Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

วิธีทำให้จิตตั้งมั่น

mp 3 (for download) : วิธีทำให้จิตตั้งมั่น

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : หัดดูจิตไปเรื่อยๆนะ แล้วก็สังเกตไป กิเลสอะไรเกิดขึ้นคอยรู้ทัน นิวรณ์ใดๆเกิดขึ้นคอยรู้ทัน

นิวรณ์มี ๕ ตัวนะ
-กามฉันทะนิวรณ์ คือความรักใคร่พอใจ ในอารมณ์ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ติดอกติดใจในรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสนั่นเอง
-พยาบาท ใจที่ขัดเคืองขุ่นข้อง
-ความลังเลสงสัย
-ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ แล้วอะไรอีกอันนึง อะไรนะความง่วง 
-ถีนมิทธะ ถีนมิทธะไม่ได้แปลว่าง่วง ถีนมิทธะเป็นความที่จิตมันอ่อนกำลัง ไม่ใช่ง่วงหงาวหาวนอน คนไทยมาแปลมั่วนะถีนมิทธะ จริงๆถีนมิทธะนะเป็นกิเลส ถีน(คือ)จิตมันซึมเซา (มิทธะ)เจตสิกมันซึมเซา ไม่ปราดเปรียว ถีนมิทธะจะเกิดร่วมกับอกุศลจิต ๕ ดวง อกุศลจิตชนิดที่เรียกว่าสสังขาริกัง อย่าไปสนใจมัน ชักตาบ้องแบ๊วขึ้นมาแล้ว รวมความแล้วถีนมิทธะไม่ได้แปลว่าง่วงนอน ใจมันเฉื่อยชา มันซึมเซา มันไม่ยอมรู้สภาวะ กระทั่งจะทำชั่วนะยังเฉื่อยเลย ต้องถูกยั่วแรงๆนะ ใจถึงจะชั่วเต็มๆขึ้นมาได้นะ เนี่ยนิวรณ์นะ

ถ้าเรามีสติ นิวรณ์ใดเกิดขึ้นในใจเรารู้ทัน ใจมันซึมเราก็รู้นะ ใจฟุ้งซ่าน ใจรำคาญใจ ใจสงสัย ใจมีพยาบาท ใจติดอกติดใจในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ และคอยรู้ทัน ทันทีที่รู้ทันเนี่ย สติเกิดนะตัวนี้จะดับหมด นิวรณ์ดับหมด ทันทีที่นิวรณ์ดับหมดนะ สมาธิจะเกิดเอง ใจจะตั้งมั่นเอง เพราะว่าศตรูของสมาธิไม่มีแล้ว นี่เป็นวิธีสำหรับพวกดูจิตนะ ที่จะให้ใจตั้งมั่น

มีอีกวิธีนึงที่ง่ายๆ นี่วิธีนี้ต้องคิดค่าโนฮาว วิธีที่ง่ายๆเลยคือรู้ทันจิตที่ไม่ตั้งมั่น อย่างจิตเราไปว่างอยู่ข้้างนอก เรารู้ทันว่าจิตไปว่างอยู่ข้างนอก มันจะทวนเข้ามาตั้งมั่นเอง รู้ทันมันมันจะกลับมาตั้งมั่นเอง ไม่ต้องดึง ถ้าพวกเรารู้สึกจิตอยู่นอกๆ แล้วเราพยายามไปดึง มันจะแข็งๆแน่นๆขึ้นมา ใช้ไม่ได้ ให้เรารู้ทันว่าจิตไม่ตั้งมั่นแล้วมันจะตั้งเอง

อีกพวกนึงถ้าคนไหนทำฌานได้ก็ทำฌาน ตอนนิวรณ์ดับฌานเกิด ใจจะตั้งมั่นขึ้นมา ค่อยฝึกเอานะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๑ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒๗
Track: ๔
File: 511023.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๕ วินาทีที่ ๔ ถึง นาทีที่ ๑๗ วินาทีที่ ๔๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เนื้อแท้ของพุทธศาสนา คือ สัมมาทิฏฐิ

mp 3 (for download) : เนื้อแท้ของพุทธศาสนา คือ สัมมาทิฏฐิ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : มาเรียนเรื่องรูปธรรมนามธรรมของตัวเอง เรียนจนมันเห็นความจริง มันไม่มีตัวเรา จริงๆมันไม่มีตัวเรามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่อาศัยจิตวิปลาส จิตวิปลาสคือคิดผิด สัญญาวิปลาสคือหมายผิด ทิฎฐิวิปลาสคือ(ความ)เห็นผิด ค่อยๆสะสมสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา เกิดความเห็นผิดว่ามีตัวมีตนขึ้นมา มันมาจากคิดผิดก่อน หมายรู้ผิดๆ คิดผิด ก็เลยรู้สึกสำนึกผิดๆ เห็นผิด มันสะสมความเห็นผิดมาตลอดในสังสารวัฏฏ์นี้ เพราะฉะนั้นความเห็นผิดนี้แหละ เป็นกิเลสที่ร้ายที่สุดเลย ความเห็นผิดนี้ชื่อว่า “อวิชา”

ค่อยๆฝึก มีศีลขึ้นมานะ สู้กิเลสหยาบๆได้ ที่ทำให้พฤติกรรมทางกายทางวาจาไม่เรียบร้อย มีสมาธิขึ้นมานะ สู้กิเลสอย่างกลาง คือพวกนิวรณ์ทั้งหลายที่ทำให้จิตไม่เรียบร้อย มีปัญญาสู้กับความโง่ ความไม่รู้ ความเข้าใจผิด เป็นกิเลสที่ละเอียดที่สุด เพราะฉะนั้นที่เราฝึก สิ่งที่ได้คือหายโง่

ไม่ใช่ว่าฝึกแล้วได้อะไรมา ไม่ได้ฝึกแล้วเสียอะไรไป ไม่ใช่ว่าฝึกไปสำเร็จนะ แล้วเสียขันธ์ ๕ ไป เราไม่ได้เสียขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ของเรามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่ได้ฝึกแล้วได้มรรคผลนิพพานมา ได้ครอบครองพระนิพพาน เป็นเจ้าของพระนิพพาน ฝึกแล้วไม่ได้อะไรมาไม่เสียอะไรไป ได้ความรู้ความเข้าใจ เสียความโง่ไป

เพราะฉะนั้นเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนาจริงๆคือตัวสัมมาทิฎฐิเท่านั้นเอง ความเห็นถูก ถ้ามีความเห็นถูกนะ ก็คิดถูก หมายถูก มันไม่ยากอะไรหรอกนะ ทุกวันนี้จมอยู่ในความทุกข์ก็เพราะคิดผิด หมายผิด เห็นผิด มาเรียนรู้ความจริงของธาตุของขันธ์ให้มาก ถ้าไม่มีการเรียนรู้ความจริงของธาตุของขันธ์ ของอายตนะ ของกายของใจ ของรูปของนาม อะไรพวกนี้นะ ยังไม่ได้ชื่อว่าเจริญปัญญาเลย

ถ้าไม่ได้เจริญปัญญาจะล้างความเห็นผิดไม่ได้ ปัญญาเป็นตัวล้างความเห็นผิด ศีลทำให้กายวาจาเรียบร้อย สมาธิทำให้จิตใจเรียบร้อย ปัญญาทำลายความเห็นผิด ทำให้เกิดความเห็นถูก

เพราะฉะนั้นถ้าใครเขาถามเรานะ อะไรเป็นเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนานะ ตอบไปอย่างองอาจกล้าหาญเลยนะ สัมมาทิฎฐิ สัมมาทิฎฐินั้นแหละคือพระพุทธศาสนา เนื้อแท้ของพระพุทธศาสนา


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันศุกร์ที่ ๒๗ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๓
Track: ๒๐
File: 550127.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๔ วินาทีที่ ๕๗ ถึง นาทีที่ ๘ วินาทีที่ ๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๗) สรุปอานาปานสติ กรรมฐานสำหรับมหาบุรุษ

mp3 for dowload : อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๗) สรุปอานาปานสติ กรรมฐานสำหรับมหาบุรุษ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๗) สรุปอานาปานสติ กรรมฐานสำหรับมหาบุรุษ

อานาปานสติ (ตอนที่ ๑๗) สรุปอานาปานสติ กรรมฐานสำหรับมหาบุรุษ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ทำอานาปานสตินะ คลุมสติปัฏฐาน ๔ ได้ด้วย ไม่มีกรรมฐานอะไรเหมือนเลยนะ ตั้งแต่โหลยโท่ย ไม่มีสติเลย หรือทำจนเครียดสติแตกไปเลยนะ ก็เป็นไปได้ ทำอานาปานสติแล้วก็พลิกไปทางกสิณ เล่นอภิญญาก็ได้ ทำแล้วเข้าฌานเพื่อพักผ่อน ออกจากฌานมา มาเดินปัญญา ดูกายก็ได้ ดูจิตก็ได้ ทำแล้วเข้าอัปปนาสมาธิ เข้าฌาน เจริญปัญญาอยู่ในฌานเลยก็ได้ ทำแล้วเข้าฌานไม่ได้ เห็นร่างกายหายใจ-ใจเป็นคนดูอยู่ เห็นร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวเรา นี่เดินปัญญานะ ใช้ปัญญานำสมาธิก็ได้ ไปดูจิตดูใจ หายใจไป จิตเป็นอย่างนั้นจิตเป็นอย่างนี้รู้ทัน นี่เดินปัญญาดูจิต เดินปัญญาดูกาย เดินปัญญาดูจิต แจกแจงให้ครบก็คือ การทำสติปัฏฐาน ๔ ครบทั้งหมดเลย

เห็นกายมันหายใจ ใจเป็นคนดูอยู่ เห็นกายไม่ใช่เรา เป็นกายานุปัสสนา

หายใจไปมีความสุข หายใจไปความสุขหายไป หายใจไปแล้วมีความทุกข์ หายใจแล้วความทุกข์หายไป หายใจแล้วมีอุเบกขา แล้วอุเบกขาหายไป อันนี้เป็นเวทนานุปัสสนา

หายใจแล้วฟุ้งซ่าน รู้ว่าฟุ้งซ่าน หายใจแล้วสงบ รู้ว่าสงบ หายใจไปแล้วจิตรวม เป็นมหัคคตะ หายใจแล้วจิตไม่รวม อย่างนี้เป็นจิตตานุปัสสนา

หายใจแล้วเห็นขันธ์กระจายตัวออกไป แต่ละขันธ์ทำงานของขันธ์ เป็นขันธบรรพ ในธัมมานุปัสสนา

หายใจไปแล้วโพชฌงค์เกิดขึ้น มีสติรู้ลมหายใจ มีความเพียรที่จะรู้ลมหายใจ มีฉันทะ หายใจแล้วสบายใจ วิริยะมันก็เกิด มีความเพียร ตามรู้ตามเห็นในตัวที่หายใจอยู่ ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เรียกว่า ธัมมวิจยะ มีปีติขึ้นมา อันนี้ไม่ใช่ปีติในฌาน เป็นปีติเพราะมีปัญญา มีปีติแล้ว สติรู้ทันปีติ หายใจไปมีปีติ รู้ทัน ปีติดับ สงบเข้ามาเป็น ปัสสัทธิ แล้วเป็นสมาธิ จิตตั้งมั่น จิตเป็นอุเบกขา เห็นจิตมันเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงไป เป็นลำดับ ตามหลักของโพชฌงค์ อันนี้ก็อยู่ในธัมมานุปัสสนา

หายใจไปแล้วมีนิวรณ์ขึ้นมา รู้เท่าทันนิวรณ์นั้น นิวรณ์เกิดแล้วดับไป เป็นนิวรณบรรพ อยู่ในธัมมานุปัสสนา

หายใจแล้วเห็นอริยสัจ ก็อยู่ในธัมมานุปัสสนา

หายใจแล้วมีความสุข มีความสุขแล้วตัณหาเกิด อยากได้ อยากมี อยากเป็น หายใจแล้วมีความทุกข์ ตัณหาก็เกิดอยากให้มันหายไป อยากให้ความทุกข์หายไป มีตัณหาขึ้นมาจิตใจก็มีความทุกข์ขึ้นมา เห็นปฏิจจสมุทปบาท (อยู่ในธัมมานุปัสสนา – ผู้ถอด)

ฉะนั้น หลวงพ่อไม่เห็นกรรมฐานใดอัศจรรย์เหมือนอานาปานสติ ลึกล้ำจนถึงขนาดยอมรับเต็มปากเต็มคำ เต็มหัวใจเลย มันเป็นกรรมฐานของพระมหาบุรุษ ไม่ใช่กรรมฐานของคนทั่วๆไปจะเล่นได้ชำนิชำนาญ

541106B.14m43-18m17

ขอขอบคุณพี่ maibok @wimutti.net สำหรับเนื้อหาของ clip ช่วงนี้

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
วันอาทิตย์ที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ หลังฉันเช้า

CD: 42
File: 541106B.mp3
นาทีที่ ๑๔ วินาทีที่ ๔๓ ถึง นาทีที่ ๑๘ วินาทีที่ ๑๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

รู้ทันจิตที่ฟุ้งซ่าน จิตจะตั้งมั่น

mp3 (for download) : รู้ทันจิตที่ฟุ้งซ่าน จิตจะตั้งมั่น

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

รู้ทันจิตที่ฟุ้งซ่าน จิตจะตั้งมั่น

รู้ทันจิตที่ฟุ้งซ่าน จิตจะตั้งมั่น

หลวงพ่อปราโมทย์ : นี่การที่เราคอยมีสติรู้ทันใจของเราเองเรื่อยๆเนี่ย นอกจากศีลแล้วสมาธิยังจะเกิดขึ้นได้ง่าย อย่างคนที่มาเรียนกับหลวงพ่อแต่เดิมรักษาศีลไม่ได้เดี๋ยวนี้รักษาง่าย แต่เดิมทำสมาธิไม่ได้เดี๋ยวนี้ทำสมาธิง่าย

สมาธิไม่ใช่เรื่องยากอะไร จิตมันฟุ้งซ่านไป ฟุ้งไปในอารมณ์โน้นฟุ้งไปในอารมณ์นี้ ถ้าเรามีสติรู้ทันจิตที่ฟุ้งซ่าน ความฟุ้งซ่านจะดับโดยอัตโนมัติ มันมีกฎของธรรมะข้อนึงก็คือ กิเลสกับกุศลเนี่ยจะไม่เกิดร่วมกัน สติเป็นตัวกุศลนะ เพราะนั้นถ้าเมื่อไหร่เรามีสติอยู่ จิตฟุ้งซ่านเรามีสติรู้ทันปั๊บ จิตสงบอัตโนมัติ

งั้นวิธีที่เราจะทำจิตให้สงบเนี่ยไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าเราไม่รู้วิธีแล้วมันก็ยาก เช่นเราอุตสาห์ไปนั่งสมาธินะ นั่งกันเป็นวันๆพุทโธไปหายใจไป ฝึกกันแรมปีนะกว่าจะค่อยๆสงบได้บ้าง บางทีสงบมากๆไปอีกซึมไปเลย ออกจากสมาธิมานะใจก็ซึมๆเซื่องๆ หรือเวลาอยู่ในสมาธิมีความสุขมาก ออกมากระทบอารมณ์ข้างนอกนะ ใจทนไม่ไหว มันคล้ายๆเรามีชีวิตอยู่แต่ในห้องปลอดเชื้อ พอออกมาสู่อากาศข้างนอกโดนเชื้อโรคแป๊บเดียวตายเลย เวลาติดอยู่ในสมาธินะใจสงบสบายมีความสุขนึกว่าไม่มีกิเลส พอออกมากระทบอารมณ์ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจเท่านั้น กิเลสระเบิดเปรี้ยงปร้างเลย งั้นสมาธิอย่างนั้นไม่ค่อยได้เรื่องอะไรหรอก

เราลองมาฝึกสมาธิชนิดใหม่นะ สมาธิ วิธีการไม่ได้ยากอะไร ความจริงหลวงพ่อไม่ได้คิดเองหรอกนะ มีคำสอนอันนี้อยู่ตั้งแต่ในพระไตรปิฎกก็มี ในสามัญญผลสูตรนะพระพุทธเจ้าสอนอชาตศตรู รู้ทันนิวรณ์ที่เกิดขึ้นที่จิต นิวรณ์มันจะดับอัตโนมัติ อย่างความฟุ้งซ่านเกิดขึ้นที่จิตนะเรารู้ทันว่าจิตฟุ้งซ่านปุ๊บ ความฟุ้งซ่านดับ ทันทีที่นิวรณ์ดับสมาธิเกิด มันง่ายแค่นี้เอง

ครูบาอาจารย์สอนหลวงพ่อภาวนามานะ ท่านสอนให้รู้ทันที่จิตนี้เอง สมาธิมันเกิดขึ้นได้ง่ายๆเลย อย่างใจเราฟุ้งซ่านเก่งมั้ย วันนึงวันนึงนะใจเราหนีไปคิดนับครั้งไม่ถ้วน ร้อยครั้งพันครั้งหมื่นครั้งนะหนีทั้งวัน นั้นเราคอยมีสติรู้ทันนะจิตมันไหลไปแล้ว จิตมันฟุ้งซ่านไปแล้ว จิตมันหนีไปคิดแล้ว ให้เราคอยรู้ทันไว้ ถ้าเรารู้ทันจิตที่ไหลไปคิดจิตจะตั้งมั่น จิตจะตื่นขึ้นมาเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่ใช่ผู้คิดผู้นึกผู้ปรุงผู้แต่ง จิตที่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานเนี่ยเป็นจิตที่มีสมาธิที่ดี สมาธิอย่างนี้เป็นสมาธิที่สำคัญสำหรับการเจริญปัญญา


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ โรงพยาบาลราชบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๔

CD: ธรรมเทศนานอกสถานที่ โรงพยาบาลราชบุรี
File: 541207
ระหว่างนาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๕๕ ถึงนาทีที่ ๙ วินาทีที่ ๓๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

การภาวนามุ่งเอาความจริง ไม่ใช่เอาดี เอาสุข เอาสงบ

mp 3 (for download) : การภาวนามุ่งเอาความจริง ไม่ใช่เอาดี เอาสุข เอาสงบ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

การภาวนามุ่งเอาความจริง ไม่ใช่เอาดี เอาสุข เอาสงบ

การภาวนามุ่งเอาความจริง ไม่ใช่เอาดี เอาสุข เอาสงบ

หลวงพ่อปราโมทย์ : นี้เรามาดูสิ่งที่เรียกว่าตัวเราเองมันน่ารักแค่ไหน สิ่งที่ประกอบเป็นตัวเราก็คือขันธ์​ 5 พูดย่อๆคือกายกับใจ น่ารักจริงมั้ยร่างกายนี้ มีความสุขจริงมั้ย ตื่นเช้าขึ้นมาใช่มั้ยต้องรีบไปล้างหน้าก่อน หน้าตาดูไม่ได้เลยหน้าเหมือนข้าวมันไก่ ต้องไปขับถ่ายใช่มั้ย มีภาระเยอะแยะเลย ต้องทำอย่างนู้นต้องทำอย่างนี้ ต้องหาข้าวกิน เดี๋ยวก็นั่งอยู่ก็เมื่อยต้องขยับไปขยับมา ลมพัดมาหนาวต้องไปหาเสื้อมาใส่ ใส่มากไปร้อนอีกแล้วก็ถอดอีกอะไรเงี้ย เนี้ยภาระทั้งนั้นเลย มีสติตามดูไปเห็นแต่ทุกข์นะทั้งวันทั้งวันนะ ดูไปแล้วต่อไปมันไม่รัก พอมันเลิกรักตัวเองนะความกลัวมันจะหายไป

โยม : แล้วมีอีกข้อนึงน่ะค่ะคือเวลาลูกทำสมถะนั่งสมาธิแล้วมันถึงจุดที่ว่ามันเหมือนกับมันเริ่มรวมๆ มันเริ่มที่จะเหมือนกับรวมเข้ามาคือมันมีสมาธิมาก แล้วเสร็จแล้วมันก็ไม่รู้จะเดินปัญญาต่อยังไง

หลวงพ่อปราโมทย์ : เฮ้ย เวลาทำสมาธิไม่ใช่เวลาเดินปัญญา ให้มันรวมไปให้มันพักไปให้เต็มที่ พอมันถอยออกจากสมาธิดูกายดูใจมันทำงานเข้าไป เจริญปัญญาตอนนี้ เวลาทำสมาธิเป็นเวลาพักผ่อนไม่ใช่เวลาทำงาน (โยม: แต่ตอนที่เค้าถอนก็คือปล่อยให้เค้าถอนของเค้าทำเอง) ให้เค้าถอนตามธรรมชาติอย่าไปดึงขึ้นมา ถ้าดึงขึ้นมาจะปวดหัว (โยม: เจ้าค่ะ) เอ้าอุทัยวันนี้กับเมื่อวานต่างกันยังไง (โยม: สติเกิดได้เองบ้างแล้วครับ) วันนี้ดีกว่าเมื่อวาน(โยม: ดีกว่าเมื่อวานครับ)เอ้าคุณหมอ (โยม: ก็รู้สึกดูแล้วบางทีเมื่อวานมันยัง เมื่อวานดูแล้วสภาวะมันก็ดับได้ วันนี้มันเหมือนมันเกาะอารมณ์อ่ะครับ มันไม่ค่อยตั้งมั่น) ห้ามไม่ได้นะ หมอดูไปเลยจิตนี้เป็นอนัตตา มันจะเกาะอารมณ์สั่งมันไม่ได้หรอก เห็นมั้ยมันสอนไตรลักษณ์นะ แต่เราไ่ม่ค่อยยอม เราจะเอาดี เราจะเอาดีเราจะเอาสุขนึกออกมั้ย (โยม: ครับ)

โยม: ฟุ้งมากเลยค่ะ ฝันอะไรก็ไม่รู้เสียงดังหนวกหูมากไม่เคยฝัน (หลวงพ่อ: ฝันเสียงดังเลยเหรอ) ฝันเหมือนกับมันยุ่งไปหมดเลยค่ะ รู้สึกว่ามันหนวกหูเลยค่ะ (หลวงพ่อ: อยู่วัดมันเงียบมาก) ก็เลยคิดว่าสงสัยเราพยายามจะไปกดข่มมันหรือเปล่า มันเลยเสียงดัง

หลวงพ่อปราโมทย์: รู้ไปอย่างที่มันเป็นสินะ(โยม: ค่ะ) จิตฟุ้งซ่านรู้ว่าฟุ้งซ่าน เอาอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนน่ะง่าย ดูกรภิกษุทั้งหลายจิตฟุ้งซ่านให้รู้ว่าฟุ้งซ่าน ไม่ใช่ให้ทำอะไร รู้อย่างที่เค้าเป็นไป เค้าก็สอนธรรมะเรานะ จิตฟุ้งเค้าก็ฟุ้งได้เองรู้สึกมั้ย สั่งให้สงบก็ไม่สงบ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับ งั้นการภาวนาที่เราเจริญปัญญาเนี่ยดูความเป็นไตรลักษณ์ของกายของใจไป ไตรลักษณ์ของกายของใจนั้นแสดงอยู่ตลอดเวลาแล้ว แต่เราไม่ชอบเอาไตรลักษณ์ของกายของใจนะ เราอยากเอาดีเอาสุขเอาสงบต่างหาก ดีมีมั้ยในโลก มีชั่วคราว สุขมีมั้ย มีชั่วคราวใช่มั้ย สงบมีมั้ย มีชั่วคราว หมอรีบบอกไม่มีก่อนทุกอย่างว่างเปล่า ไม่ใช่ สิ่งทั้งหลายถ้ามีเหตุมันก็มีขึ้นมา คำว่าอนัตตาไม่ได้แปลว่าไม่มีอะไรเลย อนัตตาหมายถึงว่าไม่อยู่ในอำนาจบังคับ สิ่งทั้งหลายถ้ามีเหตุมันก็มีหมดเหตุมันก็ดับบังคับไม่ได้ นี่คืออนัตตา ดีมี แต่ไม่เที่ยง สุขมี แต่ไม่เที่ยง สงบมี แต่ไม่เที่ยง

ถ้าเรามุ่งภาวนาจะเอาดีเอาสุขเอาสงบก็คือมุ่งภาวนาเอาของไม่เที่ยง ได้มาแล้วก็เสียไป ได้มาแล้วก็เสียไป วันนี้สงบพรุ่งนี้ก็ฟุ้งได้อีก วันนี้ดีพรุ่งนี้ก็ชั่วได้อีกใช่มั้ย วันนี้สุขพรุ่งนี้ก็ไม่สุขได้อีก มันหมุนอย่างนี้ งั้นเราไปภาวนาเราไม่ได้มุ่งเอาของไม่เที่ยงมาเป็นที่พึ่งที่อาศัย เรามุ่งเอาความจริง ดูให้เห็นความจริงของชีวิตเลย ขันธ์นี้มีแต่ของไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา ความจริงคือไตรลักษณ์ ไม่ใช่ความจริงเป็นปฏิกูลอสุภะนะ อันนั้นยังไม่ใช่สภาวะที่แท้จริง ดูลงเป็นไตรลักษณ์ให้ได้ เค้าแสดงตัวอยู่แล้วตลอดเวลาในกายในใจนี้ ดูจนใจยอมรับความเป็นไตรลักษณ์ของธาตุขันธ์ของกายของใจ ยอมรับความจริงได้ใจก็อยู่กับโลกที่แปรปรวน แปรปรวนยังไงก็ได้เพราะว่าใจยอมรับความจริงแล้วว่าโลกนี้แปรปรวน ทุกสิ่งทุกอย่างชั่วคราวหมดเลย นี่ภาวนาจนกระทั่งเราอยู่กับโลกได้อย่างมีความสุขนะ เค้าเรียกคนพ้นโลก พ้นจากโลกนะแต่อยู่กับโลก แต่พ้นโลก ครูบาอาจารย์ท่านเทียบบอกเหมือนดอกบัวอยู่ในน้ำแต่ไม่เปียก ผุดขึ้นมาจากโคลนตมแต่ไม่เปื้อน จิตที่ฝึกดีแล้วนี่อยู่กับโลกนี่แหล่ะแต่ไม่คลุกกับโลกหรอก อยู่แล้วมีความสุขสว่างไสวอยู่ โลกก็มืดๆของมันไปตามเรื่องของมันนะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๓ หลังฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๘
Track: ๕
File: 531225B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๖ วินาทีที่ ๓๗ ถึง นาทีที่ ๒๘ วินาทีที่ ๔๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

มีสติช่วยให้มีสมาธิได้อย่างไร ?

mp3 (for download) : มีสติช่วยให้มีสมาธิได้อย่างไร ?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : สมาธิเป็นเครื่องสู้กิเลสระดับกลางชื่อว่า “นิวรณ์” นิวรณ์มีห้าตัว แต่ทั้งห้าตัวมันเป็นความฟุ้งซ่านของจิตทั้งนั้น ถ้าฟุ้งไปชอบใจในอารมณ์ เรียกว่า “กามฉันทะนิวรณ์” ฟุ้งไปเกลียดอารมณ์ เรียก “พยาบาท” ฟุ้งจับจด ฟุ้งแล้วไม่รู้อะไรต่ออะไร สะเปะสะปะ เรียก “อุทธัจจะ” อุทธัจจะไม่อยู่ลำพังหรอก พอฟุ้งมากๆก็รำคาญใจ อุทธัจจะ เป็นโมหะ มันจะต่อด้วย “กุกกุจจะ” รำคาญใจ กุกกุจจะ เป็นโทสะนะ พอฟุ้งได้ที่ก็รำคาญ หงุดหงิด เนี่ย ถ้าจิตไม่ฟุ้ง ไม่รำคาญ ไม่หงุดหงิด ลังเลสงสัยก็เป็นความฟุ้งซ่าน คนถามกรรมฐานมากๆ ถามแล้วถามอีก คิดมาก ดูกายดูใจมันทำงานเข้าไป ไม่มีคำถาม มีน้อย คำถาม

หลวงพ่อเรียนกรรมฐานจากครูบาอาจารย์นะ เรียนจากครูบาอาจารย์ตั้งหลายสิบองค์ เข้าไปหาท่าน คำถามหลักๆเลยที่ถามนะคือที่ทำอยู่นี่ถูกมั้ย คราวก่อนท่านสอนมาอย่างนี้ ผมไปทำ อย่างนี้ถูกต้องหรือเปล่า ถ้าผิดให้ท่านบอกด้วย ถ้าถูกแล้วทำยังไงจะพัฒนาไปมากกว่านี้ ถามเท่านี้เองนะ ครูบาอาจารย์ก็ตอบเหมือนกันทุกที ดีแล้ว ทำอีก จบแล้ว ไม่มีอะไรต้องมาพิรี้พิไร ขอแถมอีกหน่อยอะไรอย่างนี้ ขอนั่งอีกนิด ไม่มี เสียเวลา

“เวลา” หมดแล้วหมดเลยนะ ซื้อไม่ได้ ทิ้งเปล่าๆ ไม่นานก็ตาย ฉะนั้นเราเอาเวลามาภาวนา ภาวนาแล้วไม่ค่อยมีคำถามเท่าไหร่หรอก ถามอะไร มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง มีเท่านี้เอง ถามมากกว่านี้ก็คิดมาก คิดเยอะไป รู้ไว้เยอะๆ รู้ทัน ทุกคนรู้จิตรู้ใจตัวเองได้อยู่แล้ว กายของเรา เราก็รู้ได้อยู่แล้ว จิตของเรา เราก็รู้ได้อยู่แล้ว รู้เอาบ่อยๆ พอเรามีสติรู้ทันนิวรณ์ที่เกิดขึ้นนะ นิวรณ์จะดับ อย่างจิตมีพยาบาทเกิดขึ้น เรามีสติรู้ทันนะ พยาบาทดับ จิตมีกามฉันทะเพลิดเพลินพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส เรามีสติรู้ทันนะ ความเพลิดเพลินพอใจคือกามฉันทะก็ดับ สงสัยขึ้นมา มีสติรู้ทัน สงสัยก็ดับ หดหู่ มีสติรู้ขึ้นมา หดหู่ก็ดับ

อาศัยสตินี่แหล่ะ มารู้ทันนิวรณ์ที่เกิดขึ้นในใจบ่อยๆ แล้วสมาธิจะเกิดขึ้นเอง นี่เป็นวิธีทำสมาธิที่สุดจะง่ายเลยนะ ไม่ใช่หลวงพ่อพูดเองด้วย มีพระสูตรที่สอง ชื่อ สามัญญผลสูตร (สูตรที่ ๒ ในคัมภีร์ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค พระสุตตันตปิฎก) พระพุทธเจ้าสอน อชาตศัตรู อชาตศัตรูเกิดมาไม่เป็นศัตรูกับใครนะ เป็นศัตรูกับพ่อเท่านั้นแหล่ะ ฆ่าพ่อตาย อชาตศัตรูไปเรียนธรรมะ พระพุทธเจ้าสอนให้รู้ทันนิวรณ์นะ รู้ทันนิวรณ์แล้วสมาธิเกิด นี่เป็นวิธีฝึกสมาธิของฆราวาส อาศัยสติรู้ทันศัตรูของสมาธิ พอจิตไม่มีศัตรูของสมาธิ จิตก็สงบเองแหล่ะ ไม่ต้องทำความสงบหรอก อย่าทำความฟุ้งซ่านก็พอแล้ว ความฟุ้งซ่านเราจะทำลายมันได้ไง ความฟุ้งซ่านเป็นกิเลส เมื่อไรมีสติ เมื่อนั้นไม่มีกิเลส นี่เป็นกฎของธรรมะเลย

ดังนั้นเรามีสติรู้ทันจิตที่ฟุ้งซ่านไป ฟุ้งไปหาอารมณ์ที่ชอบ ฟุ้งไปหาอารมณ์ที่ไม่ชอบ ฟุ้งสะเปะสะปะ จับอารมณ์ไม่ถูก ฟุ้งไปหาอารมณ์ที่ชอบเป็นกามฉันทะ ฟุ้งไปหาอารมณ์ไม่ชอบเป็นพยาบาท ฟุ้งสะเปะสะปะเป็นอุทธัจจะกุกกุจจะ ฟุ้งไปคิดมากก็ลังเลมากเป็น “วิจิกิจฉา” ฟุ้งมากหมดเรี่ยวหมดแรงลงไปแผ่หลาอยู่ หมดเรี่ยวหมดแรง ดูอะไรไม่รู้เรื่องแล้วเรียกว่า “ถีนมิทธะ” ทั้งจิตทั้งเจตสิกหมดแรง ล้วนแต่มาจากความฟุ้งทั้งนั้น

ถ้ามีสติรู้ทันจิตที่ฟุ้งไปนะ สมาธิเกิดเอง โดยเฉพาะจิตนะชอบฟุ้งไปคิด ฟุ้งไปคิดเนี่ยบ่อยที่สุด ถ้าเรารู้ทันจิตที่ฟุ้งซ่านไปคิด ความฟุ้งซ่านจะดับ จิตจะเกิดสมาธิ จิตใจจะอยู่กับเนื้อกับตัว จิตใจต้องอยู่กับเนื้อกับตัวนะ ถึงจะเจริญปัญญาได้ ถึงจะทำวิปัสสนาได้ ถ้าจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทำวิปัสสนาไม่ได้ เพราะวิปัสสนานี่คือการเรียนรู้ความจริงของรูปนาม สิ่งที่เรียกว่าตัวเรา รูปธรรมนามธรรมนี้เอง เมื่อไหร่ขาดสติเมื่อนั้นไม่รู้รูปนาม ไม่รู้รูปธรรมนามธรรมของตัวเอง ใช้ไม่ได้เลยนะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๔ หลังฉันเช้า

CD: ๔๑
File: 540730B
ระหว่างนาทีที่ ๓ วินาทีที่ ๓๔ ถึงนาทีที่ ๘ วินาทีที่ ๔๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

วิธีรับมือกิเลสอย่างกลาง

mp3 (for download): วิธีรับมือกิเลสอย่างกลาง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

วิธีรับมือกิเลสอย่างกลาง

วิธีรับมือกิเลสอย่างกลาง

หลวงพ่อปราโมทย์ : ไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะรู้ทันกิเลส ความโลภ ใครไม่รู้จักว่าโลภเป็นอย่างไร มีมั้ย ใครไม่เคยโลภมีมั้ย ใครไม่เคยโกรธมีมั้ย ใครไม่เคยฟุ้งซ่าน ใครไม่เคยหดหู่ ใครไม่เคยลังเลสงสัยมีมั้ย

ไม่มีหรอก ทุกคนเคยเจอมาแล้วทั้งนั้น นี่กิเลสนานาชนิดเรารู้จักอยู่แล้วทั้งนั้นนะ เพียงแต่เราละเลยที่จะรู้มัน เราปล่อยให้มันเกิดแล้วมันครอบงำจิตใจของเราได้ แล้วมันก็มาครอบงำพฤติกรรมทางกายวาจา ทำผิดศีลขึ้นมาได้

เพราะฉะนั้นเราอาศัยสตินี่แหละ คอยรู้ทันใจของตัวเองบ่อยๆนะ ศีลอัตโนมัติจะเกิดขึ้น ศีลจะเกิดขึ้นเอง (หมายถึง ไม่ต้องจงใจบังคับไม่ให้ทำผิดศีล – ผู้ถอด) ถ้าศีลเกิดขึ้น กิเลสชั่วหยาบ คือ ราคะ โทสะ โมหะ เนี่ย ครอบงำใจไม่ได้ นี่เราสู้ไปได้ยกหนึ่งแล้วนะ กิเลสหยาบๆสู้ด้วยศีล จะมีศีลได้ดี ต้องมีสติรักษาจิต (ให้มีสติ แล้วสติจะทำหน้าที่รักษาจิตเอง เพราะสติมีหน้าที่รักษาจิต – ผู้ถอด)

กิเลสอย่างกลางชื่อว่านิวรณ์ นิวรณ์นี้ทำให้ใจฟุ้งซ่าน แค่ฟุ้งๆนะ ยังไม่ถึงกับทำผิดศีล ๕ แค่ใจไม่สงบ ศีล ๕ ทำให้กายวาจาเรียบร้อย กายวาจาเรียบร้อยเพราะรักษาจิตเอาไว้ได้ ส่วนนิวรณ์นี้ทำให้ใจฟุ้งซ่าน ใจไม่เรียบร้อย คู่ปรับกับนิวรณ์นี้ก็คือ สมาธิ เพราะฉะนั้นสมาธิเป็นตัวที่ฝึกแล้วจิตใจเรียบร้อย จิตใจสงบ จิตใจมีความสุข ยังไม่เกิดปัญญานะ นั่นยังเป็นอีกขั้นหนึ่ง

ศีลนั้นน่ะ เอาไว้สู้กับกิเลสอย่างหยาบ ทำให้กายวาจาเรียบร้อย สมาธิเอาไว้สู้กับกิเลสอย่างกลาง ทำให้จิตใจเรียบร้อย

จิตใจของเราไม่เรียบร้อย จิตใจของเรากระโดกกระเดกตลอดเวลา รู้สึกมั้ย เดี๋ยวก็วิ่งไปทางตา วิ่งไปทางหู แส่ส่ายตลอดเวลา ไม่มีความสงบเลย เรียกว่าไม่มีสมาธิ จิตไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จิตใจไม่ตั้งมั่น กระโดกกระเดกตลอดเวลา

วิ่งออกไปแล้วไปเจอของที่ชอบใจนะ เป็นกามฉันทะนะ อยากเจออารมณ์ที่ถูกใจ มีกามฉันทะ วิ่งไปแล้วไปเกลียดอารมณ์ที่ไม่ชอบใจนะ เป็นพยาบาท ไม่ชอบ บางทีกระโดดไปกระโดดมาจับอารมณ์ไม่ถูกนะ เรียกว่าอุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน ฟุ้งซ่านมากๆก็หงุดหงิดนะ เรียกว่ารำคาญใจ เรียกว่า กุกกุจจะ บางทีก็สงสัย เกิดความลังเลสงสัยขึ้นมา พระพุทธเจ้าจะมีจริงเหรอ มรรคผลนิพพานจะมีจริงเหรอ ทางปฏิบัติเพื่อมักผลนิพพานจะมีจริงเหรอ สงสัยไปเรื่อย ขณะที่สงสัยใจก็ฟุ้งซ่าน เห็นมั้ย จิตใจไม่เรียบร้อยนะ

เวลาที่นิวรณ์เกิดน่ะ จิตใจจะไม่เรียบร้อย จิตใจจะกระโดกกระเดก เรามาฝึกจิตให้มันเรียบร้อยด้วยสมาธิ

วิธีจะฝึกจิตให้เกิดสมาธิไม่ใช่เรื่องยาก ศัตรูของสมาธิก็คือความฟุ้งซ่านนานาชนิดนั่นเอง เราก็มาฝึกใจของเรา มีสติรู้ทันจิตอีกนั่นแหละ ถ้าจิตฟุ้งซ่านขึ้นมา จิตไหลไป วิ่งไหลไปดู ไหลไปฟัง ไหลไปคิดนะ จิตไหลทั้งว้น พวกเราที่หัดภาวนากับหลวงพ่อมาช่วงหนึ่ง จะเห็นว่าจิตมันไหลตลอดเวลา เดี๋ยวไหลไปดู เดี๋ยวไหลไปฟัง เดี๋ยวไหลไปคิด พอเราเห็นจิตไหลไป พอเรารู้ทันนะ จิตมันจะตั้งมั่นขึ้นมาเป็นคนดู

แต่ว่าปกติมันไหลทั้งวัน โอกาสที่จะรู้ทันว่ามันไหลเนี่ย มีน้อย เราต้องหาเครื่องช่วย เครื่องช่วยก็คือ เครื่องอยู่ของจิต ต้องหาบ้านให้จิตอยู่ เบื้องต้นจะอยู่กับพุทโธก็ได้ อยู่กับลมหายใจก็ได้ ใครถนัดพุทโธเอาพุทโธ ใครถนัดลมหายใจ รู้ลมหายใจ ใครถนัดดูท้องพองยุบ ก็ดูท้องพองยุบ ไม่ได้มีอะไรแตกต่างกันเลย ไม่ดีไม่เลวมากกว่ากัน อะไรก็ได้ เท่าๆกันทั้งหมดเลย

เบื้องต้นหาอารมณ์อันหนึ่งขึ้นมาก่อน เป็นเครื่องอยู่ของจิต เป็นเครื่องอยู่ให้จิต อยู่กับพุทโธก็ได้ อยู่กับลมหายใจก็ได้ อยู่กับท้องพองยุบก็ได้ อยู่กับอิริยาบถ ๔ ยืน เดิน นั่ง นอน ก็ได้ ขยับมือทำจังหวะก็ได้ ให้จิตมีเครื่องอยู่ พอจิตมีเครื่องอยู่เราสังเกตอย่างนี้ พุทโธไป จิตหนีไปคิด รู้ทัน หายใจไป จิตหนีไปคิด รู้ทัน ดูท้องพองยุบไป จิตหนีไปคิด รู้ทัน จิตมันจะไหลตลอด ชอบไหลไปคิด ดูออกมั้ย จิตหนีไปคิดทั้งวัน จิตหนีไปคิดนั่นแหละ จิตฟุ้งซ่านล่ะ จิตไม่มีสมาธิล่ะ

เพราะฉะนั้นมาฝึกนะ จิตไหลไปแล้วรู้ พุทโธไป จิตหนีไป แล้วรู้ ลืมพุทโธไปแล้ว หายใจไป จิตหนีไป ลืมลมหายใจแล้ว รู้ทัน คอยรู้เรื่อยๆ อย่าไปบังคับว่าห้ามไหลไป ถ้าบังคับนะ จะกลายเป็นเพ่ง เช่นพอรู้ลมหายใจก็ไปจ้องนิ่งอยู่กับลมหายใจ ไม่เผลอไปไหนเลย อันนั้นไม่ดี จะพัฒนาต่อไปยาก ได้แต่สงบ สงบนิ่งๆ บังคับไว้ ไม่ดี

วิธีฝึกสมาธิที่ดีนะ อยู่กับพุทโธ อยู่สบายๆ อยู่กับลมหายใจ อยู่สบายๆ ดูท้องพองยุบ ดูสบายๆ เคล็ดลับอยู่ที่คำว่าสบาย สมาธิจะเกิด ถ้าจิตมีความสุข เคล็ดลับอยู่ตรงนี้เอง ถ้าจิตไม่มีความสุข จิตจะไม่มีสมาธิ เพราะฉะนั้นเราหายใจไป หายใจอย่างสบายๆ พุทโธไป พุทโธไปสบายๆ รู้ลมหายใจ รู้ท้องพองยุบ รู้อย่างสบายๆ รู้อิริยาบถ ๔ รู้ ยืน เดิน นั่ง นอน รู้สบายๆ อย่าบังคับจิต ว่าห้ามเผลอห้ามหลง

ถ้าจงใจบังคับจิตเมื่อไหร่ จิตจะไปเพ่ง เช่นรู้ลมหายใจนะ จิตจะไปเพ่งอยู่ที่ลมหายใจ คราวนี้จะนิ่งๆทื่อๆละ เดินปัญญาต่อไม่ได้ จิตไปติดล็อคละ ไปดูท้องพองยุบ ไปเพ่งอยู่ที่ท้องนะ จิตนิ่งอยู่ที่ท้อง อย่างนี้จิตไม่เดินปัญญาต่อ ไม่ดี เราเอาแค่ว่าหายใจไป จิตหนีไปแล้วรู้ พุทโธไป จิตหนีไปแล้วรู้ ดูท้องพองยุบไป จิตหนีไปแล้วรู้ ใครถนัดอะไร เอาอันนั้น ไม่ดีไม่เลวแตกต่างกันหรอก เหมือนๆกันหมดแหละ กรรมฐานอะไรก็ได้ เอาที่เราถนัด เอาที่เราทำแล้วมีความสุข

ถ้าทำแล้วเครียดไม่เอา ถ้าใครพุทโธแล้วเครียดก็ไม่เอา ไปเอาคำอื่น ไปเอาอย่างอื่น ใครรู้ลมหายใจแล้วเครียดก็ไม่เอา ไปเอาอย่างอื่นนะ กรรมฐานมีเยอะแยะไป ลองดูสักอย่างหนึ่ง ถ้าอยู่กับอะไรแล้วมีความสุขนะ อยู่กับอันนั้นไป จิตจะสงบเองนะ จิตจะค่อยๆสงบ

พุทโธๆ พุทโธๆ พุทโธๆ จิตไหลแล้วรู้ พุทโธๆ พุทโธๆ ไหลแล้วรู้ สักพักเดียวนะ จิตจะค่อยๆเชื่อง จิตจะไม่ค่อยไหล จิตจะสงบ รู้อยู่ สงบอยู่แล้วก็รู้ตัวอยู่ด้วย ไม่ใช่สงบแล้วเคลิบเคลิ้ม พวกเราต้องระวังให้ดี พวกที่ชอบนั่งสมาธิ นั่งแล้วเคลิ้มเนี่ย เหลวไหลที่สุดเลย นั่งสมาธิต้องไม่ขาดสตินะ นั่งสมาธิต้องมีสติตลอดเลย ไม่ใช่นั่งแล้วเคลิ้ม.. อย่างนั้นไปนอนเสียดีกว่า เดี๋ยวคอเคล็ด ไม่ได้เรื่องหรอก ทำไปแล้วโมหะมากกว่าเก่า แทนที่ทำไปแล้วจะลดละกิเลส

เนี่ย พอใจเราภาวนาไปนะ หาเครื่องอยู่อันหนึ่ง ใจเราก็ค่อยๆเชื่องๆนะ มันเชื่องเอง ค่อยๆเชื่อง มันไม่ฟุ้งไป เนี่ยเราสู้กิเลสอย่างกลางได้ กิเลสอย่างกลางเป็นตัวนิวรณ์ ความฟุ้งนานาชนิด ฟุ้งไปชอบเรียกว่ากามฉันทะ ฟุ้งไปเกลียดเรียกพยาบาท ฟุ้งไปฟุ้งมาเรียกอุทธัจจะกุกกุจจะ ฟุ้งลังเลสงสัย(วิจิกิจฉา – ผู้ถอด) ฟุ้งแบบอ้อยสร้อยอ้อยอิ่งหมดเรี่ยวหมดแรง เรียกถีนมิทธะ จิตมันมีแต่ฟุ้งไปทั้งนั้น

เพราะฉะนั้น เรารู้ หากรรมฐานอันหนึ่ง จิตไหลไปแล้วรู้ จิตไหลไปแล้วรู้ ฝึกอย่างนี้เรื่อย จิตจะมีสมาธิ จิตจะไม่ฟุ้ง เราสู้กิเลสอย่างกลางได้แล้ว

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่บริษัท ดอกบัวคู่
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๔

CD: แสดงธรรมนอกสถานที่ บริษัท ดอกบัวคู่
File: 540409A
ระหว่างนาทีที่  ๑๓ วินาทีที่ ๓๔ ถึง นาทีที่ ๒๑ วินาทีที่ ๐๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ระวังอย่าให้จิตไปติดเฉย

mp 3 (for download) : ระวังอย่าให้จิตไปติดเฉย

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต

หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต

หลวงพ่อปราโมทย์ : ธรรมะแท้ๆนี้ไม่เนิ่นช้าหรอก ที่เนิ่นช้าเพราะทำผิด ทำผิดที่สาหัสที่สุดก็คือ ไปติดสมถะ ติดแล้วก็เพ่งๆลูกเดียวแหละ ติดตรงนั้นหลายปี หลวงพ่อติดสมถะยี่สิบสองปี จะว่าติดสมถะก็ไม่เชิงนะ เพราะว่าเราไม่รู้วิธีไปต่อ เราก็จำเป็นต้องทำอยู่แค่นั้นแหละ ทำได้แค่นั้น ทำแต่สมาธิ ทำอานาปานสติ เล่าให้ฟัง อย่างหมดเปลือกไปแล้วนะ

ทีนี้เห็นพวกเรา นักปฏิบัติส่วนใหญ่ติดสมถะนั่นแหละ แล้วไม่ใช่ติดสำนักใดสำนักหนึ่งด้วย ติดทุกสำนัก กระทั่งแต่สำนักที่บอกว่าทำแต่วิปัสสนาไม่ทำสมถะ ก็ติดสมถะ เพราะอะไร เพราะว่าไม่ได้เรียนจิตตสิกขาให้ดี ไม่รู้ลักษณะของจิต ว่าจิตชนิดใดเอาไว้ทำสมถะ จิตชนิดไหนเอาไว้ทำวิปัสสนา

เมื่อขาดความรู้เรื่องจิตตสิกขาที่ถ่องแท้แล้วเนี่ย ส่วนใหญ่ก็ไปหลงทำสมถะแล้วนึกว่าเป็นวิปัสสนา ยกตัวอย่างนะ บางคนนั่งภาวนา จิตสงบ แล้วคิดพิจารณากาย แล้วคิดว่าการคิดพิจารณากายเป็นวิปัสสนา ครูบาอาจารย์สอนมาชัดๆเลยนะ ยกตัวอย่างหลวงพ่อพุธสอนมา บอกว่า สมถะเริ่มเมื่อหมดความตั้งใจ วิปัสสนาเริ่มเมื่อหมดความคิด หลวงปู่เทสก์เคยสอน การคิดพิจารณากายเป็นปฏิกูลเป็นอสุภะ เป็นการแก้อาการของจิต แก้นิวรณ์ แก้กิเลส แก้ชั่วครั้งชั่วคราว เป็นสมถะ การคิดพิจารณากายเป็นธาตุเป็นขันธ์ ไม่ใช่ปฏิกูลอสุภะแล้วนะ คิดเป็นธาตุเป็นขันธ์ คิดลงเป็นไตรลักษณ์น่ะ ก็เพื่อแก้อาการของจิต เป็นสมถะ

ทีนี้พวกเราบางทีคิดว่าการคิดพิจารณากายเป็นวิปัสสนา วิปัสสนาแท้ๆเริ่มเมื่อหมดความคิด พ้นความคิดไปแล้วเห็นความจริง ความคิดกับความจริงเกิดพร้อมๆกันไม่ได้ ความคิดนั้นแหละปิดบังความจริงไว้ ความคิดนั้นแหละคืออภิสังขารมาร ปิดกั้นการมองเห็นความจริงไว้

เนี่ยธรรมะอย่างนี้เราไม่ค่อยได้ยินได้ฟัง บางทีครูบาอาจารย์ท่านก็สอน คือสอนด้วยความเมตตานะ เอ้า..พุทโธ พิจารณากายไป อะไรอย่างนี้ เรานึกว่าตรงพุทโธเป็นสมถะ พิจารณากายเป็นวิปัสสนา ความจริงเป็นสมถะคนละแบบ ตอนแรกตามลมหายใจ หัดพุทโธเนี่ย จิตสงบ พอจิตสงบก็ติดนิ่งติดเฉย ติดนิ่งติดเฉยเนี่ย จิตจะไม่มีทางเจริญปัญญาได้เลย ท่านก็บอกอุบายแก้ให้ ให้จิตไม่ติดเฉย

นี่หลวงปู่มั่นแต่งกลอนไว้ ขันธะวิมุติสมังคี บอกว่า ระวังอย่าให้จิตไปติดเฉย วิธีที่จะไม่ให้ติด จิตไปติดเฉย ก็ให้จิตออกมาทำงาน ให้ทำงาน จิตทำงานอะไร จิตชอบทำงานคิด ให้มันคิด คิดเรื่องอะไรเป็นเรื่องที่ปลอดภัยสำหรับพระหนุ่มเณรน้อย คิดพิจารณากายตัวเองนี่แหละ ปลอดภัยสำหรับพระหนุ่มเณรน้อย ไปคิดเรื่องอื่นไม่ปลอดภัย หรือคิดถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ คิดถึงธรรมะ คิดถึงไตรลักษณ์ อันนี้เป็นคิดถึงธรรมะ คิดถึงครูบาอาจารย์ คิดถึงเทวดา เทวดาก็คือ อย่างคนดีๆ อย่างพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าอยู่หัวเรานี้ เป็นเทวดา เทวดาในภาคมนุษย์ เรียกว่า สมมุติเทพ คิดถึงท่านแล้วจิตใจเราอบอุ่น นุ่มนวล มีความสุข หรือให้คิดถึงร่างกาย เป็นชิ้นนะ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก อันนี้เรียกว่า กายคตาสติ เรื่องที่ท่านให้คิดนั้นมีอยู่สิบเรื่อง เรียกว่าอนุสติ ๑๐

อนุสติ ๑๐ เป็นเรื่องของสมถกรรมฐาน คิดเพื่ออะไร เพื่อไม่ให้จิตไปติดเฉย พอจิตไม่ติดเฉย หมดเวลาที่จะพุทโธพิจารณากายแล้ว เวลาที่เหลือ ยืน เดิน นั่ง นอน ต้องรู้สึกตัว เพราะฉะนั้นคำสอนของครูบาอาจารย์วัดป่ารุ่นก่อนๆ จะสอนครบ ๓ อัน สอนหัดทำความสงบเข้ามาก่อน สงบแล้วไม่ให้อยู่เฉย ให้ออกพิจารณา พิจารณาพอสมควรแล้ว กลับทำความสงบไป หมดเวลา ถอยออกมา ยืน เดิน นั่ง นอน ต้องรู้สึกตัว

หลวงปู่มั่นถึงสอน บอกว่า ทำสมถะ ทำความสงบมาก เนิ่นช้า คิดพิจารณามาก ฟุ้งซ่าน หัวใจสำคัญของการปฏิบัติ คือการมีสติในชีวิตประจำวัน ยืน เดิน นั่ง นอน ต้องรู้สึกตัว

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันศุกร์ที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๐ ก่อนฉันเช้า


CD: ธรรมเทศนา ๔ วันในสวนสันติธรรม
Track: ๕
ระหว่างนาทีที่ ๔ วินาทีที่ ๓๘ ถึง นาทีที่ ๙ วินาทีที่ ๔๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ฝึกจิตให้ตั้งมั่นด้วยการรู้ทันนิวรณ์

ฝึกจิตให้ตั้งมั่นด้วยการรู้ทันนิวรณ์

ฝึกจิตให้ตั้งมั่นด้วยการรู้ทันนิวรณ์

mp3 (for download) : ฝึกให้จิตตั้งมั่นด้วยการรู้ทันนิวรณ์

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าเรามีสติรู้ทันจิตที่ฟุ้งซ่าน จิตมีนิวรณ์ จิตที่ฟุ้งไปในกาม เรียกว่ามีกามฉันทะ ฟุ้งไปในกาม จิตฟุ้งไปในความพยาบาทขัดเคือง เวลาเกลียดใครก็คิดถึงคนนั้นบ่อยๆ จิตมีพยาบาท จนฟุ้งไปในพยาบาท บางทีฟุ้งสะเปะสะปะ เรียกว่าจิตฟุ้งซ่าน ฟุ้งไป ฟุ้งไป แล้วก็หงุดหงิด รำคาญใจ

บางทีฟุ้งไป แล้วก็คิดไป แล้วเกิดลังเลสงสัย ฟุ้งไป ฟุ้งไป แล้วก็หดหู่ มีมั้ยไปฟุ้งซ่านแล้วไปหดหู่ เนี่ยใจมันฟุ้งไปนะ ถ้าเรามีสติรู้ทันใจที่ไหลไป ใจที่ฟุ้งไป หลวงปู่ดูลย์เรียกจิตออกนอก ใจฟุ้งไปนะ กระทั่งฟุ้งในธรรมะก็ฟุ้งซ่านนะ ยกตัวอย่าง มีสังโยชน์ตัวหนึ่งเรียกว่าอุทธัจจะสังโยชน์ พระอรหันต์ถึงจะละได้ ตรงนี้ใจฟุ้งในธรรมะ ไม่ใช่ฟุ้งในอธรรมนะ ฟุ้งในธรรมะก็ฟุ้งนั่นแหละ ใจมันไหลไป ใจมันส่งออก

ถ้าเรามีสติรู้ทันใจที่ไหลไป ไหลไปในกาม ไหลไปในพยาบาท ไหลไปในเรื่องราวที่คิด ไหลสะเปะสะปะ ไหลไปจมแช่อยู่ในความซึมเซาหดหู่ อะไรอย่างนี้ รู้ทันลงไปนะ ใจตั้งมั่นขึ้นมา ใจตั้งมั่นขึ้นมานะนิวรณ์เหล่านี้ดับหมดเลย เกิดสมาธิ ใจอยู่กับเนื้อกับตัว ใจตั้งมั่นอยู่ทั้งวันทั้งคืน

เพราะฉะนั้นเราดูจิตดูใจไปนะ ดูจิตไปเรื่อย กิเลสหยาบมาเรารู้ทันปุ๊บ กิเลสหยาบดับ เราไม่ผิดศีลละ กิเลสอย่างกลางๆคือนิวรณ์เกิดขึ้น เรามีสติรู้ทันปั๊บ นิวรณ์ก็ดับไปเลย ใจก็ตั้งมั่น ใจไม่ฟุ้งนะ ไม่ฟุ้งไปในกาม ไม่ฟุ้งไปในพยาบาท ไม่ฟุ้งซ่านสะเปะสะปะ ไม่หดหู่ ไม่สงสัย ใจตั้งมั่นอยู่กับเนื้อกับตัว รู้เนื้อรู้ตัวอยู่

นี่อาศัยมีสติรู้ทันจิตไปนะ ได้ทั้งศีล ได้ทั้งสมาธิ


แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่  ๓๓
ลำดับที่ ๑๒
File: 521227
ระหว่างนาทีที่ ๒๖ วินาทีที่ ๑๒ ถึงนาทีที่ ๒๗ วินาทีที่ ๕๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

งานหลักของเราคือทำตัวให้พ้นสังสารวัฏ

mp 3 (for download) : งานหลักของเราคือทำตัวให้พ้นสังสารวัฏ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าเมื่อไหร่เราปฏิบัติโดยการเข้าไปแทรกแซงเรื่อยๆนะ เช่น โกรธขึ้นมากำหนด โลภขึ้นมากำหนดนะ นานๆ เราจะรู้สึกว่าเราบังคับจิตได้ จะรู้สึกคึกคักห้าวหาญ ไม่กลัวกิเลสแล้ว กิเลสมาทีไรกำหนดแล้วจอดหมดทุกทีเลย จิตนี้เป็นอัตตาขึ้นมาแล้ว ได้พอกพูนความเห็นผิดว่าจิตเป็นตัวเป็นตน เป็นสิ่งบังคับได้ขึ้นมา จะไม่ใช่วิปัสสนานะ วิปัสสนาจะรู้กายอย่างที่เขาเป็นรู้ใจอย่างที่เขาเป็น เห็นจิตเห็นใจทำงานของเขาไปเรื่อย เราบังคับไม่ได้ เขาไม่เที่ยง เขาทนอยู่ในสภาวะอันใดอันหนึ่งนานๆ ไม่ได้ ดูไป ใจเห็นความจริงใจถึงยอมรับนะ ยอมรับแล้วมรรคผลมันจะเกิด

พระพุทธเจ้าจึงสอนว่าเพราะรู้ตามความเป็นจริง รู้ตามความเป็นจริงหมายถึงรู้รูปนามนะ รู้รูปนามตามความเป็นจริง ตามความเป็นจริงคือไตรลักษณ์นั่นเอง รู้ว่ารูปนามตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ มีลักษณะเป็นไตรลักษณ์ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวเรา

เพราะรู้ตามความเป็นจริงจึงเบื่อหน่าย จอยรู้สึกไหม มันน่าเบื่อ สุขก็น่าเบื่อนะ ทุกข์ก็น่าเบื่อนะ ดีก็น่าเบื่อ ชั่วก็น่าเบื่อนะ อะไรๆ ก็น่าเบื่อ หยาบก็น่าเบื่อ ละเอียดก็น่าเบื่อ เพราะมันของไม่เที่ยงทั้งหมดเลยนะ เพราะรู้ตามความเป็นจริงจึงเบื่อหน่าย เพราะเบื่อหน่ายจึงคลายกำหนัด คลายกำหนัดนี่มาจาก ภาษาไทยฟังแล้วแปลยาก ภาษาบาลีเรียกว่า “วิราคะ” หมายถึงใจเราไม่เข้าไปผูกพันกับมัน ใจไม่เข้าไปผูกพันในความสุข เพราะรู้ว่าความสุขชั่วคราว ไม่ไปหลงยินดีว่ามันจะต้องถาวร อยากให้มันถาวร ไม่มีอย่างนี้ จะไม่ดิ้นรนเพื่อจะรักษาความสุขแล้ว ใจไปเห็นความทุกข์เข้า ก็ไม่ผูกพันกับความทุกข์ ไม่ใช่คิดว่าความทุกข์เป็นตัวเราของเรานะ งั้นต้องไปหาทางละ ใจจะไม่เข้าไปผูกพันกับสภาวะที่มันไปรู้เข้า ใจมันคลายออก

เพราะรู้ตามความเป็นจริงก็เลยเบื่อหน่าย เพราะเบื่อหน่ายเลยคลายกำหนัดคือคลายความผูกพัน คลายความรักใคร่ในสภาวะอันหนึ่ง เกลียดสภาวะอันหนึ่ง เพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น หลุดพ้นจากอะไร จากรูปจากนามนั่นเอง ที่ชมพูเห็น จิตมันไปคว้าจิตขึ้นมา มันไม่หลุดพ้นนะ มันปล่อยไม่ได้ ถ้ามันเห็นความจริง จิตนี่ทุกข์ล้วนๆ นะ มันจะทิ้ง เรียกเห็นไตรลักษณ์ จิตแจ่มแจ้งแล้วมันทิ้งเลย มันทิ้ง

เพราะเบื่อหน่ายจึงคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น อะไรหลุดพ้นอะไร จิตหลุดพ้นจากความถือมั่นในขันธ์นั่นเองนะ จิตหลุดพ้นจากกิเลสที่ห่อหุ้มจิตที่เรียกว่า “อาสวะ” กิเลสที่ห้อหุ้มจิต จิตหลุดพ้นออกมา เพราะหลุดพ้นจึงรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว รู้เลยนะ รู้ด้วยตัวเองนะ ของมันเคยยึดเคยถือไว้หนักๆ นะ มันหลุดแล้วมันวาง เห็นต่อหน้าต่อตา มันวางจริงๆ เพราะมันไปเห็นธรรมที่พ้นจากความเกิดความตาย

เพราะหลุดพ้นจึงรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว ก็จะรู้ธรรมะที่พ้นออกไป เรียกว่า “วิมุตติญาณทัสสนะ” รู้ธรรมะแห่งความหลุดพ้น รู้นิพพานนั่นเอง

แล้วก็รู้อีกนะว่าชาติสิ้นแล้วคือความเกิดสิ้นแล้ว ความเกิดคืออะไร คือการที่ใจเราเข้าไปหยิบฉวยรูปนามนั่นเอง ใจที่เราเข้าไปหยิบฉวยจิตนี่ คว้าปั๊บเข้ามาหยิบฉวยเข้ามา นี่แหละคือความเกิดคือชาติ ใจเข้ามาหยิบฉวยกายก็เกิดชาติ ใจหยิบฉวยจิตก็เกิดชาติ พอเบื่อหน่ายคลายกำหนัดก็หลุดพ้น รู้ว่าหลุดพ้นแล้วนะ รู้ว่าชาติสิ้นแล้ว ไม่หยิบฉวยอะไรขึ้นมาอีกแล้ว ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์คือการประพฤติปฏิบัติธรรมเนี่ย

การศึกษาธรรมะเนี่ย ศึกษาจบแล้ว ศึกษาจบแล้ว จบในศีลในจิตในปัญญา ศีลสิกขา จิตตสิกขา ปัญญาสิกขา ไม่ใช่ศีลสมาธิปัญญานะ เราพูดเล่นคล่องๆ ปากหรอกศีลสมาธิปัญญา

ไตรสิกขาคือศีลสิกขา จิตตสิกขา ปัญญาสิกขา แจ่มแจ้งแล้วรู้หมดแล้ว

ศีลเนี่ยเป็นการศึกษาเพื่อสู้กิเลสหยาบๆ เพื่อให้จิตนี่มีความตั้งมั่นเพียงพอพร้อมที่จะมาเรียนรู้จิต คือทำจิตตสิกขา

จิตตสิกขาเนี่ย จิตจะสงบจากนิวรณ์จากกิเลสชั้นกลาง พร้อมที่จะไปเจริญปัญญา มันจะรู้ว่าจิตยังไงที่ข่มนิวรณ์ได้ จิตยังไงข่มนิวรณ์ได้แล้วพร้อมที่จะเจริญปัญญาด้วย จิตที่ข่มนิวรณ์ได้คือจิตที่ทำสมถะ จิตที่ข่มนิวรณ์แล้วพร้อมจะเจริญปัญญาคือจิตที่พร้อมต่อการทำวิปัสสนา ไม่เหมือนกัน

พอถึงปัญญาสิกขาก็คือการเรียนรู้ความจริงของกายของใจจนละกิเลสขั้นละเอียดคือความหลงผิดได้ละอวิชชาได้

งั้นศีลสิกขา จิตตสิกขา ปัญญาสิกขา ชำแหละกิเลสเป็นชั้นๆ ๆ เข้ามานะ จนกระทั่งจิตใจเราบริสุทธิ์หมดจดแล้ว หมดงานต้องทำเรียกว่าเรียนจบ เรียกว่าจบหลักสูตร ที่ว่าพรหมจรรย์อยู่จบแล้วหมายถึงว่าเรียนจบหลักสูตรแล้ว คนที่เรียนจบหลักสูตรเรียกว่า “อเสขบุคคล” คือคนที่ไม่ต้องเรียนอีกแล้ว คือพระอรหันต์นั่นเอง

พวกเราเป็นนักเรียนนะ พวกเรายังเป็นนักเรียน พระโสดาบันน่ะเป็นนักเรียนจริงๆ พระโสดาบันน่ะเป็นนักเรียน พวกเรานั้นเป็นคล้ายๆ นักเรียนเตรียมอนุบาลนะ ยังไม่ถึงขั้นเป็นนักเรียน เพราะพระโสดาบันขึ้นไปนี่ถึงจะเรียกว่าเป็น “เสขบุคคล” เป็นนักเรียน พระอรหันต์เรียกอเสขบุคคล ไม่ต้องเรียน ส่วนเราเป็น “กัลยาณปุถุชน” เป็นปุถุชนที่ดี ปุถุชนแปลว่าหนา กิเลสหนานั่นแหละ ไม่ใช่อะไรหนานะ กิเลสหนา ไม่ใช่สมองหนา กะโหลกหนานะ กิเลสหนาหมายถึงว่ากิเลสนี่มีแรงมาก ลากจูงจิตใจเราไปลงนรก เราก็ยอมไปกับมันนะ เอาความหอมหวานมาหลอกมาล่อ

งั้นเราค่อยศึกษาไปนะ จนกระทั่งวันหนึ่งงานเสร็จแล้วนะ เสร็จแล้ว ใจไม่ไปหยิบฉวยอะไรอีกแล้ว มันพ้นทุกข์แล้ว มันเห็นนิพพานเต็มบริบูรณ์ต่อหน้าต่อตา นี่พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจที่ควรทำเนี่ยควรทำในอะไร ในสังสารวัฏนี่เอง

พวกเราที่เวียนว่ายในสังสารวัฏนะ เรามีงานหลักของเรานะคือทำตัวให้พ้นสังสารวัฏให้ได้นะ นี่คืองานหลักของเรานะ ไม่ใช่ร่อนเร่ไปในสังสารวัฏเวียนเกิดเวียนตายไปเรื่อยๆ งั้นงานไม่มีที่สิ้นสุดเลย

กิจที่ควรทำก็คือการข้ามภพข้ามชาตินั่นเอง ได้ทำเสร็จแล้วทำหมดแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มีอีก กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มีอีก เพราะตรงนี้ไม่มีอะไรจะต้องทำแล้ว กายกับใจเราคืนให้ธรรมชาติคืนให้โลกเขาไปแล้ว จิตใจจะมีแต่ความสุขนะ มีความสุขมีความสงบมีความเบิกบานถาวรอยู่อย่างนั้น จะหลับตื่นยืนเดินนั่งนอนมีแต่ความสุขล้วนๆ นะ เพราะว่าจิตใจไม่ถูกขยำขยี้ จิตใจของเราถูกปู้ยี่ปู้ยำนะ ปู้ยี่ปู้ยำด้วยตัวเองนี่แหละ

สวนสันติธรรม
CD: 16
File: 491116B.mp3
Time: 27.39 – 34.48

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ถ้ามีสติ จากไม่มีศีลก็มีศีล จากไม่มีสมาธิก็มีสมาธิ จากไม่มีปัญญาก็มีปัญญา

mp3 (for download) : มีสติก็มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช สวนสันติธรรม ชลบุรี

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช สวนสันติธรรม ชลบุรี

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าดูจิตเป็นนะ เคยไม่มีศีล ก็จะมีศีล ไม่มีสมาธิ ก็จะมีสมาธิขึ้นมา หัดดูจิตดูใจของเรา มีสติรักษาจิตไปเรื่อย รู้ทันจิตไป กิเลสเกิดขึ้นรู้ทัน กิเลสเกิดขึ้นรู้ทัน ถ้าฝึกอย่างนี้เรื่อยนะ กิเลสครอบงำจิตไม่ได้ จิตไม่ผิดศีลหรอก จิตไม่ผิดศีล กาย วาจาก็ไม่ผิดศีล รักษาใจไว้ได้ตัวเดียว กายวาจา ก็เรียบร้อยไปด้วย คนเราทำผิดศีลทางกาย ทางวาจาได้นั้น ก็เพราะว่ากิเลสครอบงำจิต กิเลสครอบงำจิตเพราะว่าไม่มีสติรู้ทัน เราอยากรักษาศีลให้สบาย ไม่ลำบาก อย่างคนไม่มีสติรักษาศีลยากที่สุดเลย เดี๋ยวก็เผลอ เดี๋ยวก็เผลอ เผลอแล้วก็ทำผิดศีลอีก ศีลกระพร่องกระแพร่ง ศีลโกโรโกโสอย่างนั้นใช้ไม่ได้ มีสติรู้ทันจิตบ่อยๆไว้ กิเลสเกิดรู้ทัน กิเลสเกิดรู้ทัน อย่างราคะเกิดแล้วรู้ทัน ราคะครอบงำจิตไม่ได้ ก็ไม่เป็นชู้กับใคร ไม่มีกิ๊ก มีอะไรหรอก ไม่ขโมยใครหรอก มันอัตโนมัติขึ้นมาอย่างนี้ โทสะเกิดขึ้นมีสติรู้ทันนะ โทสะครอบงำจิตไม่ได้ มันก็ไม่ฆ่าไม่ตีใคร เห็นมั๊ยสำคัญนะ มีสติรักษาจิตเอาไว้ คอยรู้ทันจิตไปเรื่อย กิเลสครอบงำไม่ได้ก็มีศีลขึ้นมา จิตใจฟุ้งซ่านได้ก็เพราะกิเลสนั่นแหล่ะ จิตใจทำผิดศีลได้ก็เพราะกิเลส จิตใจฟุ้งซ่านได้ก็เพราะกิเลส มันมีสติอยู่นะ จิตใจมันฟุ้งขึ้นมารู้ทัน ความฟุ้งซ่านก็ดับไป จิตมันคิดไปในเรื่องกาม มีกามฉันทะนิวรณ์ จิตมันตรึกไป คิดไปในกาม มีสติรู้ทันนะ กามฉันทะก็ดับไป ใจมันตรึกไปในทางพยาบาท คิดไปในทางพยาบาท มีสติรู้ทันนะความพยาบาทก็ดับไป มีสติรู้ทันใจมันฟุ้งซ่านรู้ทัน ใจมันหดหู่รู้ทัน ใจมันลังเลสงสัยรู้ทันขึ้น กิเลสพวกนี้จะดับไป

กิเลสระดับนี้ เรียกว่า นิวรณ์ เป็นกิเลสชั้นกลาง ถ้านิวรณ์มันทำงานขึ้นมาได้ มันจะกลายเป็นกิเลสอย่างหยาบ เป็น ราคะ โทสะ โมหะ ขึ้นมา ถ้า ราคะ โทสะ โมหะ เกิดแล้วมันครอบงำจิต จะผิดศีล แต่ถ้านิวรณ์เกิดนะ ยังไม่แรงถึงขั้น ราคะ โทสะ โมหะ จะเสียสมาธิไป จิตจะฟุ้ง จิตจะเคลื่อนไป ลืมกายลืมใจแล้ว ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว งั้นเรามีสติรู้ทันจิต จิตมีนิวรณ์เกิดขึ้น กามฉันทะ ความพอใจในกามเกิดขึ้น พยาบาทเกิดขึ้น ความฟุ้งซ่าน ความหดหู่ ความลังเลสงสัย สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นคอยรู้ทันลงไป  กิเลสนิวรณ์มันก็ดับ อยู่ไม่ได้หรอก มันสู้สติไม่ได้ มีสติเมื่อไหร่มันไม่มีกิเลสหรอก

นี่เราก็ล้างความฟุ้งซ่านของจิตไป จิตไม่หลงปรุง หลงคิด หลงนึกไป จิตอยู่กับเนื้อกับตัว ตั้งมั่น หลุดออกจากโลกของความคิดได้  แม้สมาธิทำไปนะ เราจะหลุดออกจากโลกของความคิด และนิวรณ์นั้นมันลากให้เราปรุงไป ลากให้เราคิดไป คิดไปในกาม คิดไปในพยาบาท คิดฟุ้งซ่าน คิดหดหู่ คิดสงสัย นิวรณ์มันลากให้เราหลงไปคิดให้จิตฟุ้งซ่าน มีสติรู้ทันจิตก็ตั้งมั่นขึ้นมา จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวแล้วตอนนี้ พอจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว คราวนี้เดินปัญญาได้ เห็นมั๊ยสำคัญนะ มีสติรู้จิตไป กิเลสหยาบครอบงำไม่ได้ กายวาจาเรียบร้อย มีสติรู้ทันกิเลสอย่างกลางๆ เรียกว่า นิวรณ์  นิวรณ์นี่เป็นตัวกระตุ้น ถ้าปล่อยมันรู้ไม่ทันมัน จะกลายเป็นกิเลสหยาบ ถ้ารู้ทันมันใจก็สงบ ใจไม่ฟุ้งซ่านไปหลงไปอยู่ในโลกของความคิด เรียบร้อยใจสบายอยู่กับเนื้อกับตัว คราวนี้ก็เดินปัญญา

หลักของการเดินปัญญาเนี้ย ต้องแยกรูป แยกนาม แยกกาย แยกใจให้ได้นะ หลายคนที่พอมีสติขึ้นมาปุ๊บ รูปนามกายใจมันแยกเอง พวกที่มีบารมีนี่ มีสะสมมาแล้วเคยภาวนามาแล้ว พอใจรู้สึกตัวปุ๊บนี่ มันจะเห็นเลยร่างกายอยู่ส่วนหนึ่ง จิตอยู่ส่วนหนึ่ง เห็นเองเลย เห็นความรู้สึกสุขทุกข์อยู่ส่วนหนึ่ง จิตอยู่ส่วนหนึ่ง เห็นเองนะ เห็นกุศล เห็นอกุศลอยู่ส่วนหนึ่ง จิตอยู่ส่วนหนึ่ง นี่มันเห็นได้เองนะ คนซึ่งมีบารมี อบรมมา อินทรีย์แก่กล้ามา บางคนไม่แก่กล้า พอรู้ตัวแล้วรู้อยู่เฉยๆ รู้ว่างๆอยู่นะ ไปเอาความว่าง น่าสงสาร ภาวนากับความว่าง เรียกว่า มักน้อยในเรื่องไม่ควรมักน้อย ต้องรู้กายต้องรู้ใจนะ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างอื่นเลย งั้นบางทีทำสมาธินะรู้ตัว ใจตั้งมั่นอยู่กับเนื้อกับตัว รู้ตัว สว่าง ว่าง สบาย จิตไปค้างอยู่ตรงนี้ขี้เกียจขี้คร้านไม่เดินปัญญาต่อ อย่ามาคุยเรื่องมรรคผลนิพพาน บางคนเข้าใจผิดนะ บอกให้ประคองจิตให้ว่าง ไปงั้นนะ ว่างไปถึงที่หนึ่งแล้วบรรลุมรรคผลนิพพาน มรรคผลนิพพานไปได้ด้วยปัญญา

หลวงพ่อปราโมย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒
ก่อนฉันเช้า

CD สวนสันติธรรม 33
file: 521226A
ระหว่างนาทีที่ ๑๐ วินาทีที่ ๑๓ ถึง นาทีที่ ๑๕ วินาทีที่ ๒๗

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ถ้ามีสติอย่างเดียว แต่ขาดสัมมาสมาธิ จะไม่เกิดปัญญา และไม่มีกำลังที่จะเกิดอริยมรรค

mp 3 (for download) : ถ้ามีสติอย่างเดียว แต่ขาดสัมมาสมาธิ จะไม่เกิดปัญญา และไม่มีกำลังที่จะเกิดอริยมรรค

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : เครื่องมือในการเจริญสติ เครื่องมือหลักๆ ก็คือสติ สัมมาสมาธิ คือเครื่องมือหลักๆ ผลผลิตของมันก็เป็นปัญญา พอปัญญาเกิดขึ้น ปัญญาทำหน้าที่ประหารกิเลส ทำลาย ตัดกิเลส ตัดสังโยชน์ ถ้าตัดสังโยชน์นี่เรียกว่าเป็นปัญญาในระดับอริยมรรค เพราะฉะนั้นต้องเรียนมากๆ เรื่องสติ กับสัมมาสมาธิ ต้องเรียนสองอันนี้เยอะๆ หน่อย ถ้ามีสติอย่างเดียวนะ ขาดสัมมาสมาธินี่ มันไม่มีกำลังที่จะตัดสินความรู้ สัมมาสมาธิเป็นตัวสำคัญที่ทำให้เกิดปัญญา สัมมาสมาธิคือความตั้งมั่น ความตั้งมั่นของจิต เราจะรู้สึกว่าพอจิตมันถึงฐานของมันจริงๆ นะ มันรู้สึกเลย จิตใจตั้งมั่น จะสามารถสักว่ารู้สักว่าดูอะไรได้หมด นี้ส่วนใหญ่พวกเราจิตใจไม่ตั้งมั่น สมาธิที่พวกเรารู้จักนี่มันเป็นมิจฉาสมาธิ จิตมันชอบเข้าไปตั้งแช่ในอารมณ์ ยกตัวอย่างเวลาเรารู้ลมหายใจเข้าหายใจออก ใจเราชอบไหลเข้าไปอยู่ที่ลม พอรู้ลมนี่ใจก็ไหลไปอยู่ที่ลม เราไปดูท้องพองยุบ ใจไหลไปอยู่ที่ท้อง เราเดินจงกรมยกเท้าย่างเท้า ใจไหลไปอยู่ที่เท้า

บางสำนัก สายหลวงพ่อเทียนท่านขยับมือ ขยับมือ ลูกศิษย์จำนวนมากเลย ใจไหลเข้าไปอยู่ในมือ ใจไหลเข้าไปอยู่ในมือ กับไหลเข้าไปอยู่ที่ท้อง ไหลไปอยู่ที่เท้า ไหลไปอยู่ในลมหายใจ มันก็ไหลเหมือนกัน ใจไม่ตั้งมั่น พอใจไม่ตั้งมั่นนะ ปัญญาจะเกิดไม่ได้จริงหรอก ได้แต่เพ่ง ใจจะเข้าไปแนบ อยู่ในอารมณ์อันเดียว อย่างต่อเนื่อง สงบ ดีแล้วเกิดปีติ ขนลุกขนพอง ตัวลอย ตัวเบา ตัวโพรง ตัวใหญ่ ตัวหนัก มีสารพัด อาการที่แปลกๆ กว่าปกติทั้งหลาย เป็นอาการของปีติ ขนลุกขนพอง วูบๆ วาบๆ นะ เหมือนฟ้าแลบแปล๊บๆ ปล๊าบๆ อะไรอย่างนี้ มันเป็นอาการที่ใจมันทำสมถะ เข้าไปแช่ในอารมณ์นานๆ แล้วจิตใต้สำนึกก็ทำงานปรุงอะไรต่ออะไรขึ้นมา แล้วแต่มันจะชอบ บางคนปรุงเห็นผีเห็นสางอะไรก็ได้นะ บอกว่าผีหลอก จริงๆ หลอกตัวเอง

ค่อยๆ สังเกตไปใจที่ตั้งมั่นกับใจที่ไหลไป วิธีหัดง่ายๆ เลย หัดสังเกตจิตใจของเรา อย่างนั่งฟังหลวงพ่อพูดนะ เดี๋ยวใจก็ไหลไปคิด เดี๋ยวก็ตั้งใจฟัง ฟังแล้วก็ไหลไปคิด ดูออกมั้ย คุณนี่ ฟังไปแล้วก็คิดไป สลับ ดูออกมั้ย แต่เราไม่เคยเห็นจิตที่ไหลไป เพราะฉะนั้นจิตเราไม่ได้ตั้งมั่นจริง คุณลองดูท้องพองยุบซิ ลองเคยทำดูพองยุบมั้ย เคยใช่มั้ย ลองทำเหมือนที่เคยปฏิบัติ ลองเลย ทำจริงๆ ลืมหลวงพ่อซะ นี่รู้สึกมั้ย ใจเรารวมไปอยู่ที่ท้อง ใจเราเคลื่อนไปอยู่ที่ท้อง นึกออกมั้ย นี่แหละคือการทำสมถะล่ะ นะ แล้วพวกเราชอบคิดว่าวิปัสสนา ไม่ใช่วิปัสสนา จิตไม่ตั้งมั่น จิตไหลไปแล้ว ไหลไป งั้นวิธีการที่ง่ายๆ นะ ที่คุณจะดูก็คือ จิตเราไหลไปเรารู้ทันว่าไหล อย่าดึงนะ อย่าออกแรงดึงนะ ถ้าเราเห็นไหลไปแล้วเราดึงนี่ จะแน่นขึ้นมา นี่ส่งใจไปดูอีกแล้วรู้สึกมั้ย ใจเราเคลื่อนไปดู ให้รู้ว่าเราหลงไปดูแล้ว มันคล้ายๆ เราดูโทรทัศน์น่ะ หรือเราจ้องจอคอมพิวเตอร์ ในนี้เหมือนมีจอคอมพิวเตอร์อันนึง เราจ้องไปที่จอ รู้สึกมั้ยเราถลำไปที่จอ ใช้ไม่ได้นะ ที่นักปฏิบัติเกือบร้อยละร้อยพลาด ก็พลาดตรงนี้เอง จิตไม่ตั้งมั่น กับจิตตั้งแช่ เข้าไปแช่นิ่งๆ อยู่ที่ท้อง เข้าไปแช่อยู่ที่ลม เข้าไปแช่อยู่ที่เท้า ตราบใดจิตตั้งแช่ มันก็ได้แต่สมถะ สงบไปเฉยๆ แหละ  แต่ถ้าจิตตั้งมั่นนะ มันจะเห็นเลย จิตอยู่ต่างหากนะ ความคิดก็ส่วนความคิด จิตส่วนจิต รูปส่วนรูป นามส่วนนาม ไม่ก้าวก่ายกันหรอก จิตหลุดออกจากโลกของความคิดเลย แล้วก็ไม่ได้เพ่งกายไม่ได้เพ่งใจนะ แต่รู้กายรู้ใจ

รู้กายรู้ใจกับเพ่งกายเพ่งใจไม่เหมือนกัน เวลาเราเพ่งกายเพ่งใจนะ เบื้องต้นเราเกิดอยากก่อน อยากปฏิบัติ พออยากปฏิบัติเราก็จงใจกำหนดรูปกำหนดนาม เราคิดว่าถ้าเอาสติไปกำหนด สติมีหน้าที่กำหนด ถ้าเรียนอภิธรรมอย่าง อาจารย์อนัตตาจะทราบ สติไม่ได้แปลว่ากำหนด สติแปลว่าความไม่ประมาท ความไม่หลงลืม ความไม่เลื่อนลอยๆ แต่จิตใจของเราชอบเลื่อยลอย รู้สึกมั้ยลอยไปลอยมา ตอนเนี้ยลอยไปคิดแล้ว นึกออกมั้ย จิตเราลอยไปคิด เวลาที่เราไม่ได้นึกเรื่องปฏิบัติจิตเราก็ลอยไปคิด เค้าเรียกว่าขาดสติ เวลาเรานึกถึงการปฏิบัติเราก็ไปเพ่งใส่ลงไป จิตเราเคลื่อนไป จ่อนิ่งๆ ไว้ อันนั้นไม่ใช่การรู้รูปนาม แต่เป็นการเพ่ง เพ่งรูปเพ่งนาม เพ่งรูปเพ่งนามเป็นสมถะนะ หลายคนเข้าใจว่า ถ้ารู้รูปนามแล้วก็ ถ้ามีอารมณ์รูปนามแล้วต้องเป็นวิปัสสนา ไม่จำเป็นนะ ทำวิปัสสนานี่ต้องใช้อารมณ์รูปนาม ต้องรู้ อารมณ์รูปนาม อันนี้แน่นอน จะไปรู้อารมณ์บัญญัติหรือไปรู้อารมณ์นิพพานไม่ได้ ไม่ใช่วิปัสสนา แต่สมถะนี่ใช้อารมณ์บัญญัติก็ได้ อารมณ์รูปนามก็ได้ กระทั่งอารมณ์นิพพานก็ใช้ทำสมถะได้ พระอริยะเจ้าทำสมถะโดยใช้อารมณ์รูปนามก็ได้ ใช้บัญญัติก็ได้ ใช้อารมณ์นิพพานก็ได้ คนทั่วๆ ไปทำสมถะได้โดยใช้อารมณ์บัญญัติคือเรื่องราวที่คิด กับรูปนาม เพ่งรูปเพ่งนาม เป็นสมถะ งั้นอย่างที่เราเดินจงกรมแล้วใจเราไปแนบเข้าไปที่เท้านี่นะ ทำสมถะอยู่ แต่ถ้าใจของเราตั้งมั่น มันจะเห็นเลย ตัวที่เดินนี้ไม่ใช่ตัวเรา เห็นทันทีนะ นี่เราเริ่มเห็นไตรลักษณ์ ร่างกายที่เคลื่อนไหวอยู่นี่ สักแต่ว่าเคลื่อนไหว สักแต่ว่าเป็นธาตุ มันรู้ด้วยใจ รู้สึกเอา ไม่ใช่คิดนะ ถ้าคิดใช้ไม่ได้ มันรู้สึกเอาถึงความเป็นธาตุของร่างกาย รู้สึกเอาถึงความไหวของร่างกาย จะไม่รู้สึกว่าเราไหว หรือว่าธาตุนี้เป็นตัวเรา เพราะว่าเราหลุดออกจากโลกของความคิดได้แล้ว ฉะนั้นไม่ต้องบริกรรมนะ ไม่ต้องบริกรรม เมื่อไรบริกรรมเมื่อนั้นตกจากวิปัสสนาทันทีเลย อย่างเรามีสตินะ สมมติเราใจลอยไป เรามีสติระลึกได้ว่าใจลอย นี่ระลึกได้แล้ว ใช้ได้ นี่มีสติ ถ้ามีปัญญาก็จะต่อตามมาอีก เห็นเลย จิตจะใจลอยห้ามมันไม่ได้ จิตจะรู้สึกตัวสั่งไม่ได้ นี่แสดงความไม่เที่ยง แสดงอนัตตาได้ แต่ถ้าใจลอยไป รู้ว่าใจลอยปุ๊ป ดึงไว้ปั๊ป นี่เป็นสมถะนะ ใจลอยแล้วใจของเราก็ลอยตามมันไปด้วยเลย หลงไป เนี้ยหลงไป

ค่อยๆ ดูสภาวะนะ มาเรียนที่หลวงพ่อไม่ใช่เรียนปริยัตินะ หลายคนไปคุยกันบอกหลวงพ่อปราโมทย์สอนอภิธรรม หลวงพ่อปราโมทย์ไม่ได้เรียนอภิธรรมนะ แต่หลวงพ่อพูดเรื่องสภาวะล้วนๆ เลย อภิธรรมมันเป็นเรื่องของสภาวะล้วนๆ ต่างหากล่ะ งั้นไม่ใช่หลวงพ่อสอนอภิธรรมนะ หลวงพ่อสอนแต่เรื่องสภาวะ แต่บังเอิญๆ อภิธรรมมันคือสภาวะนั่นเอง เนี้ยสภาวะที่เราเห็นด้วยการปฏิบัตินะ กับสภาวะในตำรา อันเดียวกันน่ะ แต่สภาวะในตำราจะหยาบๆ นะ หยาบๆ อย่างโทสะนี่แยกได้ไม่กี่อย่าง พวกเราแยกได้เยอะเลย ขัดใจนิดหน่อยใช่มั้ย โมโหจนเห็นช้างเท่าหมู มีดีกรีด้วย ดีใจเสียใจ นี่แต่ละอันมันกระจายออกไป โอ้ยมีเยอะแยะ เยอะแยะเลย

หัดรู้สภาวะเรื่อยๆ แล้วสติจะเกิด หัดรู้ทันจิตที่ไม่ตั้งมั่น แล้วจิตจะตั้งมั่น ฉะนั้นหัดสองอันเนี้ย หัดรู้สภาวะไป เช่นใจเราลอยไปเรารู้ ใจเราไปคิดเรารู้ ใจเราไปเพ่งเรารู้ นะ ใจหนีไปคิดอีกแล้วทราบมั้ย นี่หลวงพ่อบอกแล้วนึกออกมั้ย คอยดูไปเรื่อยๆ นะพอใจเราไหลไป อย่าไปตั้งใจดูนะ ห้ามไปจ้องไว้ก่อน ต้องตามดู ต้องตามดูนะ ตรงนี้ก็เป็นหลักการสำคัญ

สวนสันติธรรม
CD: 16
File: 491123B.mp3
Time: 0.14 – 9.15

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

หัวใจในการภาวนาในทางสายเอกนี้คือคำว่ารู้นั้นเอง

mp3 (for download) : หัวใจในการภาวนาในทางสายเอกนี้คือคำว่า “รู้” นั้นเอง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : พวกเราสังเกตไหมในสติปัฏฐานนี่ ในมหาสติปัฏฐาน พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นทางเอกทางสายเดียวนะเพื่อการพ้นทุกข์ ลองดู verb ดูกิริยาในสติปัฏฐานมีกิริยาอยู่คำเดียวเอง คำว่า ‘รู้’ มีอยู่คำเดียวนะ กิริยาจริงๆ เลย คือคำว่า ‘รู้’ นั่นเอง ที่เป็นหลักจริงๆ

ท่านบอกหายใจออกก็รู้ หายใจเข้าก็รู้ ท่านไม่ได้บอกว่าหายใจออกให้กำหนดไว้เจ็ดฐาน หกฐาน ห้าฐาน สิบฐาน ไม่มีนะ ท่านบอกหายใจออกก็รู้ หายใจเข้าก็รู้ ยืนอยู่ก็รู้ เดินอยู่ก็รู้ บางทีใช้คำว่ารู้ชัดก็มี เดินอยู่ก็รู้ชัด นั่งอยู่ก็รู้ชัด คำว่ารู้คืออะไร รู้ที่ท่านพูดมีความหมายนะ มีความสุขก็รู้ มีความทุกข์ก็รู้ นะสอน จิตใจเป็นกุศลก็รู้ จิตใจมีความโลภก็รู้ มีความโกรธก็รู้ มีความหลงก็รู้ ฟุ้งซ่านก็รู้ หดหู่ก็รู้ สังเกตให้ดีนะ มีแต่คำว่า ‘รู้’ เต็มไปหมดเลยในสติปัฏฐาน จิตมีนิวรณ์ มีกามฉันทนิวรณ์ก็รู้ รู้ชัด มีพยาบาทนิวรณ์ก็รู้ เห็นไหม จิตมีอะไรต่ออะไรขึ้นมา ‘รู้’ ท่านสอน

เพราะฉะนั้น กิริยาที่เป็นหัวใจของการภาวนาในทางสายเอกทางสายเดียวคือคำว่า ‘รู้’ นี่เอง คำว่า ‘รู้’ มีสองนัยนะ อันแรก มีสติรู้สภาวธรรมที่กำลังปรากฏ คือรูปธรรมและนามธรรมที่กำลังปรากฏ อันที่สอง มีปัญญารู้ความจริงของสภาวะรูปและนามอันนั้น ความจริงของสภาวะรูปและนามก็คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวเรา เพราะฉะนั้น คำว่า ‘รู้’ นี่ครอบคลุมนัยสองประการนี้ อันแรกรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น อันที่สองรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่ตัวเรา ถ้ารู้อย่างนี้แหละถึงเป็นทางสายเอกทางสายเดียวเพื่อความพ้นทุกข์

CD สวนสันติธรรม 19

500310A

26.14 – 28.16

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่