การเจริญสติสัมปชัญญะกับการเรียนรู้ธรรม
ผมมีความตั้งใจที่จะเล่าถึง เรื่องของการเจริญสติสัมปชัญญะ
ที่เกี่ยวเนื่องอยู่กับการเรียนรู้ธรรมะ (ศึกษาธรรมะ) ตามที่ได้ประสบมา
เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อใครบ้าง เรื่องก็มีอยู่ว่า………..
ในการศึกษาธรรมะแรกๆ ส่วนใหญ่แล้วผมจะศึกษาจากการอ่านและฟัง
จนจับใจความได้ว่า ธรรมะนั้นต้องลงมือปฏิบัติจึงจะเข้าถึงได้
แล้วจึงได้ลงมือปฏิบัติตามความรู้ความเข้าใจที่มี
แต่มักเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ทำให้ต้องล้มลุกคลุกคลานอยู่เสมอๆ
แม้จะพยายามค้นคว้าความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอๆ
จนที่บ้านมีกองหนังสือธรรมะนักหลายสิบกิโลอยู่
ซึ่งก็พอทำให้มีความรู้เล็กๆ ไว้คุยธรรมะกับคนอื่นเขาได้บ้าง
หากแต่เมื่อย้อนสังเกตลงในตัวเองคราวใด กลับพบว่า
แท้ที่จริงเราหาได้มีธรรมะใดๆเลยที่เป็นเครื่องรักษาจิตใจได้
จนเมื่อผมได้เริ่มปฏิบัติการเจริญสติปัฏฐาน ด้วยคำแนะนำจากครู(คุณสันตินันท์ – หลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)โดยตรง
ประมาณ 8 เดือนมานี้ ผมก็ปฏิบัติไปแบบเรื่อยๆ
คือ รู้อะไรต่อมิอะไรตามที่จิตจะรู้ได้ไปเรื่อยๆ
ประกอบกับการอ่านกระทู้และสนทนาธรรมกับญาติมิตรตามสมควร
แต่พอเมื่อเจริญสติปัฏฐานไปได้ไม่นาน กลับเห็นว่า
ความรู้ที่อุตสาห์พากเพียรศึกษามานับสิบปีนั้น
แท้ที่จริงแล้วไม่อาจช่วยอะไรในยามที่เป็นทุกข์ได้เลย
อีกทั้งยังทำให้การปฏิบัติพลอยยากเย็นแสนเข็ญไปด้วย
เพราะความรู้ที่มีอยู่ นั้นเป็นความรู้ที่เกิดมาจากการอ่านการฟัง
และเป็นความรู้ที่ผ่านกระบวนการ คิดและคาดคะเนเอาตามหลักการ
เท่าที่ปุถุชนทั่วไปจะกระทำได้ จึงเป็นความรู้ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
เมื่อเกิดความเห็นอย่างนี้ขึ้น การอ่านธรรมะใดๆก็ไม่ถึงใจ
สู้การเจริญสติสัมปชัญญะตามที่ครูสอนให้ไม่ได้เลย
จิตช่วงนั้นจึงไม่สนใจศึกษาหาความรู้ เอาแต่เจริญสติสัมปชัญญะอย่างเดียว
จนกระทั่งพบเห็นการพัฒนาของจิตไปได้ระดับหนึ่ง
จึงได้เข้าใจว่า การศึกษาธรรมะโดยจิตที่ปราศจากสภาวะธรรมในเรื่องนั้นๆ
เป็นเครื่องรองรับ ย่อมเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้าใจอย่างถ่องแท้และไม่คลาดเคลื่อน
ตัวอย่างเช่น ถ้าผมจะศึกษาเรื่องของ จิตว่าง จิตอวิชชา ตามที่ครูเขียนไว้
โดยที่ผมเองไม่มีสภาวะของจิตว่าง จิตอวิชชา เกิดขึ้นกับตัว
การศึกษาของผมก็ทำได้เพียง จดจำ คิด คาดคะเนเอาตามหลักการ
และเข้าใจเอาเองว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เท่านั้น
(ตรงนี้แหละครับที่ครูบอกว่า ฟังธรรมแล้วให้ทิ้ง หรือรู้อะไรแล้วให้ทิ้ง
เพราะครูไม่ต้องการให้พวกเราเสียเวลากับการคิดค้นความรู้ต่างๆ)
ทั้งหมดที่เขียนมานี้ มีวัตถุประสงค์ที่จะบอกว่า
อย่ามัวแต่หาความรู้ตามคำสมมุติบัญญัติอยู่เลยครับ
เอาเวลามาเจริญสติสัมปชัญญะตามที่ครูแนะนำไว้จะดีกว่า
แต่หากยังสนใจในการศึกษาคำสมมุติบัญญัติแล้วละก็
ขอให้อดใจรอไว้จนกว่า จิตพัฒนาขึ้นไปได้บ้างแล้ว
การศึกษาหาความรู้ต่างๆ จึงจะง่ายขึ้นมาก
อีกทั้งยังไม่รบกวนการเจริญสติสัมปชัญญะด้วย
หรือจะพูดว่า ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ก็ได้ครับ
ไม่งั้นแล้ว นกสักตัวก็ไม่ได้ ที่ได้มาดูเหมือนนกก็จริง
แต่เป็นนกติดเชื้อ กินไปก็ตายเปล่าครับ
เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓
ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่
สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่
ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่
คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่