี่ย ๖๐ องค์ อภิญญา ๖ อีก ๖๐ องค์ ได้อุภโตภาควิมุตติ ๖๐ องค์ พระอรหันต์ ๓ จำพวกนี้ต้องทรงฌาน รวมแล้ว ๑๘๐ องค์ อีก ๓๒๐ องค์ คือคนอย่างพวกเรานี่เอง

เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าเราเข้าฌานไม่ได้เราจะสิ้นหวังเป็นพระอรหันต์ไม่ได้ ไม่ใช่เลยนะ เราก็ต้องรู้จักวิธีปฏิบัติที่พอเหมาะพอควรกับสิ่งที่เราเป็นสิ่งที่เรามีอยู่ เรามีความฟุ้งซ่านมาก เราไม่ได้มีสมาธิมาก เข้าฌานไม่เป็น เราก็มาฝึกให้ได้สมาธิชนิดตั้งมั่น แต่มันจะตั้งอยู่ชั่วขณะเท่านั้นเอง ไม่ตั้งนาน ไม่ใช่อัปนาสมาธิ แต่จะตั้งเป็นขณะๆเรียกว่า ขณิกสมาธิ จิตตั้งเป็นขณะๆนะ

ขณิกสมาธิ วิธีฝึกนะ พวกเรา เบื้องต้นทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง แต่ไม่ได้ทำเพื่อจะเข้าฌาน ทำเพื่อเป็นเครื่องอยู่ของจิตเท่านั้นเอง หัดพุทโธไปก็ได้ หัดรู้ลมหายใจไปก็ได้ หัดดูท้องพองยุบไปก็ได้ ทำกรรมฐานอะไรก็ได้ แต่ไม่ได้ทำเพื่อน้อมจิตไปอยู่กับอารมณ์อันนั้น ถ้าน้อมจิตไปอยู่ที่อารมณ์อันนั้นจะเป็นสมาธิชนิดที่ ๑ (ดู วิธีฝึกสมาธิชนิดตั้งมั่น (๑/๓)) คือสงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว เรียกว่า อารัมณูปนิชฌาน ถ้าทำกรรมฐานขึ้นอย่างหนึ่งแล้วรู้ทันจิต จิตไหลไปคิดก็รู้ทัน จิตไหลไปเพ่งอารมณ์กรรมฐานอันนั้นก็รู้ทัน จิตมันเคลื่อนตลอดนะ เคลื่อนไปคิดก็ได้ เคลื่อนไปเพ่งก็ได้ ถ้าเรารู้ทันจิตที่เคลื่อน จิตจะเลิกเคลื่อน เพราะจิตที่เคลื่อนเป็นจิตฟุ้งซ่าน ทันที่สติรู้ทันจิตที่ฟุ้งซ่าน จิตจะไม่ฟุ้งซ่าน จิตก็จะตั้งมั่นอยู่กับฐาน

เพราะฉะนั้นๆเราหัดพุทโธๆนะ จิตหนีไปคิดเรารู้ทัน จิตก็จะตั้งมั่นขึ้นมา เราหัดรู้ลมหายใจนะ จิตหนีไปคิดก็รู้ทัน จิตก็จะตั้งมั่นขึ้นมา รู้ลมหายใจอยู่ จิตไหลไปอยู่ที่ลมหายใจ รู้ว่าจิตไหลไปอยู่ที่ลมหายใจแล้ว จิตก็จะตั้งมั่นขึ้นมา ถ้ารู้ทันว่าจิตไหลไปนะ จิตจะตั้งมั่น

เพราะฉะนั้นเบื้องต้นจะต้องทำกรรมฐานอย่างหนึ่งเสียก่อนนะ ถ้าไม่ทำกรรมฐานอย่างหนึ่งขึ้นมาก่อน จิตจะไหลตลอดเวลาจนดูไม่ทัน เดี๋ยวก็ไหลไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ดูไม่ทันหรอก เพราะฉะนั้นเบื้องต้นทำกรรมฐานขึ้นมาสักอย่างหนึ่งก่อน พุทโธก็ได้ หายใจก็ได้ แล้วก็คอยรู้ทันจิตไป จิตหนีไปคิดก็รู้ จิตไปเพ่งอยู่ในอารมณ์อันเดียวก็รู้นะ จิตเคลื่อนไปเมื่อไหร่ให้รู้ทัน

ถ้ารู้ทันจิตที่เคลื่อน จิตจะไม่เคลื่อน จิตจะตั้งมั่นขึ้นโดยอัตโนมัติ โดยไม่ได้เจตนาให้ตั้ง มันตั้งของมันเอง

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๓๐ เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๙
File: 560209A
ระหว่างนาทีที่ ๒๘ วินาทีที่ ๔๙ ถึงนาทีที่ ๓๑ วินาทีที่ ๓๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

วิธีฝึกสมาธิชนิดตั้งมั่น (๒/๓)

mp3 for download : วิธีฝึกสมาธิชนิดตั้งมั่น (๒/๓)

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ในพระไตรปิฎกจะพูดถึงสภาวะชนิดหนึ่งเรียกชื่อว่า “เอโกทิภาวะ” เอโกทิภาวะเนี่ยเกิดขึ้นในฌานที่ ๒ เอโกทิภาวะก็คือความตั้งมั่นของจิตนั่นเอง จิตละวิตกวิจารณ์ ละการตรึกการตรองในอารมณ์นั้น ก็ทวนกระแสเข้ามาตั้งมั่นอยู่ที่จิตได้ ถ้าเราได้สมาธิชนิดตั้งมั่นด้วยการเข้าฌานมานะ สมาธิชนิดนี้จะทรงกำลังอยู่ได้นาน แต่ก็ไม่เกิน ๗ วันนะ ก็เสื่อม เวลาที่มันตั้งมั่นเด่นดวงอยู่นี่ มันจะเห็นรูปธรรมและนามธรรมนี้ทำงานอยู่ได้ทั้งวันทั้งคืน ทั้งหลับทั้งตื่นด้วยซ้ำไป ใจมันจะตั้งมั่นเด่นดวง

แต่ถ้าเราทำฌานไม่ได้เนี่ย เราก็ไม่สิ้นหวังเสียทีเดียว คนส่วนใหญ่ แม้กระทั่งในสมัยพุทธกาล ก็ทำฌานไม่ได้

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๓๐ เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๙
File: 560209A
ระหว่างนาทีที่ ๒๗ วินาทีที่ ๕๘ ถึงนาทีที่ ๒๘ วินาทีที่ ๔๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

วิธีฝึกสมาธิชนิดตั้งมั่น (๑/๓)

mp3 for download : วิธีฝึกสมาธิชนิดตั้งมั่น (๑/๓)

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : สมาธิชนิดที่ตั้งมั่น มีวิธีฝึก ๒ วิธี เนี่ยไม่มีใครสอนละเอียดเท่าหลวงพ่อหรอกนะ ส่วนมากท่านก็สอนให้พุทโธเอา จบแล้วไม่พูดอะไรแล้ว สอนตั้งหลายปีก็สอนสั้นๆแค่นี้เอง ต้องตั้งใจทำเอามากเลย หลวงพ่อสอนละเอียดยิบเลยนะ สอนให้แทบจะครบทุกแง่ทุกมุมเลย

วิธีที่จะฝึกให้ได้ลักขณูปนิชฌาน หรือสมาธิชนิดมีจิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูเนี่ย มี ๒ วิธี วิธีที่ ๑ ทำฌาน พวกเราถ้าทำฌานไม่ได้ วิธีนี้ก็ใช้ไม่ได้ ก็ต้องใช้วิธีที่สอง (ดู วิธีฝึกสมาธิชนิดตั้งมั่น (๓/๓))

วิธีทำฌาน อันนี้จะยาวไปนิดนึงนะ ก็คือ ต้องถึงฌานที่ ๒ ละวิตกละวิจารณ์ก่อน มีวิตกคือการตรึกอยู่ในอารมณ์ มีวิจารณ์คือจิตส่งออกไปเคล้าเคลียอยู่ในอารมณ์ อารมณ์นั้นเป็นปฏิภาคนิมิตร เป็นแสงสว่าง เวลาที่จิตเข้าไปจับที่แสงอยู่นี่นะ ยังไม่มีตัวรู้นะ ถ้ารู้ทันว่าจิตมันเคลื่อนไปอยู่กับปฏิภาคนิมิตร รู้ทันว่าจิตได้ไปตรึกอยู่กับปฏิภาคนิมิตร รู้ทันว่าจิตไปเคล้าเคลียหรือไปตรองในปฏิภาคนิมิตร อาการที่จิตส่งออกไปอยู่กับปฏิภาคนิมิตรจะขาดสะบั้นลง จิตจะทวนกระแสกลับมาตั้งมั่นอยู่ที่จิต

เพราะฉะนั้นในพระไตรปิฎกจะพูดถึงสภาวะชนิดหนึ่ง ชื่อ เอโกทิภาวะ เอโกทิภาวะเกิดขึ้นในฌานที่สอง เอโกทิภาวะก็คือความตั้งมั่นของจิตนั่นเอง

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๓๐ เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๙
File: 560209A
ระหว่างนาทีที่ ๒๖วินาทีที่ ๔๔ ถึงนาทีที่ ๒๘ วินาทีที่ ๗๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตที่สัมผัสพระนิพพาน มีความสุขมหาศาล

mp3 for download : จิตที่สัมผัสพระนิพพาน มีความสุขมหาศาล

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมย์ : แต่เราชั่วได้มั้ย ชั่วไม่ได้ ทำไมเราชั่วไม่ได้ เพราะเรามีสติ ความชั่วเกิดที่จิต รู้ทันปุ๊บ ความชั่วกระเด็น กลายเป็นดี ก็เห็นอีก จิตปรุงดีก็ทุกข์นะ จิตปรุงชั่วก็ทุกข์อีก เราเฝ้ารู้ไปเรื่อย ถ้าปัญญามันพอนะ จะเห็นเลย ปัญญาเบื้องต้นมันจะเห็นเลยว่า ทุกอย่างเกิดแล้วดับ ปัญญาเบื้องปลายจะเห็นว่า ทุกอย่างนั้นแหละทุกข์ ถ้าเห็นแจ้งทุกข์ จิตจะสลัดคืนกองทุกข์ให้โลก คืนกายคืนใจให้โลกไป

ถ้าจิตเราไม่ยึดถือในรูปนามกายใจนะ จะไม่ยึดถืออะไรในโลกอีกแล้ว จะเป็นอิสระ ใจจะโปร่งโล่งเบา มีความสุขอยู่อย่างนั้นแหละทั้งวันทั้งคืน เข้าถึงความสุขอีกชนิดหนึ่งแล้ว ความสุขที่มหาศาลเลย คือความสุขของพระนิพพาน จิตซึ่งไปสัมผัสพระนิพพาน ก็ได้สัมผัสความสุขของพระนิพพานมา มีความสุขมหาศาล จิตที่สัมผัสพระนิพพานมีความสุข ท่านบอกว่า “นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ” นิพพานเป็นบรมสุข สุขจริงๆ

สุขที่พวกเรารู้จักในวันนี้นะ เล็กน้อยมากเลยนะ ถ้าเทียบกับสุขในธรรมะที่ปราณีตขึ้นเป็นลำดับๆ สุขของเราอย่างนี้เรียกว่า “กามสุข” กินของอร่อยมีความสุข เห็นของสวยๆมีความสุข ได้ยินเสียงไพเราะๆ เสียงชมเสียงอะไรเหล่านี้ มีความสุข นี้เป็นกามสุข กามสุขที่โลกเขาใฝ่หาเนี่ย เล็กน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับฌานสุข ถ้าเราทำฌานทำสมาธิได้ เราจะรู้เลยว่า กามสุขเป็นเรื่องเล็กน้อย สกปรกโสโครก ความสุขของกามเนี่ย คล้ายๆเด็กที่ไร้เดียงสาไปเล่นไส้เดือนกิ้งกือ เล่นของขยะสกปรก เล่นได้หมดเลย ก็มีความสุข เด็กไปเล่นดินเล่นทรายสกปรกนะ ตัวมอมแมมหน้ามอมแมมไปหมด มันมีความสุข เนี่ยกามสุขมันเป็นแบบนั้น

ฌานสุขมันสูงกว่านั้นนะ ฌานสุขมันเป็นสุขที่มันอิ่มมันเต็มมากขึ้น แต่ว่าความสุขในโลกุตตระ ความสุขในพระนิพพานนั้นน่ะ ฌานสุขเทียบไม่ติดเลย ฌานนั้นแหละกลายเป็นตัวทุกข์เลย คนที่ทรงฌานก็จะเห็นว่ากามสุขนั้นเป็นตัวทุกข์ แต่ว่าคนซึ่งเข้าถึงโลกุตตระแล้ว ก็ยังเห็นอีกว่าฌานนั้นแหละเป็นตัวทุกข์ จะเห็นกันเป็นลำดับๆไปนะ คล้ายๆพัฒนาขึ้นไปๆตามสติปัญญาที่แก่กล้าขึ้นไปๆ

ถ้าเราสัมผัสพระนิพพานแล้ว เราจะรู้เลยว่าโลกนี้หาสาระแก่นสารไม่ได้ โลกนี้เหมือนฝัน ความสุขเหมือนกับฝันอยู่เท่านั้นแหละ ไม่ใช่มีของจริงอะไรให้เราดูเลย ความสุขของพระนิพพานนั้นเหมือนกับของจริง มันเหมือนว่าเรากลับบ้านเราได้แล้ว เราเป็นเด็กหลงทางหาทางกลับบ้านไม่เจอ วันนี้เรากลับถึงบ้านได้แล้ว มันมีความสุขนะ เจอพ่อเจอแม่ของเรา คือเจอพระพุทธเจ้า

จิตของเรานั้นแหละ กับพระพุทธเจ้า จะหลอมรวมเป็นสิ่งเดียวกัน จิตของเรากับพระธรรมจะหลอมรวมเข้าเป็นสิ่งเดียวกัน จิตนั้นแหละก็คือตัวพระสงฆ์ พระรัตนตรัยรวมเข้าเป็นหนึ่งที่จิตนั้นเอง ที่จิตที่บริสุทธิ์จิตที่สะอาด จะมีความสุขที่ไม่มีอะไรเหมือน

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๖
File 550701
ระหว่างนาทีที่ ๓๑ วินาทีที่ ๓๘ ถึงนาทีที่ ๓๔ วินาทีที่ ๕๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

รู้สึกตัวบ่อยๆในชีวิตประจำวัน ก็จะเห็นสภาวะเกิดดับได้ไม่ต่างจากจิตที่ออกจากฌาน

mp3 for download : รู้สึกตัวบ่อยๆในชีวิตประจำวัน ก็จะเห็นสภาวะเกิดดับได้ไม่ต่างจากจิตที่ออกจากฌาน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมย์ : เพราะฉะนั้นพวกเราอาศัยสมาธิที่เรามีเล็กๆน้อยๆนี่ล่ะ อย่าดูถูกมัน น้ำหยดทีละหยดก็เต็มตุ่มได้ เราก็มีสมาธิทีละขณะ ทีละขณะ นี่แหละ จิตไหลไปแล้วรู้ทัน จิตไหลไปแล้วรู้ทัน จิตก็จะตั้งขึ้นเป็นขณะ เดี๋ยวก็ไหลใหม่ รู้ใหม่ ไหลใหม่ รู้ใหม่ พอฝึกมากเข้าๆนี่นะ ช่วงที่ไหลไป จะสั้นลงๆ ช่วงที่รู้สึกเนี่ยจะเร็วขึ้นๆ แต่รู้สึกก็ชั่วแว้บเดียวเท่านั้นแหละ

แต่เดิมนะไหลแว้บบบบบบบบ ตั้งแต่เช้ายันเย็น มาหัดรู้หัดดูนะ ไหลไปชั่วโมงหนึ่ง แล้วก็รู้ว่าไหลไปแล้ว (ต่อมา)ไหลไป ๕ นาที แล้วก็รู้ว่าไหลไป (ต่อมา)ไหลไป ๑ นาที รู้ว่าไหลไป ต่อไปจิตขยับกริ๊กก็เห็นแล้ว จิตขยับกริ๊กก็เห็นแล้ว จิตก็ตั้งมั่น

พอเราฝึกจนได้ จิตขยับกริ๊กก็เห็น จิตขยับกริ๊กก็เห็น มันเหมือนๆเราทรงฌานแล้ว ออกจากฌานมา ทำได้สูงสุดก็เท่านี้แหละ ถ้าออกจากฌานมา บางทีก็ทรงตัวตั้งมั่นอยู่ ก็เห็น สภาวะเกิดดับเป็นขณะๆ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๖
File 550701
ระหว่างนาทีที่ ๒๒ วินาทีที่ ๒๑ ถึงนาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๔๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อริยมรรคจะเกิดในอัปนาสมาธิเสมอ

mp3 for download : อริยมรรคจะเกิดในอัปนาสมาธิเสมอ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ตรงที่เห็นความเกิดดับของรูปนาม จนกระทั่งเกิดวิปัสนูฯอะไรอย่างนี้นะ เป็นญาณตัวที่ ๑ นะ วิปัสสนาตัวที่ ๙ อย่าไปกลัวว่ามีหลายตัว เพราะบางคนนะเดินปุ๊บเดียวทะลุ ๙ ตัวเลยนะ บางคนเดินนิดหน่อยนะก็ทะลุไป เกิดความเบื่อ เกิดความเวิ้งว้าง เกิดความกลัวขึ้นมา แทรกขึ้นมาว่าตัวตนหายไป บางทีกระโดดนะ มันผ่านไปอย่างรวดเร็วเลยนะ มันไม่ใช่ไปค้างอยู่นานๆหรอก มีตั้ง ๙ ญาณ ฟังแล้วท้อใจ ญาณที่ ๑ ยังไม่ค่อยจะได้เลย ตั้ง ๙ ญาณเมื่อไหร่จะได้มรรคผล ไม่เป็นอย่างนั้นหรอก

ให้มีสติรู้กายรู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่น และเป็นกลาง มากๆ ในที่สุดแล้วจะเห็นเลยว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเสมอกัน พอสุขทุกข์ดีชั่วเสมอกันนะ พอความสุขเกิดขึ้น จิตก็ไม่ปรุงต่อ คือไม่ปรุงว่าทำอย่างไรจะเกิดบ่อยๆ ทำอย่างไรจะเกิดนานๆ ความทุกข์เกิดขึ้นนะ จิตก็เป็นกลางอีก ไม่ปรุงว่าทำอย่างไรจะหายไป ทำอย่างไรจะไม่เกิด จิตเป็นกลาง

พอจิตเป็นกลางจิตไม่ดิ้นรน จิตที่หมดความดิ้นรนนั้นน่ะ จะรวมเข้ากับอัปนาสมาธิ รวมเองเลยคราวนี้ แล้วอริยมรรคจะเกิดขึ้นในอัปนาสมาธิ อริยมรรคไม่เกิดในจิตของมนุษย์ธรรมดาอย่างนี้ จะต้องรวมเข้าอัปนาฯเสมอไป ตั้งแต่ฌานที่ ๑ แต่ถ้าคนไหนรวมเข้าถึงอรูปฌานนะ พวกนี้จะหลุดพ้นด้วยสิ่งที่เรียกว่า อุภโตภาควิมุตติ ถ้าถึงอรูปฯ ส่วนใหญ่ไม่ถึงอรูปฯ เข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน ฌาน ๓ ฌาน ๔ อะไรอย่างนี้นะ แล้วก็ตัดกิเลสลงไป


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันอาทิตย์ ที่ ๑๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔

CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๑
ไฟล์ 540710
ระหว่างนาทีที่ ๒๗ วินาทีที่ ๒๑ ถึง นาทีที่ ๓๐ วินาทีที่ ๕๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อรหันตผล เข้าถึงได้แม้จะไม่ใช่ผู้ทรงฌาน

mp3 for download : อรหันตผล เข้าถึงได้แม้จะไม่ใช่ผู้ทรงฌาน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : คนที่เข้าฌานได้มีน้อยกว่าคนที่เข้างฌานไม่ได้ตั้งแต่พุทธกาลแล้ว กระทั่งพระอรหันต์นะที่ชำนาญในเรื่องสมาธิ ก็มีน้อยกว่าพระอรหันต์วิปัสสกะที่ไม่ชำนาญเรื่องสมาธิ

ในพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ในสมัยพุทธกาลนั้น มีพระอรหันต์ที่ได้วิชาสาม ระลึกชาติได้ รู้การจุติ-อุบัติของสัตว์ ใครตายแล้วไปเกิดที่ไหนรู้หมดเลย แล้วล้างกิเลสได้ นี่เรียกว่าวิชาสามอย่าง วิชาสามได้ขึ้นมาก็ต้องมีสมาธิหนุนหลัง พวกนี้มีฌานหนุนหลัง

พระอรหันต์อีก ๖๐ องค์ จาก ๕๐๐ ได้อภิญญา๖ อภิญญา ๖ ก็ต้องได้สมาธิเชี่ยวชาญเลย ต้องถึงอัปนาเลยนะ เชี่ยวชาญ มีวสีด้วย จนเกิดอภิญญาจิตขึ้นได้

พระอรหันต์อีก ๖๐ องค์นะ ได้ อุภโตภาควิมุตติ อุภโตภาควิมุตติเนี่ยไม่ได้แปลว่า บรรลุด้วยสมาธิและปัญญา อันนั้นแปลแบบคร่าวๆไป ถ้าแปลโดยละเอียด อุภโตภาควิมุตติคือ หลุดโดยส่วนทั้งสอง คือหลุดจากรูปธรรมและนามธรรม พระอรหันต์อุภโตภาควิมุตติเนี่ย ท่านได้อรูปฌาน หลุดจากรูปธรรมด้วยอรูปฌาน หลุดจากนามธรรมด้วยวิปัสสนา เพราะฉะนั้นท่านหลุดโดยส่วนสอง คือเป็นพวกที่ได้อรูป(ฌาน)ด้วย และก็เดินวิปัสสนาเก่งด้วย พวกนี้มี ๖๐ องค์ จาก ๕๐๐ เหมือนกัน

เพราะฉะนั้นรวมแล้ว ๑๘๐ นะ วิชาสาม อภิญญาหก อุภโตภาคฯ อีก ๖๐ อย่างละ ๖๐ ๆ รวมเป็น ๑๘๐ เหลืออีก ๓๒๐ คือพระสุกขวิปัสกะ คนส่วนใหญ่ไม่ได้ได้ฌานนะ ที่บรรลุมรรคผลนิพพานกัน ไม่ได้ได้ฌานหรอก ภาวนาอย่างที่พวกเราดูนี่่แหละ เจริญสติไป แต่ว่ามีจิตตั้งมั่นขึ้นมาเป็นขณะๆ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันอาทิตย์ ที่ ๑๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔

CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๑
ไฟล์ 540710
ระหว่างนาทีที่ ๑๔ วินาทีที่ ๓๓ ถึง นาทีที่ ๑๖ วินาทีที่ ๓๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

มรรค ผล นิพพาน ไม่ได้จำกัดให้เฉพาะผู้ทรงฌาน

มรรค ผล นิพพาน ไม่ได้จำกัดให้เฉพาะผู้ทรงฌาน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : เนี่ยเราหัดดูเรื่อยนะ หัดดูไป สำหรับคนที่ทำฌานไม่ได้นะ มรรคผลนิพพานไม่ใช่ของผูกขาดสำหรับผู้ทำฌานนะ คนละเรื่องกันเลย เข้าฌานอย่างเดียวไม่เจริญวิปัสสนา ก็ไม่ได้มรรคผลหรอก

เพราะฉะนั้นถ้าเราเข้าฌานไม่ได้ก็ไม่ต้องน้อยใจว่าอาภัพเหลือเกิน บางคนไปสอนกันบอกว่า ต้องทำฌานให้ได้ก่อนถึงจะเจริญปัญญาได้ เป็นการสอนเกินพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้น คิดเอาเอง

เพราะฉะนั้นถ้าเราทำฌานไม่ได้นะ เราก็ทำกรรมฐานขึ้นมาสักอย่างหนึ่ง แล้วคอยรู้ทันจิตที่ฟุ้งซ่าน-จิตที่หนีไปคิด รู้บ่อยๆ พอรู้บ่อยเนี่ย ตัวรู้จะค่อยเด่นขึ้นๆ ต่อไปพอเผลอตัวนิดเดียว ตัวรู้ดีดขึ้นมาเลย พอเผลอปุ๊บ-รู้ทัน ตัวรู้ก็ดีดขึ้นมาเลย ขึ้นมาเองเลย

พอได้ตัวรู้แล้ว ก็ให้ตาหูจมูกลิ้นกายใจกระทบอารมณ์ไปตามธรรมชาติธรรมดา กระทบแล้วไม่ตรึงจิตให้นิ่ง ให้จิตเกิดความรู้สึกไปตามธรรมชาติธรรมดา เห็นคนนี้กับเห็นคนนี้ ไม่จำเป็นต้องเท่าเทียมกันในความรู้สึก เห็นคนนี้ชอบ รู้ว่าชอบ เห็นคนนี้เกลียด รู้ว่าเกลียด ไม่ใช่เห็นทุกคนเสมอกัน (การเห็นทุกคนเสมอกัน)อันนั้นเป็นผลของการปฏิบัติ เราไม่ใช่พระอรหันต์

พระอรหันต์ท่านเห็นใครๆก็เหมือนๆกันหมดนะ ไม่ได้แตกต่าง ไม่ได้รู้สึกอะไร เห็นหมาเห็นคนก็เหมือนกัน เห็นนางงามจักรวาลกับหมาขี้เรื้อนๆก็เท่าๆกันน่ะ ไม่ได้รู้สึกต่างกัน แต่ของเรายังต่าง เราไม่ห้ามมัน เห็นอย่างนี้ชอบ เห็นอย่างนี้เกลียด เห็นอย่างนี้รัก เห็นอย่างนี้กลัว รู้ทันไปเรื่อย

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันศุกร์ ที่ ๒๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๕
ไฟล์ 550525B
ระหว่างนาทีที่ ๑๒ วินาทีที่ ๑ ถึง นาทีที่ ๑๓ วินาทีที่ ๓๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ดูจิต เหมาะกับคนที่ไม่ทรงฌาน

mp3 for download : ดูจิต เหมาะกับคนที่ไม่ทรงฌาน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : การดูจิตและธรรมานุปัสสนานี้ เหมาะกับวิปัสสนายานิก เดินปัญญาไปเลย สมาธิเกิดทีหลัง แต่ก็ต้องอาศัยสมาธิ เพียงแต่เป็นสมาธิในระดับขณิกสมาธิ ไม่ถึงฌาน

ขณิกสมาธิคือความตั้งมั่น(ของจิต)ชั่วขณะ ความตั้งมั่นชั่วขณะเป็นอย่างไร ความตั้งมั่นชั่วขณะก็คือ ในภาวะที่จิตกำลังหลงไปไหลไปแล้วเรามีสติรู้ทันจิตที่ไหลไป โดยเฉพาะไหลไปคิด ถ้าเรารู้ว่าจิตไหลไปคิด มีสติรู้ทันปั๊บ การไหลไปจะขาดสะบั้นในทันทีเลย และความไหลไปความหลงไปคิดนะ เป็นความฟุ้งซ่าน จิตมันฟุ้งซ่าน ทันทีที่สติระลึกรู้ความฟุ้งซ่านนะ ความฟุ้งซ่านดับอัตโนมัติ ก็จะเกิดจิตผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานขึ้นมา

ใหม่ๆพอรู้ตัวแว้บขึ้นมายังทำอะไรไม่เป็นนะ มันจะหายไป แล้วหนีไปคิดอีก รู้อีก หนีไปคิดอีก รู้อีก ฝึกตรงนี้ให้ชำนาญเลย ในที่สุดสมาธิที่เป็นขณิกะที่ว่าทีละขณะๆ จะเกิดถี่ขึ้นๆ เมื่อมันถี่มากๆนะ มันเหมือนจะทรงตัวอยู่ได้ ความจริงมันไม่ได้ทรงตัวแต่มันเกิดดับอย่างรวดเร็ว แต่มันเกิดดับต่อเนื่องกันแล้วมันเหมือนเดิม มันเป็นตัวรู้ ตัวรู้ๆ ทีละขณะ มันจึงเหมือนทรงตัวเด่นอยู่ได้ มีช่วงเวลาที่ยาวขึ้นแล้วที่จะรู้สึกตัวได้

ถ้ารู้สึกตัวได้อย่างนี้นะ ดูความเปลี่ยนแปลงของจิตไป เดี๋ยวก็เป็นจิตรู้ เดี๋ยวก็เป็นจิตหลง เดี๋ยวเป็นจิตรู้ เดี๋ยวเป็นจิตคิด เดี๋ยวเป็นจิตรู้ เดี๋ยวเป็นจิตเพ่ง เนี่ยจิตเกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดดับ เพราะฉะนั้นจิตตานุปัสสนาเนี่ย ไม่ได้เหมาะกับพวกที่ทรงฌานมาก่อนนะ เพราะถ้าหากทรงฌานมาก่อน มันจะไม่มีความเปลี่ยนแปลงของจิตให้ดู มันจะนิ่งๆ อาศัยอย่างพวกเรานี่แหละ ก็ต้องอาศัยการดูจิตไป แต่ว่าเราต้องมาฝึกให้ได้จิตที่รู้สึกตัวก่อน จิตที่มีตัวรู้ทีละขณะๆ แต่ฝึกบ่อยๆ

วิธีฝึก ให้เกิดตัวรู้เป็นขณะๆบ่อยๆ ก็คือทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง พุทโธก็ได้ หายใจก็ได้ ดูท้องพองยุบก็ได้ ทำจังหวะก็ได้นะ ขยับมือทำจังหวะ ถ้าจังหวะอย่างหลวงพ่อเทียนเราไม่ชอบ เราคิดจังหวะของเราเองก็ได้ หลวงพ่อไม่ได้ทำอย่างหลวงพ่อเทียน

หลวงพ่อเป็นโทสจริต ใจร้อน หลวงพ่อทำแค่นี้เองนะ อากาศร้อน หลวงพ่อทำกรรมฐานอย่างนี้ ร่างกายเคลื่อนไหวรู้สึก พัดไป แหม..มันสบายใจ มีความสุขขึ้นมา รู้ว่าสบายใจ พัดไปพัดมา ฮึ แมลงวันมาอีกแล้ว อ๊ะ โมโหแล้วนะ โมโหแล้ว รู้ทันใจที่โมโห ตีขู่ ตีขู่มันนะ อย่าไปโดนตัวมัน บาป…

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันศุกร์ ที่ ๒๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

CD สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๕
ไฟล์ 550525B
ระหว่างนาที่ ๕ วินาทีที่ ๕๐ ถึง นาทีที่ ๘ วินาทีที่ ๔๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

วิปัสสนาสำหรับผู้ทรงฌาน

mp3 for download : วิปัสสนาสำหรับผู้ทรงฌาน

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : จุดสำคัญของการปฏิบัติ ในตำรายังมีอยู่ ยังใช้ได้ดีเลย ทำยังไงจะทำให้จิตสงบ ในตำราสอนเอาไว้ตั้ง ๔๐ วิธี สอนเอาไว้ให้ละเอียด ทำยังไงจะเจริญปัญญา รู้กายรู้แบบไหน รู้เวทนาจะรู้ยังไง มีเงื่อนไขอะไร

ดูกายและเวทนาเนี่ย เหมาะกับสถยานิก เหมาะกับคนเล่นฌานถ้าไม่ได้เล่นฌานแล้วไปดูกาย ไปดูท้องพองยุบนะ ไม่เคยทำฌาน ไปดูท้องพองยุบ จะกลายไปเป็นเพ่งท้องเฉยๆ ขึ้นวิปัสสนาไม่ได้

จะดูกายได้จิตต้องตั้งไม่ ทรงฌานได้ดีที่สุด ฌานที่ ๑ ก็ยังไม่พอ ต้องฌานที่ ๒ ถึงจะดี ๒-๓ ขึ้นเนี่ย เพราะฌานที่ ๒ จิตไม่เคล้ากับอารมณ์แล้ว ละวิตกละวิจารณ์ วิตกเป็นการตรึกในอารมณ์ วิจารณ์เป็นการเคล้าเคลียอยู่ในอารมณ์ จิตยังไหลไปเคล้าอยู่กับอารมณ์อยู่

พอละวิตกวิจารณ์ขึ้นฌานที่ ๒ เนี่ยนะ จิตไม่เคล้าเคลียกับอารมณ์ จิตดีดตัวออกมาเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน เนี่ยมีเอโกทิภาวะ พอจิตได้เอโกทิภาวะแล้วออกจากสมาธิ ออกจากฌานมา ตัวนี้ยังเด่นดวงอยู่ อยู่ได้นานไม่เกิน ๗ วัน แต่อยู่ได้นาน ไม่เหมือนขณิกสมาธินะ แว้บๆ แว้บๆ ก็ดับแล้ว

พอจิตเป็นผู้ออกมาเนี่ย เห็น ไปดูจิตนะ จิตจะนิ่งๆไม่มีอะไรให้ดู ต้องดูกาย ดูเวทนาในกาย หรือดูเวทนาทางใจ เช่นจิตที่ทรงฌานเนี่ย เดี๋ยวมันก็สุขเดี๋ยวมันก็อุเบกขา พลิกไปพลิกมา แสดงไตรลักษณ์ได้ หรือดูเวทนาทางกายก็ได้ ดูร่างกายก็ได้ จิตเป็นผู้รู้ผู้ดูอยู่ เห็นเลยร่างกายไม่ใช่ตัวเรา

แต่ดูจิตตสังขารยาก เพราะอารมณ์มันละเอียด อารมณ์มันปราณีต ไม่มีของหยาบให้ดูเลย สงบ มีความสุข สบาย แน่วอยู่อย่างนั้นเอง จิตเหมือนจะเที่ยงนะ เพราะจะดูกายให้ทำสมาธิก่อน แล้วเห็นกายมันทำงาน เห็นเวทนามันทำงาน กายและเวทนาจึงเหมาะกับคนทำฌาน เหมาะกับสมถยานิก


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

file : 550525B
ระหว่างนาที่ที่ ๓ วินาทีที่ ๒๕ ถึง นาทีที่ ๕ วินาทีที่ ๔๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ศีล สมาธิ ปัญญา ในองค์มรรค (๑๐) ขณิกสมาธิ

mp 3 (for download) : ศีล สมาธิ ปัญญา ในองค์มรรค (๑๐) ขณิกสมาธิ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ศรีราชา ชลบุรี
เอื้อเฟื้อภาพโดย บ้านจิตสบาย

หลวงพ่อปราโมทย์ : ท่านอธิบายตัวสัมมาสมาธิเนี่ย ท่านถึงไปอธิบายด้วยฌาน แต่ในขั้นการปฏิบัติเนี่ย ขั้นบุพภาคมรรค ขั้นเบื้องต้นของมรรค มรรคเบื้องต้น ยังไม่ใช่อริยมรรคเนี่ย ไม่จำเป็น ไม่จำเป็นว่าจะต้องเกิดอัปปนาสมาธิ

ถ้าเราไม่มีอัปปนาสมาธิ ทำอัปปนาสมาธิไม่ได้ เราใช้ขณิกสมาธินี่แหล่ะ สมาธิเป็นขณะๆ คอยรู้ทัน จิตมันฟุ้งซ่านไป คอยรู้ทัน จิตมันฟุ้งซ่านไป คอยรู้ทัน รู้บ่อยๆนะ มันจะได้สมาธิเป็นขณะๆ เพราะในขณะที่รู้ทันว่าฟุ้งซ่านจะไม่ฟุ้งซ่าน ในขณะที่ไม่ฟุ้งซ่าน ขณะนั้นแหล่ะมีสมาธิ นั่นได้เป็นขณะๆไป

งั้นบางทีหลวงพ่อบอกพวกเรานะ เผลอไปแล้วรู้ เผลอไปแล้วรู้ เผลอไปนั่นคืออะไร คือจิตฟุ้งซ่านนั่นเอง เพราะงั้นจิตฟุ้งซ่านไปแล้วรู้ทัน จิตฟุ้งซ่านไปรู้ทัน ก็จะรู้สึกตัวขึ้นมา ใจมันจะอยู่กับเนื้อกับตัว งั้นสัมมาสมาธิในขั้นของการปฏิบัติ กับในขั้นของการเกิดอริยมรรคเนี่ย คนละอย่างกันนะ ในขั้นของการเกิดอริยมรรคเนี่ย จิตเข้าอัปปนาสมาธิแล้วก็ไปตัดกิเลส ตัดสังโยชน์กันในองค์มรรค ในขณะที่ทรงฌาน ส่วนสัมมาสมาธิในขณะที่ใช้ชีวิตธรรมดาเนี่ย จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว

ทำอัปปนาสมาธิได้มั้ย ทำได้ แต่ทำเพื่อพักผ่อน ไม่ใช่ทำเพื่อให้เกิดอริยมรรค ทำเพื่อพักผ่อนเท่านั้นอัปปนาสมาธิ แต่บางคนชำนาญในการดูจิตจริงๆ เมื่อเข้าอัปปนาสมาธิแล้ว ยังดูจิตต่อได้อีก อันนี้พวกที่ชำนาญในการดูจิตด้วยชำนาญในฌานด้วย ซึ่งหายากนะ มีไม่กี่คนหรอก ส่วนใหญ่ทำไม่ได้

เราใช้ขณิกสมาธิอยู่เป็นขณะๆนี้ ใจลอยไปแล้วรู้ ใจฟุ้งซ่านไปแล้วรู้ ใจฟุ้งไปแล้วรู้ รู้อย่างนี้เรื่อยนะ ใจจะตั้งมั่นขึ้นมา สมาธิชนิดนี้คือความตั้งมั่น คือพูดภาษาไทยง่ายๆนะ คือจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว จิตใจไม่ลืมเนื้อลืมตัว จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวนะ

ถัดจากนั้นเรามาเดินสติปัฏฐานที่ให้เกิดปัญญา


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ที่สวนสันติธรรม
เมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓ ก่อนฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๔
Track: ๑๒
File: 530425A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๑ วินาทีที่ ๒๙ ถึง นาทีที่ ๒๓ วินาทีที่ ๓๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ศีล สมาธิ ปัญญา ในองค์มรรค (๙) สัมมาสมาธิแท้ๆเกิดตอนที่เกิดอริยมรรค

mp 3 (for download) : ศีล สมาธิ ปัญญา ในองค์มรรค (๙) สัมมาสมาธิแท้ๆเกิดตอนที่เกิดอริยมรรค

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ศรีราชา ชลบุรี
เอื้อเฟื้อภาพโดย บ้านจิตสบาย

หลวงพ่อปราโมทย์  : >สติปัฏฐานเนี่ย เบื้องต้นทำให้มีสติ เบื้องปลายจะมีปัญญา

แต่ก่อนจะเกิดปัญญา ต้องมาเรียนสัมมาสมาธิก่อน สัมมาสมาธิพระพุทธเจ้าอธิบายสัมมาสมาธิด้วยฌาน ๔ ทำไมเอาแค่ฌาน ๔ แล้วอรูปฌานอีก ๔ หายไปไหน อรูปฌาน ๔ นั้นสงเคราะห์เข้าในฌานที่ ๔ เพราะมีองค์ธรรมเท่ากัน มีอุเบกขากับเอกัคคตา เป็นองค์ธรรมหลักคืออุเบกขากับเอกัคคตา งั้นสรุปก็คือฌาน ๘ นั่นเอง

แต่ถ้าพูดอย่างปริยัติ ท่านอธิบายด้วยฌาน ๔ ทำไมต้องเป็นฌาน ถ้าไม่เข้าฌาน ไม่เป็นสัมมาสมาธิรึ ท่านอธิบายฌาน ๔ สัมมาสมาธิด้วยฌาน ๔ เนี่ย เพราะท่านพูดถึงสัมมาสมาธิแท้ๆ สัมมาสมาธิแท้ๆเกิดขณะเดียว ในขณะที่เกิดอริยมรรค เกิดขณะจิตเดียวนั่นแหล่ะ

เพราะงั้นที่บอกว่าองค์มรรคๆ ๘ ตัวนี่นะ ไม่ได้เกิดรายวัน แต่องค์มรรคแท้ๆเนี่ย เกิดในขณะที่เกิดอริยมรรค เพราะงั้นขณะที่พวกเรามีสติอยู่ทุกวันเนี่ย บางคนก็บอกเป็นสัมมาสติ อันนั้นเรียกเอาหน้าเท่านั้นเอง จริงๆไม่เป็น ที่บอกเรามีสัมมาสมาธิอยู่ มีใจตั้งมั่นอยู่กับเนื้อกับตัว นี่เรียกโดยอนุโลม จริงๆยังไม่ใช่สัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิแท้ๆเกิดตอนที่เกิดอริยมรรค

แล้วขณะที่เกิดอริยมรรคนั้น จะต้องเกิดร่วมกับองค์ฌานอันใดอันหนึ่ง ต้องเกิดกับฌานขั้นใดขั้นหนึ่ง อย่างน้อยปฐมฌานจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ จนถึงฌานที่ ๔ บางคนลึกซึ้งลงไปกว่านั้นอีก ในฌานที่ ๔ นั้นรูปหายไป เหลือแต่นามธรรมล้วนๆ เข้าไปอรูปฌาน

งั้นท่านอธิบายตัวสัมมาสมาธิเนี่ย ท่านถึงไปอธิบายด้วยฌาน แต่ในขั้นการปฏิบัติเนี่ย ขั้นบุพภาคมรรค ขั้นเบื้องต้นของมรรค มรรคเบื้องต้น ยังไม่ใช่อริยมรรคเนี่ย ไม่จำเป็น ไม่จำเป็นว่าจะต้องเกิดอัปปนาสมาธิ ถ้าเราไม่มีอัปปนาสมาธิ ทำอัปปนาสมาธิไม่ได้ เราใช้ขณิกสมาธินี่แหล่ะ สมาธิเป็นขณะๆ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
เมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓ ก่อนฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๔
Track: ๑๒
File: 530425A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๙ วินาทีที่ ๔๕ ถึง นาทีที่ ๒๑ วินาทีที่ ๕๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ความสุขมีหลายระดับ

mp 3 (for download) : ความสุขมีหลายระดับ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ความสุขมันมีหลายระดับ กินของอร่อยก็มีความสุข ดูของสวยของงามก็มีความสุข อันนี้เรียกว่ากามสุข กามสุขเนี่ยคนในโลกเค้าแสวงหากัน

ทีนี้นักปฏิบัติถ้าทำความสงบจิตได้เนี่ย เรียกฌานสุข มีความสุขของการทำสมาธิ เรียกฌานสุข คนที่ได้ฌานสุขแล้วจะรู้เลยว่า กามสุขเนี่ยเป็นเรื่องเด็ก เหมือนหนอนกินอุจจาระ หนอนเค้าก็อร่อยของเค้านะ แต่ให้คนไปกิน ไม่กินหรอก จิตของคนที่เข้าฌานได้ จะรู้เลยว่าความสุขของกาม ของรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสอะไรนี่ กระจอกมากเลย

แล้วมีความสุขอีกชนิดนึง เรียกว่าโลกุตรสุข เลยฌานสุขไปอีกนะ คนที่เข้าถึงโลกุตรสุขจะรู้เลยว่า ฌานสุขเป็นทุกข์ ที่ว่าจิตเข้าฌานมีความสุขมากๆนะ ในความเป็นจริงแล้วเป็นภพๆนึง เป็นทุกข์

งั้นความสุขมีเป็นขั้นๆไป ถ้าเรายังหลงโลกอยู่ เราก็มาทำใจให้สงบบ้างนะ แล้วมาเจริญปัญญา เราก็มีความสุขที่ปราณีตขึ้นไปเรื่อยๆ จนมันแจ้งความจริงของกายของใจ ปล่อยวางกายวางใจได้ ก็สัมผัสความสุขที่ยิ่งใหญ่ ไม่มีอะไรเหมือนเลย ความสุขที่มันเต็ม มันอิ่มอยู่ในตัวเองทั้งวันทั้งคืน


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่บ้านเนินแสนสุข จ.ชลุบรี
เมื่อวันพุธที่ ๘ เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

CD: บ้านเนินแสนสุข จ.ชลบุรี วันพุธที่ ๘ เดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๕
File: 550808
ระหว่างนาทีที่ ๒๔ วินาทีที่ ๕๑ ถึง นาทีที่ ๒๖ วินาทีที่ ๑๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

สมาธิมี ๒ ชนิด ความตั้งมั่นมี ๓ ระดับ

mp 3 (for download) : สมาธิมี ๒ ชนิด ความตั้งมั่นมี ๓ ระดับ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : จุดที่แตกหักจุดแรกเลย ว่าชาตินี้จะมีโอกาสได้มรรคผลนิพพานหรือไม่ ถ้าจิตมีแต่ความสงบนะ ไม่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่สามารถเจริญปัญญาได้จริง มรรคผลนิพพานนะเป็นเรื่องฝันเอาเลย ไม่มีทาง อันนี้ครูบาอาจารย์แต่ก่อนก็สอนไว้ แต่คนลืมไป

หลวงปู่เทศก์ท่านสอนสมาธิ ๒ ชนิด หลวงปู่เทศก์สมัยที่ท่านภาวนา ท่านเคยติดสมาธิอยู่สิบกว่าปี สิบสองสิบสามปี ใครก็แก้ให้ท่านไม่ได้ ขนาดท่านอาจารย์สิงห์ก็แก้ให้ท่านไม่ได้ ต้องไปหาหลวงปู่มั่น ตามไปทางเหนือ หลวงปู่มั่นแก้ให้ได้ การที่ท่านติดสมาธิอยู่นาน ทำให้ท่านแตกฉานเรื่องสมาธิมากเลย ท่านสามารถแยกสมาธิออกเป็น ๒ ส่วนได้ สมมติบัญญัติของท่าน ท่านเรียกว่าฌานอันนึง เรียกว่าสมาธิอันนึง

ฌานเนี่ยเป็นการเพ่งอารมณ์ ให้จิตนิ่งอยู่ในอารมณ์อันเดียว นิ่งๆ สมาธิเป็นความตั้งมั่นของจิต ให้้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานขึ้นมา ถ้าตั้งมั่นก็มี ๓ ระดับ ระดับตั้งมั่นชั่วขณะเป็น”ขณิกสมาธิ” ตั้งมั่นยาวหน่อยเป็น”อุปจารสมาธิ” ตั้งมั่นลึกเลยก็ยังตั้งมั่นอยู่ในฌานเป็น”อัปปนาสมาธิ” ท่านอธิบายตัวสัมมาสมาธิตัวสมาธิที่ถูกต้องเนี่ย ท่านแยกเป็น “ขณิกสมาธิ” “อุปจารสมาธิ” “อัปปนาสมาธิ” ส่วนการเพ่งให้จิตหลบในนิ่งๆอยู่ท่านแยก ๓ ส่วน มีอย่างละ ๓ เหมือนกัน

ไม่มีใครสอนนะเรื่องเหล่านี้ แต่ท่านไปยืมศัพท์ของทางอภิธรรมมาใช้ ว่าการเพ่งแบบนึงเนี่ย ท่านเรียกภวังคุบาท จิตรวมลงไปวูบเดียวแล้วก็ถอนขึ้นมาเลย วูบนึงหมดสติไปงั้น วูบลงไปแล้วถอนขึ้นมา อันนึงท่านเรียกภวังคจารณะ มันไหลลงไปแล้วมันไปเคลื่อนๆอยู่ข้างใน สติอ่อนจิตอ่อน มันเคลื่อนอยู่ข้างในจิตไม่ตั้งมั่น ท่านเรียกภวังคจารณะ อีกอันนึงท่านเรียกภวังคุบาท ดับไปเลย อันนี้ท่านไปยืมศัพท์ทางอภิธรรมมาใช้นะ คือเจ้าของศัพท์เค้าจะยอมรับไม่ได้เพราะว่าเค้าแปลไม่ตรงกับท่าน แต่ว่ามันเห็นเลยว่า ความแตกฉานของท่านมีมากในเรื่องสมาธิเนี่ย เก่งจริงๆ

แล้วท่านก็พบว่าจิตก็มี ๒ แบบ จิตอันนึงเป็นผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง ผู้แต่ง จิตอันนึงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ท่านก็มีศัพท์เฉพาะ ยืมศัพท์มาใช้อีกแล้ว จิตที่เป็นผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง ผู้แต่ง ท่านเรียกว่า”จิต” อันนี้เอาไปทำวิปัสสนาไม่ได้ จิตที่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ท่านเรียกว่า”ใจ” ท่านบอกว่าจิตอันใดใจอันนั้น ก็เป็นตัวรู้เหมือนกัน แต่ตัวรู้นึงมันเข้าไปคลุกอารมณ์ ไปหลงอารมณ์ ตัวรู้อันนึงที่เป็นใจ ตั้งมั่นขึ้นมาเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ทรงสมาธิอยู่

นี่ท่านสอนมาก่อนหลวงพ่อนะ แต่ว่าภาษาท่านคนรุ่นโน้นก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก เพราะท่านพูดเรื่องนี้ขึ้นมาในท่ามกลางวงกรรมฐาน ซึ่งมีแต่เรื่องพุทโธพิจารณากาย คนก็นึกว่าท่านภาวนาไม่เป็นซะด้วยซ้ำไป ที่จริงท่านก็ภาวนาเก่ง

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๕ หลังฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๔
Track: ๑๗
File: 550317.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑ วินาทีที่ ๒๑ ถึง นาทีที่ ๕ วินาทีที่ ๒๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางวิปัสสนา (๒๓) ถ้ามีเหตุขันธ์ก็เกิดสืบทอดไป ถ้าไม่มีเหตุขันธ์ก็ไม่เกิดสืบทอดไป

mp3 for download : ทางวิปัสสนา (๒๓) ถ้ามีเหตุขันธ์ก็เกิดสืบทอดไป ถ้าไม่มีเหตุขันธ์ก็ไม่เกิดสืบทอดไป

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทางวิปัสสนา

ทางวิปัสสนา

โยม : นมัสการหลวงพ่อครับ ผมส่งการบ้านมาหลายครั้ง ก็ยังตื่นเต้นอยู่เหมือนเดิม ความตื่นเต้นมานี่ มันยังไม่หายเลยครับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ห้ามมันไม่ได้หรอก จิตมันเป็นอนัตตา

โยม : ทีนี้ การปฏิบัติที่จะมาส่งก็คือ เวลาผมทำสมาธิ แล้วผมก็สังเกตไปเรื่อยๆ ว่าอะไรปรากฎก็รู้มันๆ ทีนี้สักพักหนึ่ง มันไม่มีอะไรปรากฎ มันเงียบๆ

หลวงพ่อปราโมทย์ : เงียบปรากฎล่ะ

โยม : ใช่ๆครับ ความเงียบปรากฎ ตรงนี้ ผมเคยถกกับคุณหมอท่านหนึ่ง คุณหมอบอกว่าจิตสงบแล้ว ผมบอกว่า คิดเรื่องเงียบ ผมมีความรู้สึกว่าคิดเรื่องเงียบอยู่

หลวงพ่อปราโมทย์ : เงียบปรากฎนะ

โยม : แล้วความเงียบ ผมก็ดูต่อไป ดูไปแล้วก็ไม่เงียบอีกแล้ว

หลวงพ่อปราโมทย์ : ใช่ มันก็ไม่เที่ยง

โยม : แต่มันก็นานพอสมควร คือ ถ้ามันเป็นอย่างนี้บ่อยๆ เวลาที่มันเงียบ มันจะยิ่งนานขึ้นๆ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ก็ออกจากสมาธิแล้ว อยู่ในโลก ก็เจริญสติในชีวิตประจำวันให้มาก เท่านั้นแหละ

โยม : คราวนี้เวลาออกจากสมาธิน่ะครับ แล้วมีสติอัตโนมัติขึ้นมา เวลาที่สติอัตโนมัติค้างอยู่ มันรู้สึกได้ว่านานกว่าเดิม

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าจิตทำสมาธินะ จิตที่ทรงฌานเนี่ย สติอัตโนมัติจะอยู่นาน

โยม : อย่างนั้นเรียกว่าฌานหรือครับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าจิตเข้าไปอยู่ในความนิ่ง ความว่าง ความไม่มีอะไร รู้เนื้อรู้ตัวอยู่ ก็เข้าสมาธิที่ละเอียดเข้าไปแล้วล่ะ

โยม : อีก ๒ ประเด็นนะครับ คือเวลา อย่างเหตุการณ์เมื่อคืนนี้เอง ขณะที่กำลังทำงานอยู่แล้วมันหงุดหงิดขึ้นมา ก็ดูมันไป สังเกตไปเรื่อยๆ ปรากฎว่า ความหงุดหงิดหายไปแล้ว แต่มันยังร้อนอยู่

หลวงพ่อปราโมทย์ : อื้อ.. วิบาก กิเลส กิเลสเกิดนะ จิตก็กระทำกรรม จิตกระทำกรรมก็ต้องมีวิบาก ตรงหงุดหงิดนะก็เป็นกิเลส แล้วผลักดันให้จิตเราดิ้นรน ก็ต้องรับวิบากอีกช่วงแหละ

โยม : สภาพที่แยกธาตุแยกขันธ์อย่างนั้น ใช่มั้ยครับ แต่มัน มันไม่ได้แยกได้ตลอดเวลา

หลวงพ่อปราโมทย์ : ไม่เป็นไร เวลาเราทำความสงบเนี่ย ไม่ต้องแยกธาตุแยกขันธ์ เวลาเผลอ ไม่ได้แยกธาตุแยกขันธ์ เวลาที่จิตตั้งมั่น เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานนะ ก็แยกธาตุแยกขันธ์ได้ มันไม่ได้เป็นตลอดนะ

โยม : ในระหว่างที่ผมกำลังสังเกต ความหงุดหงิด ผมรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่าง รู้สึกว่า มีเรา(หลวงพ่อปราโมทย์ : อื้อ..)กำลังดูมันอยู่(หลวงพ่อปราโมทย์ : อื้อ..)

หลวงพ่อปราโมทย์ : ดีที่เห็นนะ แสดงว่ายังไม่ใช่พระโสดาบัน ถ้าเป็นพระโสดาบันจะเห็นว่า ธรรมชาติรู้เป็นคนดูอยู่ ไม่ใช่เราดูละ

โยม : แต่ว่าเราไม่ได้มีอยู่ตลอดเวลา

หลวงพ่อปาโมทย์ : ไม่อยู่ตลอด

โยม : เวลาผมเผลอ เราหายไป

หลวงพ่อปราโมทย์ : เออ.. สักกายทิฎฐิก็ไม่เที่ยงเหมือนกัน ความเห็นว่าเป็นเรา เป็นชั่วคราว เกิดเป็นคราวๆ

โยม : ผมขออีกนิดนะครับ คือ เวลาที่เรานอนหลับสนิท แล้วตื่นขึ้นมา ก็รู้สึกว่าโลกปรากฎ ทีนี้ตอนหลับสนิท สนิทจริงๆครับ ไม่มี ตรงนี้ ตรงกับที่ผมศึกษา คือว่า ตรงนี้ขออนุญาตนิดนึงครับ คือ ผมเคยอ่านเจอในพระอภิธรรมว่า เทวดาถามพระพุทธเจ้าว่า โลกมีอะไรนำไป โลกปรากฎได้อย่างไร ผมเข้าใจความหมายทำนองนี้ ใช่มั้ยครับ ผมเข้าใจถูกแล้ว? อีกอันหนึ่งนะครับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : หา ทำไมเยอะนักล่ะ คนอื่นเขาจะประท้วงหรือเปล่า หือ..

โยม : ครับ ต้องขอโทษด้วยครับว่า ผม.. ต้อง.. ให้ความรู้กับเพื่อนที่ปฏิบัติธรรมด้วยกัน ป้องกันไม่ให้เกิดมิจฉาทิฎฐิ คือเมื่อกี๊ผมฟังที่หลวงพ่อพูดตอนเริ่มต้น บอกว่า ถ้าเราไปมั่นใจว่าตายแล้วเกิด เป็นมิจฉาทิฎฐิ ตรงนี้หมายความว่า เราต้องมั่นใจว่า ไม่มีพระอรหันต์ใช่มั้ยครับ ถึงจะเรียกว่าไม่เป็นมิฉาทิฎฐิ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ไม่ใช่ พวกเราตอนนี้ต้องคิดว่ามีพระอรหันต์ไว้ก่อน แต่พระอรหันต์ท่านไม่ได้คิดว่าท่านเป็นพระอรหันต์หรอก ของเรามันยังมี

โยม : อย่างนี้แสดงว่า ที่ผมกำลัง ตอนนี้อย่างที่ผมกำลังพูดกับลูก ผมบอกว่า ผมมั่นใจว่าตายแล้วเกิด อย่างตัวผม ผมมั่นใจว่าตายแล้วเกิด อย่างนี้เป็นมิจฉาทิฎฐิมั้ยครับ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าพูดกับลูกก็พูดโดยอนุโลมเอา เอาแบบนั้นก่อนนะ คือ มันจะเห็นแจ้งต่อเมื่อเห็นว่า ปัจจุบันนี้ ไม่มี ปัจจุบันนี้ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีเรา ไม่มีเขา ก็ปัจจุบันยังไม่มีเลย ตายแล้วจะมีหรือไม่มีอย่างนี้ ถ้ามีเหตุก็เกิด ถ้าไม่มีเหตุก็ไม่มี ถ้ามีเหตุขันธ์ก็เกิดสืบทอดไป ถ้าไม่มีเหตุขันธ์ก็ไม่เกิดสืบทอดไป ถ้าพูดให้ถูกก็ต้องพูดอย่างนั้น แต่ว่าสอนเด็กไม่ได้ มันยากไป ถ้าสอนลูกก็บอกว่า ตายแล้วเกิด สอนอย่างนี้ไปก่อน

โยม : ขอบคุณมากครับ

550409.44m08-49m47

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ ห้องสุวรรณภูมิบอลรูม ชั้น ๒ อาคารบี
บจก. เตียวฮงสีลม บางพลี
วันจันทร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕
ระหว่างเวลา ๑๓:๐๐ – ๑๕:๐๐ น.

File: 550409.mp3 (ไทย)
File: 550409.mp3 (สหรัฐอเมริกาและยุโรป)
เสียงพระธรรมเทศนา ระหว่างนาที่ ๔๔ วินาทีที่ ๘ ถึง นาทีที่ ๔๙ วินาทีที่ ๔๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

รู้สึกตัวเพื่อตัดชีวิตให้ขาดเป็นท่อนๆ

mp 3 (for download) : รู้สึกตัวเพื่อตัดชีวิตให้ขาดเป็นท่อนๆ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

รู้สึกตัวเพื่อตัดชีวิตให้ขาดเป็นท่อนๆ

รู้สึกตัวเพื่อตัดชีวิตให้ขาดเป็นท่อนๆ

หลวงพ่อปราโมทย์ : คอยรู้ไปเรื่อยนะ มีสติรู้สึกขึ้นมา สะสมไปทีละเล็กทีละน้อยอย่างนี้ ไม่รีบร้อน ไม่ต้องไปพยายามทำสติให้เกิดตลอดเวลา เราไม่ต้องการสติตลอดเวลา เราต้องการสติทีละแว้บเดียว

เพราะงั้นเรารู้สึกตัวขึ้นแว้บแล้วหลงไปอีก เราก็รู้สึกอีกแว้บนึงแล้วค่อยหลงไปอีก แล้วฝึกอย่างนี้นะ ไม่ใช่รู้สึกๆๆไม่มีหลงเลย ถ้ารู้สึกๆๆไม่มีหลงเลยน่ะคือการทำฌาน เพราะจิตที่จะเกิดซ้ำซากมีสติซ้ำซากอยู่ได้อย่างเดียวตลอดนานๆเนี่ยคือฌานจิตเท่านั้น จิตธรรมดาๆไม่เป็นอย่างนั้นหรอก ให้รู้ขึ้นแว้บนึงแล้วหลง รู้แว้บนึงแล้วก็หลง ตรงนี้สำคัญ

ไม่ต้องฝึกให้รู้สึกตัวตลอดเวลา แต่ฝึกให้รู้สึกบ่อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ฝึกบ่อยๆไม่ใช่ให้ต่อเนื่องยาวนาน ทีละแว้บนี่แหล่ะ มันจำเป็นยังไง คนในโลกนี้นะไม่เคยมีสติ ไม่เคยรู้สึกตัว คนในโลกอยู่ในความฝันตลอดเวลา ฝันทั้งวันทั้งคืนทั้งตื่นทั้งหลับ แล้วมันจะเกิดความสำคัญผิดขึ้นมา ว่ามันมีตัวเราจริงๆ

พวกเรารู้สึกมั้ยในนี้มีเราอยู่คนนึง เราคนนี้นะกับเราตอนเด็กๆก็ยังเป็นเราคนเดิม รู้สึกมั้ยมันมีเราอยู่คนหนึ่ง เรามาตั้งแต่เด็กนะจนวันนี้ยังเป็นคนเก่าอยู่ เราคนเดิมหรอกหน้าตาต่างหากที่เปลี่ยนไปแต่ข้างในนี้มีเราที่คงเดิมอยู่คนหนึ่ง เนี่ยเพราะอะไร เพราะเราไม่เคยเห็นมันเกิดดับ เราไม่เคยเห็นจิตเกิดดับ ถ้าเราเห็นจิตเกิดดับเราจะรู้ว่าไม่มีเราหรอก ข้างในนี้

งั้นที่เราหัดรู้สึกตัวขึ้นมานะเพื่อตัดชีวิตให้ขาดเป็นท่่อนๆ ถ้าชีวิตเรายาวอย่างนี้อันเดียวเนี่ย หลง หลงตั้งแต่เกิดจนตาย ตั้งแต่นี้หลงมาเรื่ิอยๆๆจนหมดเวลาตาย เราจะรู้สึกมีเราคงที่อยู่ เหมือนเราดูการ์ตูนนะ มีโดเรมอนใช่มั้ยมีอิคคิวซัง หลวงพ่อรู้จักแค่รุ่นเนี่ยหลังจากนั้นไม่รู้จักแล้ว โดเรมอนมันเดินไปเดินมาได้ นี่เป็นภาพลวงตาจริงๆมันเป็นรูปแต่ละช็อตแต่ละช็อต รูปแต่ละรูปแต่ละรูป แล้วมันเกิดดับต่อเนื่องกันอย่างรวดเร็ว เราเลยรู้สึกมีเรา ถ้าเราเห็นรูปแต่ละรูปเกิดแล้วหายไปๆ เราจะไม่รู้สึกว่ามีโดเรมอนตัวจริงขึ้นมา โดเรมอนไม่มีจริง

การที่เราฝึกให้มีสติขึ้นมานี่ก็เหมือนกัน เราจะเห็นเลยเดี๋ยวจิตก็หลงไปเดี๋ยวจิตก็รู้สึก เดี๋ยวจิตก็หลงไปเดี๋ยวจิตก็รู้สึก พอจิตมันหลงไปคิดไปนึกไปปรุงไปแต่งนะ หลงไปทางทวารทั้งหก หลงไปทางตาหูจมูกลิ้นกาย หลงไปทางใจคือหลงไปคิด หรือบางทีก็หลงไปเพ่ง นี่หลงทางใจ แล้วตามมามีสติมันจะรู้ว่าเมื่อกี๊นี้หลงแต่จิตที่หลงนั้นดับไปแล้ว จะเห็นเลยจิตที่รู้กับจิตที่หลงเนี่ยเป็นคนละดวงกัน

การที่เราเห็นจิตที่รู้กับจิตที่หลงเป็นคนละอันกันเนี่ย เรียกว่าสันตติคือความสืบเนื่องเนี่ยขาดลงแล้ว การภาวนาจนสันตติขาดเนี่ยนะ คือการทำวิปัสสนาที่แท้จริงแล้ว งั้นเราจะเห็นจิตเนี่ยเกิดแล้วก็ดับนะ เช่นจิตที่หลงไปพอเรารู้สึกตัวเราจะเห็นเลยจิตที่หลงดับไปแล้วเกิดจิตที่รู้สึก แล้วจิตที่รู้สึกอยู่ได้แว้บเดียวก็หลงใหม่ เห็นมั้ย แล้วก็รู้สึกขึ้นมาอีกครั้งนึง คราวนี้รู้สองทีเลย รู้ว่าจิตที่รู้สึกตัวอันแรกนั้นดับไปแล้วเกิดจิตที่หลง จิตที่หลงก็ดับไปแล้วอีก เกิดมีจิตรู้สึกตัวอันใหม่

เนี่ยฝึกดูไปเรื่อยนะจะเห็นนะมีแต่เกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ ขาดเป็นช่วงๆ หรือถ้าสติระลึกรู้กายนะจะเห็นเลยร่างกายที่หายใจออกร่างกายที่หายใจเข้า ร่างกายที่ยืนเดินนั่งนอน ร่างกายที่คู้ที่เหยียดเนี่ย เกิดดับตลอดเวลา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ กรกฎาคมพ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๖
Track: ๑
File: 510717.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๖ วินาทีที่ ๓๖ ถึง นาทีที่ ๒๐ วินาทีที่ ๒๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางบรรลุธรรม (๗) เมือ ศีล สติ สมาธิ ปัญญา แก่รอบ จิตจะเข้าฌานอัตโนมัติ

mp3 for download : ทางบรรลุธรรม (๗) เมือ ศีล สติ สมาธิ ปัญญา แก่รอบ จิตจะเข้าฌานอัตโนมัติ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทางบรรลุธรรม (๗) เมือ ศีล สติ สมาธิ ปัญญา แก่รอบ จิตจะเข้าฌานอัตโนมัติ

ทางบรรลุธรรม (๗) เมือ ศีล สติ สมาธิ ปัญญา แก่รอบ จิตจะเข้าฌานอัตโนมัติ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ทีนี้ถ้าจิต สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา บุญ บารมี แก่รอบแล้ว จิตหยุดความปรุงแต่งแล้ว มันจะรวมเข้าอัปนาสมาธิ รวมเอง ทำไมมันรวมเข้าอัปนาสมาธิได้เอง เพราะว่าจิตไม่ไหลไปตามกาม ฌานจะเกิดเอง

โดยธรรมชาติของจิตนี้ต้องเวียนอยู่ในภพ ภพที่จิตเวียนอยู่ได้ มีอยู่ ๓ ภพ เท่านั้น ๑ กามวจรภพ ภพที่เวียนไปในกาม คือ หาอารมณ์เพลิดเพลินไปทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย เพลินไปเรื่อย พวกเราจิตหมุนอยู่ติ้วๆ ทาง หู ตา จมูก ลิ้น กาย นึกออกมั้ย อันนี้แหละเรียกว่า กามภพ เรียกให้เต็มยศนะ เรียกว่า กามวจรภูมิ ใจก็ไปเวียนอยู่อย่างนี้

ถ้าหลุดออกจากกามภพแล้วนะ ก็จะเข้าไปรูปภพ หรือรูปภูมิ ก็คือ ไปสงบอยู่กับการรู้รูป เช่น รู้ลมหายใจแล้วจิตไม่เอาแล้วโลกข้างนอก อารมณ์ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่เห็นจะมีสาระอะไรเลย จิตมารวมลงที่อารมณ์ภายในอันเดียว อาจจะมารู้ลมหายใจอยู่อันเดียว รู้ร่างกายอยู่อันเดียว มาเพ่งรูปอยู่อันเดียว เพ่งดวงกสิณ ดวงนิมิตอยู่อันเดียว จิตเพ่งรูปอยู่เรียกว่ารูปภูมิ

ถ้าจิตไม่อยู่ในกามภูมิ ไม่อยู่ในรูปภูมิ จิตก็ต้องเข้าอรูปภูมิ ทิ้งรูปไปแล้วไปอยู่กับนามธรรม เช่นไปอยู่กับความว่าง จิตอยู่ในความว่าง อยู่กับความไม่มีอะไรเลย เพราะฉะนั้นบางคนที่เขาสอนให้ภาวนาเพื่อให้ไปอยู่กับความว่าง อันนั้นเพี้ยนนะ ไม่ใช่ทางของพระพุทธเจ้า มันก็เป็นอรูปภูมิ เป็นภูมิอีกภูมิหนึ่ง เป็นภพอีกภพหนึ่งเท่านั้นเอง

ทีนี้ถ้าสติปัญญาเราพอนะ เรารู้เลย จิตแส่ส่ายออกทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย มีแต่ทุกข์ จิตไม่แส่ส่าย จิตก็หลุดออกกามภูมิ เข้ารูปภูมิ หรืออรปภูมิ เข้าเองเลยนะ

เพราะฉะนั้นอย่างพวกเรา หัดเจริญสติไปเรื่อย พอ ศีล สมาธิ ปัญญา สติ สมาธิ ปัญญา แก่รอบนะ จิตจะหมดความหลงใหล รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ทั้งหลาย มาดึงดูจิตไหลไปไม่ได้แล้ว อย่างน้อยก็ชั่วขณะ ชั่วขณะเท่านั้นแหละ ชั่วขณะ จิตจะตั้งมั่น รู้ว่าไหลออกไปแล้วทุกข์ ก็ตั้ง เด่นดวง จิตก็เข้าฌานอัตโนมัติ

เพราะฉะนั้น ถึงเราจะเจริญสติ เจริญปัญญา โดยเข้าฌานไม่เป็น ถึงนาทีสุดท้าย ที่จะเกิดอริยมรรค อริยผล ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่โสดาปัตติมรรค จนถึงอรหัตตมรรค จิตจะเข้าฌานของเขาเองนะ จิตจะเข้าฌานของเขาเอง

ยกเว้นคนซึ่งเดินปัญญาอยู่ในฌาน เวลาที่จะเกิอริยมรรคเนี่ย ไม่ต้องถอยออกมาอยู่กับโลกก่อนนะ ไม่ต้องกลับมาอยู่ในกามภูมิก่อน จิตก็ไปตัดอยู่ข้างในได้เลยนะ นี่เป็นอีกพวกหนึ่ง

แต่รวมความก็คือ อริยมรรค ไม่เกิดอยู่ในจิตที่อยู่ในกาม อย่างพวกเรา อริยมรรคจะต้องเกิดในรูปภูมิ หรืออรูปภูมินะ จะเกิดกันตรงนั้น จะล้างกันตรงนั้น

เพราะฉะนั้นจิตจะเข้าฌานอัตโนมัติ

540805.12m44-15m52

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
วันศุกร์ที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๔ ก่อนฉันเช้า

CD: 41
File (ประเทศไทย): 540805.mp3
File (สหรัฐอเมริกาและยุโรป): 540805.mp3

นาทีที่ ๑๒ วินาทีที่ ๔๔ ถึง นาทีที่ ๑๕ วินาทีที่ ๕๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๘) สรุปอานาปานสติ สำหรับฆราวาสคนเมือง (จบ)

mp3 for download : อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๘) สรุปอานาปานสติ สำหรับฆราวาสคนเมือง (จบ)

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๘) สรุปอานาปานสติ สำหรับฆราวาสคนเมือง (จบ)

อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๘) สรุปอานาปานสติ สำหรับฆราวาสคนเมือง (จบ)

หลวงพ่อปราโมทย์ : หลวงพ่อไม่เห็นกรรมฐานใดอัศจรรย์เหมือนอานาปานสติ ลึกล้ำ จนถึงขนาดยอมรับเต็มปากเต็มคำ เต็มหัวใจเลย มันเป็นกรรมฐานของพระมหาบุรุษ ไม่ใช่กรรมฐานของคนทั่วๆไปจะเล่นได้ชำนิชำนาญหรอก

ทีนี้ พวกเราเล่นไม่ได้ทั้งหมด เราก็เลือกเอาส่วนที่เล่นได้ หายใจแล้วรู้สึกตัวไป หายใจไปแล้วจิตหนีไปคิด คอยรู้ทัน ทำตรงนี้ให้ได้ หายใจไป จิตหนีไปคิดแล้วรู้ทัน จิตหนีไปคิดแล้วรู้ทัน จิตจะเป็นผู้รู้ขึ้นมา พอจิตเป็นผู้รู้แล้วจะดูกายดูใจก็ดูไปเลย ไม่ต้องไปเข้าฌานก็ได้ เอาแค่ว่าหายใจไป เห็นกายมันหายใจ ไม่ใช่ตัวเราหายใจ หายใจไปจิตใจมีความสุขความทุกข์ เห็นมันสุขมันทุกข์ของมันได้เอง หายใจไปแล้วก็เกิดกุศลบ้าง เกิดอกุศลบ้าง เช่น เกิดฟุ้งซ่าน หายใจแล้วมีฟุ้งซ่านมีไหม ส่วนใหญ่นั่นแหละหายใจแล้วฟุ้งซ่าน ใช่ไหม ก็ดูไป จิตมันฟุ้งซ่าน เราเป็นแค่คนดู ดูไปๆมันก็เลิกฟุ้งของมันไปเอง ฟุ้งซ่านมันก็ไม่เที่ยง เห็นแต่ของไม่เที่ยง มีความสงบเกิดขึ้น หายใจสบายๆ มันสงบขึ้นมา มันก็อยู่ชั่วคราว เดี๋ยวมันก็หายไปอีก นี้เราฝึกแค่นี้ก็พอแล้ว

หายใจไป จิตหนีไปแล้วรู้ทัน มันจะได้จิตผู้รู้ขึ้นมา ถัดจากนั้นเห็นร่างกายหายใจ ไม่ใช่ตัวเรา อันนี้เดินปัญญาด้วยการดูกาย ถ้าจะเดินปัญญาด้วยการดูจิตก็หายใจไป มีความสุขก็รู้ มีความทุกข์ก็รู้ เฉยๆก็รู้ หายใจไปแล้วจิตเป็นกุศลก็รู้ จิตเป็นอกุศลก็รู้ บางทีเห็น ทุกอย่างชั่วคราวไปหมด

ฝึกไปอย่างนี้ เรียกว่า ปัญญานำสมาธิ มันนำสมาธิอย่างไร ความจริงมันมีสมาธิอยู่แล้ว แต่มันมีในขั้นขณิกสมาธิ สมาธิชั่วขณะ

เมื่อเดินปัญญาแก่รอบเต็มที่แล้ว จิตจะรวมเข้าอัปปนาเอง ในนาทีที่จะตัดสินความรู้บรรลุ อริยมรรค อริยผล อริยมรรค อริยผล ไม่เกิดในจิตของคนธรรมดา อริยมรรค อริยผล เกิดในฌานจิตเท่านั้น เกิดในรูปฌานก็ได้ เกิดในอรูปฌานก็ได้ แต่จะไม่เกิดในวิถีจิตปกติของมนุษย์นี้

ทีนี้ ถ้าเราเข้าฌานไม่เป็น ไม่ต้องตกใจ เจริญปัญญาให้มาก มีแค่ขณิกสมาธินะ ทุกวันพยายามไหว้พระสวดมนต์ไว้ ทำในรูปแบบ จิตหนีไปคิดแล้วรู้ทัน ฝึกให้มันมีขณิกสมาธิ แล้วมาเดินปัญญา รู้กาย รู้ใจ ในชีวิตประจำวัน ถึงเวลาก็ทำความสงบ ไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม รู้ทันจิตที่หนีไป หมดเวลาก็มารู้กาย รู้ใจ ในชีวิตประจำวันต่อไป ถึงวันที่ สติ สมาธิ ปัญญา แก่รอบพอ จิตจะรวมเข้าอัปปนาสมาธิ รวมเอง แล้วเกิด อริยมรรค อริยผล ขึ้น อันนี้เรียกว่า ใช้ปัญญานำสมาธิ

ลึกซึ้งมาก เรื่องอานาปานสติ แต่ว่าเราฝึกง่ายๆอย่างที่หลวงพ่อบอก ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องสนใจถึงขนาด ทำอย่างไรจะเกิดฌานจิต ทำอย่างไรจะไปเดินวิปัสสนาในอุปจาระ เห็นมันไหวๆขึ้นมา แต่ส่วนมากพวกเราก็ทำได้อันนี้ คนจำนวนมากก็ทำได้ นั่งสมาธิแล้วก็เห็น ใจสงบไปเห็นมันปรุงขึ้นมา เกิดดับไป บางทีไม่รู้ว่าอะไรเกิดอะไรดับ ไม่มีชื่อ ถ้ายังมีชื่ออยู่จิตยังฟุ้งซ่านมาก บางทีเห็นแค่สิ่งบางสิ่งเกิด แล้วสิ่งนั้นดับไป อย่างนี้ก็ใช้ได้ ถ้าถึงขนาดเห็นองค์ฌานเกิดดับอย่างนี้มีน้อยเต็มที ประเภทหนึ่งในแสน หายาก ส่วนถ้าฝึกในชีวิตประจำวัน เดินปัญญาอยู่นี้ ง่าย พอทำได้สำหรับฆราวาส ที่วันๆเต็มไปด้วยความวุ่นวายนะ หายใจไป อย่าหยุดหายใจ หายใจไว้ก่อน เอ้า ต่อไปส่งการบ้าน

541106B.17m57-22m17

ขอขอบคุณพี่ maibok @wimutti.net สำหรับเนื้อหาของ clip ช่วงนี้

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
วันอาทิตย์ที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ หลังฉันเช้า

CD: 42
File: 541106B.mp3
นาทีที่ ๑๗ วินาทีที่ ๕๗ ถึง นาทีที่ ๒๒ วินาทีที่ ๑๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๗) สรุปอานาปานสติ กรรมฐานสำหรับมหาบุรุษ

mp3 for dowload : อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๗) สรุปอานาปานสติ กรรมฐานสำหรับมหาบุรุษ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๗) สรุปอานาปานสติ กรรมฐานสำหรับมหาบุรุษ

อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๗) สรุปอานาปานสติ กรรมฐานสำหรับมหาบุรุษ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ทำอานาปานสตินะ คลุมสติปัฏฐาน ๔ ได้ด้วย ไม่มีกรรมฐานอะไรเหมือนเลยนะ ตั้งแต่โหลยโท่ย ไม่มีสติเลย หรือทำจนเครียดสติแตกไปเลยนะ ก็เป็นไปได้ ทำอานาปานสติแล้วก็พลิกไปทางกสิณ เล่นอภิญญาก็ได้ ทำแล้วเข้าฌานเพื่อพักผ่อน ออกจากฌานมา มาเดินปัญญา ดูกายก็ได้ ดูจิตก็ได้ ทำแล้วเข้าอัปปนาสมาธิ เข้าฌาน เจริญปัญญาอยู่ในฌานเลยก็ได้ ทำแล้วเข้าฌานไม่ได้ เห็นร่างกายหายใจ-ใจเป็นคนดูอยู่ เห็นร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวเรา นี่เดินปัญญานะ ใช้ปัญญานำสมาธิก็ได้ ไปดูจิตดูใจ หายใจไป จิตเป็นอย่างนั้นจิตเป็นอย่างนี้รู้ทัน นี่เดินปัญญาดูจิต เดินปัญญาดูกาย เดินปัญญาดูจิต แจกแจงให้ครบก็คือ การทำสติปัฏฐาน ๔ ครบทั้งหมดเลย

เห็นกายมันหายใจ ใจเป็นคนดูอยู่ เห็นกายไม่ใช่เรา เป็นกายานุปัสสนา

หายใจไปมีความสุข หายใจไปความสุขหายไป หายใจไปแล้วมีความทุกข์ หายใจแล้วความทุกข์หายไป หายใจแล้วมีอุเบกขา แล้วอุเบกขาหายไป อันนี้เป็นเวทนานุปัสสนา

หายใจแล้วฟุ้งซ่าน รู้ว่าฟุ้งซ่าน หายใจแล้วสงบ รู้ว่าสงบ หายใจไปแล้วจิตรวม เป็นมหัคคตะ หายใจแล้วจิตไม่รวม อย่างนี้เป็นจิตตานุปัสสนา

หายใจแล้วเห็นขันธ์กระจายตัวออกไป แต่ละขันธ์ทำงานของขันธ์ เป็นขันธบรรพ ในธัมมานุปัสสนา

หายใจไปแล้วโพชฌงค์เกิดขึ้น มีสติรู้ลมหายใจ มีความเพียรที่จะรู้ลมหายใจ มีฉันทะ หายใจแล้วสบายใจ วิริยะมันก็เกิด มีความเพียร ตามรู้ตามเห็นในตัวที่หายใจอยู่ ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เรียกว่า ธัมมวิจยะ มีปีติขึ้นมา อันนี้ไม่ใช่ปีติในฌาน เป็นปีติเพราะมีปัญญา มีปีติแล้ว สติรู้ทันปีติ หายใจไปมีปีติ รู้ทัน ปีติดับ สงบเข้ามาเป็น ปัสสัทธิ แล้วเป็นสมาธิ จิตตั้งมั่น จิตเป็นอุเบกขา เห็นจิตมันเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงไป เป็นลำดับ ตามหลักของโพชฌงค์ อันนี้ก็อยู่ในธัมมานุปัสสนา

หายใจไปแล้วมีนิวรณ์ขึ้นมา รู้เท่าทันนิวรณ์นั้น นิวรณ์เกิดแล้วดับไป เป็นนิวรณบรรพ อยู่ในธัมมานุปัสสนา

หายใจแล้วเห็นอริยสัจ ก็อยู่ในธัมมานุปัสสนา

หายใจแล้วมีความสุข มีความสุขแล้วตัณหาเกิด อยากได้ อยากมี อยากเป็น หายใจแล้วมีความทุกข์ ตัณหาก็เกิดอยากให้มันหายไป อยากให้ความทุกข์หายไป มีตัณหาขึ้นมาจิตใจก็มีความทุกข์ขึ้นมา เห็นปฏิจจสมุทปบาท (อยู่ในธัมมานุปัสสนา – ผู้ถอด)

ฉะนั้น หลวงพ่อไม่เห็นกรรมฐานใดอัศจรรย์เหมือนอานาปานสติ ลึกล้ำจนถึงขนาดยอมรับเต็มปากเต็มคำ เต็มหัวใจเลย มันเป็นกรรมฐานของพระมหาบุรุษ ไม่ใช่กรรมฐานของคนทั่วๆไปจะเล่นได้ชำนิชำนาญ

541106B.14m43-18m17

ขอขอบคุณพี่ maibok @wimutti.net สำหรับเนื้อหาของ clip ช่วงนี้

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
วันอาทิตย์ที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ หลังฉันเช้า

CD: 42
File: 541106B.mp3
นาทีที่ ๑๔ วินาทีที่ ๔๓ ถึง นาทีที่ ๑๘ วินาทีที่ ๑๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 1 of 212