Dhammada on Android
available now on
Google Play Store
คำชี้แจง
    Dhammada.net เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มลูกศิษย์ที่ภาวนาตามแนวดูจิตได้จัดทำกันเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทาง สวนสันติธรรม หรือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แต่อย่างใด     จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันกับข้อเท็จจริง     ขอแสดงความนับถือ     Dhammada.net

หมวดหมู่

เรื่องล่าสุด

Latest Clips

คลังเก็บ

ทาน ศีล สมาธิ วิปัสสนา นิพพาน

mp3 for download : ทาน ศีล สมาธิ วิปัสสนา นิพพาน

หลวงพ่อปราโมทย์ : ขออนุญาตท่านอาจารย์ครับ หลวงพ่อจะมาเยี่ยมครูบาอาจารย์เฉยๆนะ มาเยี่ยมหลวงพ่อ.. กับหลวงพ่อคำเขียน ๒ องค์ ไม่ได้มาเทศน์หรอก เทศน์ไม่ได้ ผิดธรรมเนียม ครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่กว่าอยู่ต้องนิมนต์ท่านเทศน์หรอก แต่นี่ท่านอนุญาตนะ ครูบาอาจารย์อนุญาตให้เราเทศน์ เราก็เทศน์ได้ แต่เทศน์แล้วต้องทำนะ จะให้หลวงพ่อเทศน์เปล่าๆ บาปนะ คือเราให้พระเหนื่อยฟรีๆแล้วขี้เกียจ

อย่าขี้เกียจนะ ความทุกข์มันบีบคั้นเราอยู่ทั้งวันทั้งคืน คนมีปัญญาถึงจะมองเห็น คนไม่มีปัญญาก็จะเห็นแต่มีความสุขนะ หลงระเริงไปเรื่อยๆ วนไปวันหนึ่งๆนะ เดี๋ยวก็เดือนเดี๋ยวก็ปี ไม่นานก็ตาย สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรติดเนื้อติดตัวไป น่าเสียดายที่สุดเลย

พวกเรามีบุญนะ พวกเราอุตส่าห์มาวัด มาหาครูบาอาจารย์ มาอะไรนี่ ได้รักษาศีล ได้ฟังธรรม ก็ต้องมาปฏิบัติ ธรรมะที่เราจะปฏิบัตินะ ก็มีทานมีศีลมีภาวนานะ ทำทานก็ไม่ใช่ว่าต้องเสียเงินเสียทองนะ ยกตัวอย่างเราโกรธคน คนเขาด่าเรา เราอภัยให้เขาอะไรอย่างนี้ ก็เป็นทานอย่างหนึ่ง คนเขาไม่มีความรู้ แล้วเราให้ความรู้เขา ก็เป็นทานอย่างหนึ่ง ทานก็มีหลายอย่าง ไม่ต้องเสียเงินเสียทองอะไร ให้ความรู้เขาให้ความเข้าใจนะ ได้บุญแรง

ต้องรักษาศีล ของเรามาอยู่วัด อุตส่าห์แต่งขาว เรามีสตินะ แต่งชุดขาวๆ ขาดสติเดี๋ยวก็เลอะแล้ว เพราะฉะนั้นท่านให้แต่งขาวๆไว้ก็ดี จะกระดุกกระดิก จะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวนะ รู้สึก คอยรู้สึกไว้เรื่อยๆนะ เวลาโมโหใครขึ้นมา รู้ทันที่ใจเรา

มาอยู่วัดมาหาความสุขความสงบ หาความดีให้ตัวเอง ฝึกจิตฝึกใจของเราทุกวันๆนะ ภาวนาไปพุทโธๆไปก็ยังดี หายใจไปรู้สึกตัวไป มีสติ คอยรู้ทันใจตัวเองไว้เสมอๆ ถ้าเรามีสติรู้ทันใจของเราได้บ่อยๆนะ กิเลสอะไรเกิดขึ้นในใจเราคอยรู้ทัน ถ้าเรารู้ทันกิเลสที่เกิดขึ้นในใจของเราได้นะ กิเลสจะครอบงำใจเราไม่ได้ ถ้ากิเลสมันครอบงำจิตใจของเราไม่ได้นะ เราจะไม่ผิดศีลหรอก คนมันทำผิดศีลนะเพราะมันถูกกิเลสหลอกเอาไป

ยกตัวอย่างมันไปฆ่าเขามันไปตีเขานะ เพราะโทสะมันครอบงำใจ คอยหลอกลวงเขาอะไรอย่างนี้ หรือไปเป็นชู้กับเขาอะไรอย่างนี้ ก็เพราะโลภะครอบงำใจ เพราะฉะนั้นมันมาจากกิเลสทั้งนั้นเลยนะ ทำให้เราทำผิดศีลผิดธรรมเพราะฉะนั้นเรารักษาศีลให้มั่นคงแข็งแรงนะ ทุกคนต้องมีศีล ถ้าเราไม่มีศีลนะ เราเสียความเป็นมนุษย์แล้ว เราจะไปอบาย

ทีนี้เรามีศีลเท่านั้นไม่พอนะ เราต้องมีฝึกใจของเราให้สงบบ้าง ใจของเราร่อนเร่หนีเที่ยวทั้งวันทั้งคืน ไม่เคยอยู่กับเนื้อกับตัวเลย เรามาฝึกให้จิตใจอยู่กับตัวเอง การฝึกให้ใจอยู่กับตัวเองนี้แหละที่เรียกว่าฝึกให้มีความสงบมีความตั้งมั่นมีสมาธิขึ้นมา เราก็เอาสตินี้แหละมารู้ทันใจ เป็นวิธีที่ง่ายๆนะ ถ้าใจเราแอบไปคิดเรารู้ทัน ใจเราแอบไปคิดเรารู้ทัน รู้อย่างนี้บ่อยๆนะ พอใจเราไหลไปแว้บมันจะรู้สึกขึ้นมา ใจมันจะตื่น มันจะตั้งมั่น จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว ได้สมาธิเบื้องต้น สมาธิที่เรามีสติรู้ทีละแว้บๆ เขาเรียกว่าขณิกสมาธินะ สมาธิชั่วขณะเท่านั้นแหละ ได้สมาธิชั่วขณะก็ดีกว่าไม่มีเลย

คนไหนมีบุญมีวาสนานะ ภาวนาทุกวัน รู้ลมหายใจเข้าหายใจออกนะ พุทโธไป ภาวนาไป จิตใจไม่หนีไปที่อื่น จิตสงบอยู่กับลมหายใจ นั่นแหละจะได้สมาธิที่ละเอียดที่ปราณีตขึ้นไป ได้อุปจารสมาธิ ได้อัปนาสมาธิ จิตใจจะตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ใจจะเป็นผู้รู้นะ ใจไม่ใช่ผู้หลงคิด ใจที่ไม่มีสมาธิจะเป็นใจผู้หลงคิด ใจที่มีสมาธิมีความตั้งมั่นอยู่กับเนื้อกับตัวจะเป็นจิตที่เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานนะ มันจะมีความสุขอยู่ในตัวเอง

เพราะฉะนั้นเราฝึกจิตฝึกใจของเรานะให้อยู่ในอารมณ์อันเดียว ฝึกไปเรื่อย จะอยู่กับพุทโธก็อยู่นะ จะอยู่ในลมหายใจก็อยู่ ถ้าทำได้ก็ดีจะได้ความสุขความสงบที่ปราณีต ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าเสียใจ ให้อาศัยสติคอยรู้ทันจิตเป็นขณะๆไปก็ได้สมาธิเหมือนกัน แต่เป็นสมาธิแค่ขณิกสมาธิชั่วขณะ ดีกว่าไม่มีเลย ก็เหมือนกับคนยากคนจนนะ มีเงินร้อยบาท สองร้อยบาท สิบบาท ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย ไม่มีเงินล้านเงินแสนอย่างคืนอื่นก็ไม่เป็นไร เราไม่ได้มีฌานมากมายอย่างคนอื่นก็ไม่ต้องเสียใจ ได้ความสงบที่เป็นขณะๆอย่างนี้ก็พอที่จะไปมรรคผลนิพพานได้นะ

ทีนี้พอจิตใจเราอยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ลืมเนื้อลืมตัว ไม่ใจลอยล่องลอยหนีไปเรื่อยแล้วเนี่ย ให้มาคอยเจริญปัญญาต่อ เห็นมั้ยมามีศีลมีสมาธิแล้วมามีปัญญา มีศีลเพราะมีสติรู้ทันกิเลสนะ กิเลสครอบงำจิตไม่ได้ จิตก็มีศีลขึ้นมา มีสติที่รู้ทันจิตที่ฟุ้งซ่านไป จิตก็สงบขึ้นมาได้สมาธิ ถัดจากนั้นพอจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวแล้วต้องเดินปัญญา ถ้าเราไม่ได้เจริญปัญญาเราจะไม่ได้คุณค่าของศาสนาพุทธหรอก เพราะการรักษาศีล การทำสมาธิเนี่ย ถึงไม่มีพระพุทธเจ้านะ นักปราชญ์ทั้งหลายเขาก็สอนกันได้

ต้องมาเจริญปัญญาให้ได้ มาทำวิปัสสนานะ ถึงจะเป็นชาวพุทธแท้ๆได้รับประโยชน์จากพระศาสนาอย่างแท้จริง การเจริญปัญญาคือการเรียนรู้ตัวเอง สิ่งที่เรียกว่าตัวเราเองก็คือกายกับใจนะ เพราะฉะนั้นเราคอยมีสติรู้อยู่ที่กายมีสติรู้อยู่ที่ใจ รู้ไปอย่างสบายๆ รู้ด้วยจิตใจที่ตั้งมั่นจิตใจที่เป็นกลาง จิตใจที่มีสมาธิหนุนหลัง เพราะฉะนั้นจิตใจของเราต้องตั้งมั่นนะ สงบ ตั้งมั่น แล้วมาคอยรู้กายมาคอยรู้ใจ

เห็นกายทำงานเห็นใจทำงานไปเรื่อย ควรจะเห็นเหมือนเห็นคนอื่นนะ ร่างกายยืนเดินนั่งนอน เหมือนจะรู้สึกเหมือนกับว่าคนอื่นยืนเดินนั่งนอน ไม่ใช่ตัวเราแล้ว เห็นร่างกายหายใจออกร่างกายหายใจเข้า เนี่ยร่างกายมันหายใจไม่ใช่เราหายใจ จะไม่มีความรู้สึกว่าเป็นตัวเราจะเห็นเป็นเพียงวัตถุเท่านั้น เป็นก้อนธาตุนะ มีธาตุไหลเข้ามีธาตุไหลออก หายใจเข้าหายใจออก ก็แค่วัตถุเท่านั้นเอง ไม่ใช่คนไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่เราไม่ใช่เขา

มาดูจิตดูใจนะ เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย เฝ้ารู้ไปเรื่อย พวกเราเป็น.. ส่วนใหญ่คนรุ่นนี้เป็นพวกคิดมาก จิตคิดทั้งวันนะ คิดไปแล้วเดียวก็สุข คิดไปแล้วเดี๋ยวก็ทุกข์ มีมั้ยคิดแล้วทุกข์ บางทีเขาด่าเรามาสิบปีแล้วนะมาคิดใหม่ทุกข์ใหม่ เออ.. เป็นมั้ย โกรธใหม่ก็ได้ เรื่องตั้งนานแล้วนะ คิดซ้ำก็เป็นอีกนะ เนี่ยใจของเราชอบหลง หลงๆไปนะ ให้เราคอยมีสติรู้ทันนะ รู้ทันใจ ใจหลงไปคิดเรื่องนี้-รู้ทัน คิดแล้วเกิดความสุขก็รู้ทันว่ามีความสุขแล้ว ความทุกข์เกิดขึ้นในใจเราก็รู้ทันนะ กุศล-อกุศล โลภโกรธหลงอะไรเกิดขึ้นในใจ คอยรู้ทัน รู้เฉยๆ

ในขั้นของการเดินปัญญา ไม่เหมือนในขั้นของการทำสมาธิ ขั้นการทำสมาธินี่นะ จิตไม่ดีทำให้ดี จิตไม่สุขทำให้สุข จิตไม่สงบทำให้สงบ แต่ในขั้นปัญญาเนี่ย จิตไม่ดีรู้ว่าไม่ดี จิตไม่สุขรู้ว่าไม่สุข จิตไม่สงบรู้ว่าไม่สงบ รู้ลูกเดียวเลย รู้อย่างที่มันเป็นนะ เราจะเห็นเลยความสุขที่เกิดขึ้นในใจเราก็อยู่ชั่วคราว ความทุกข์ก็ชั่วคราวนะ โลภโกรธหลงอะไรๆก็ชั่วคราว นี่หัดดูลงไปนะ ทุกอย่างในชีวิตนี้เป็นของชั่วคราว นี่ล่ะคือการการเดินปัญญานะ ดูลงไป ค้นคว้าพิจารณาลงไปนะ

ถ้าจิตมันไม่ยอมดูของมันเองก็ต้องช่วยมันคิดช่วยมันพิจารณาก่อนในเบื้องต้น ยกตัวอย่างพิจารณาร่างกายนะ เป็นปฏิกูล เป็นอสุภะ เป็นธาตุเป็นขันธ์ นี่คือช่วยมันคิดก่อน แต่ถ้าจิตมันมีปัญญามีกำลังพอนะ มันจะเห็นเอง ร่างกายที่หายใจอยู่ไม่ใช่เรา จิตใจที่สุขจิตใจที่ทุกข์นั้น ความสุขความทุกข์ นั้นก็ไม่ใช่เรา จิตเป็นธรรมชาติรู้ จิตรู้ว่ามีความสุข จิตรู้ว่ามีความทุกข์ ตัวที่รู้นี้ก็ไม่ใช่เรา ตัวเราไม่มี ฝึกไปเรื่อยๆนะแล้วเราจะเห็นความจริงว่าตัวเราไม่มีหรอก

ภาวนาจนล้างความเห็นผิดว่ามีตัวเรา มีตัวตน ถ้าตัวเราไม่มีแล้วใครจะทุกข์ล่ะ ก็ขันธ์ ๕ มันทุกข์นะ ไม่ใช่เราทุกข์อีกต่อไปแล้ว เนี่ยเฝ้ารู้เฝ้าดูต่อไปนะ สติปัญญาแก่รอบขึ้นไปเรื่อย มันจะเห็นเลยว่าขันธ์ ๕ มีแต่ทุกข์ล้วนๆ อย่างพวกเราตอนนี้ปัญญาเราไม่พอ ศีลสมาธิปัญญาต้องฝึกให้แก่รอบนะ วันหนึ่งถึงจะพอ ถ้าพอจริงจะเห็นเลย กายนี้ทุกข์ล้วนๆ จิตนี้ทุกข์ล้วนๆ

พวกเราไม่เห็นหรอก พวกเราเห็นว่าร่างกายนี้เป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้าง ใช่ม้้ย เห็นมั้ยว่าจิตนี้เป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้าง เห็นอย่างนี้ใช่มั้ย นี่เราไม่รู้จริงหรอก พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ ท่านไม่ได้บอกว่าทุกข์บ้างสุขบ้างนะ เพราะฉะนั้นเรายังไม่ได้เห็นอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนหรอก เพราะฉะนั้นเรายังไม่ได้พ้นทุกข์หรอกนะ เพราะฉะนั้นต้องรู้ลงไปในกายรู้ลงไปในใจบ่อยๆ อย่าใจลอยนะ รู้สึกอยู่ในกายรู้สึกอยู่ในใจบ่อยๆนะ วันหนึ่งเราจะเห็นได้ว่ากายนี้ทุกข์ล้วนๆเลย

ยกตัวอย่างนั่งอยู่ก็ทุกข์นะ เดินอยู่ก็ทุกข์ นอนอยู่ก็ทุกข์ หิวก็ทุกข์ อิ่มก็ทุกข์ ง่วงก็ทุกข์นะ เจ็บป่วยขึ้นมาก็ทุกข์ นั่งอยู่เฉยๆก็คัน มีมั้ยนั่งแล้วไม่คัน คันก็ทุกข์นะ ทีนี้พวกเราพอทุกข์นะ เราก็เปลี่ยนอิริยาบถปับเลย เรายังไม่ทันจะรู้สึกเลยว่าทุกข์ ยกตัวอย่างคันขึ้นมารีบเกาเลย ยังไม่ทันรู้ตัวเลยว่าคันนะ เกาไปก่อนแล้ว เราก็ไม่เห็นทุกข์ มันเมื่อยขึ้นมาเราก็ขยับซ้ายขยับขวานะ เรายังไม่ทันรู้สึกเลยว่าเมื่อยนะ ยังไม่ทันรู้เลยว่ากายนี้เป็นทุกข์ ขยับหนีความทุกข์ไปเสียก่อนแล้ว เพราะฉะนั้นก่อนที่จะขยับตัวนะ รู้สึกตัวเสียก่อน ก็จะเห็นว่ามีแต่ทุกข์ล้วนๆเลยนะ

จิตใจนี้ก็เหมือนกันนะ คอยรู้ทันบ่อยๆจะเห็นว่ามีแต่ทุกข์ล้วนๆเลย ถ้าเห็นว่ามีแต่ทุกข์ล้วนๆเมื่อไหร่ก็ข้ามโลกได้แล้วนะ ถ้ายังเห็นว่าทุกข์บ้างสุขบ้างก็ไปไหนไม่รอดหรอก

ก็ฝึกเอานะ ขั้นแรกเลย รักษาศีล อุตส่าห์แต่งขาวๆน่ะ อย่าปากร้ายนะ ปากร้ายนี้มันมาจากใจร้ายก่อน ใช่ม้้ย แล้วมันลดลงมา เพราะฉะนั้นเรามีศีลไว้ก่อนนะ ต่อไปเราก็มาฝึกใจให้สงบ กายสงบวาจาสงบแล้วด้วยศีล ฝึกให้ใจสงบด้วยสมาธิ แล้วก็ขั้นสุดท้ายฝึกให้จิตเกิดปัญญาด้วยวิปัสสนา กิเลสมี ๓ ขั้นนะ กิเลสอย่างหยาบเนี่ยคือ โลภ โกรธ หลง ของหยาบที่สุด สู้ด้วยศีลนะ กิเลสอย่างกลางชื่อนิวรณ์ สู้ด้วยสมาธิ ใจอยู่กับเนื้อกับตัว ใจไม่ฟุ้งไป จิตมีสมาธิ นิวรณ์ครอบงำไม่ได้ กิเลสที่ละเอียดที่สุดนะ คือความเห็นผิด คืออวิชา ความเห็นผิด คือมิจฉาทิฎฐิ เราสู้ด้วยความเห็นถูก รู้ลงในกายรู้ลงในใจดูว่าจริงๆมันเป็นอย่างไร จริงๆมีแต่ทุกข์นะ ดูไป เอ้า..เท่านี้เนาะ เทศน์แค่นี้ก็ถึงนิพพานแล้วล่ะ เหลือแต่ทำเอา ก่อนจะถึงนิพพาน ศีล ๕ ก่อนเน่อ เดี๋ยวหลวงพ่อต้องไปแล้วล่ะ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่เกาะสีชัง จ.ชลบุรี
เมื่อวันจันทร์ที่ ๘ เดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓

File: 530308
Whole track

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ใจเป็นทุกข์จึงดิ้นรน ใจดิ้นรนเพราะถูกตัณหากิเลสเสียดแทงตลอดเวลา

mp3 for download :ใจหมดหิวก็เป็นพระอรหันต์

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : มีความสุขน่ะ มันมีสันติสุข สันติตัวนี้นะมันเกิดจากใจนะมันพ้นจากความปรุงแต่ง ไม่มีอะไรมาเสียดแทงมันได้ ใจของเราเสียดแทงตลอด รู้สึกมั้ย มีความหิวมีตัณหาเสียดแทงใจของเราตลอดเวลา แล้วก็โลภโกรธหลงเสียดแทงใจเราตลอดเวลาเลย

ใครเคยเห็นใจหิวบ้าง ยกมือสิ มีมั้ย ใจหิว.. สาธุ ใกล้จะเป็นพระอรหันต์แล้ว หมดหิวก็เป็นพระอรหันต์แล้วล่ะ ไม่เป็นไรหรอก

ใจมันหิว หิวก็ดิ้น ใช่มั้ย หิวก็ดิ้นรน ร่างกายหิววันละกี่ครั้ง สองสามครั้ง ร่างกายหิว แต่จิตน่ะหิวอยู่ทุกนาทีเลย เพราะฉะนั้นจิตนั้นทุกข์ๆ ทุกข์มากเลย ถูกความหิวแผดเผาอยู่ตลอดเวลา ถูกกิเลสแผดเผาอยู่ตลอดเวลา ทิ่มแทงอยู่ตลอดเวลา ทิ่มแทงจริงๆนะ จิตเหมือนวัวเหมือนควายนะ กิเลสเหมือนเอาไม้แหลมๆเหมือนปฏักน่ะทิ่มให้วิ่งไปทางโน้นทีทางนี้ที สังเกตมั้ยจิตของเราถูกตัณหาผลักดันให้วิ่ง ถูกกิเลสผลักดันให้วิ่ง ไปทางโน้นทางนี้ วิ่งไปทางตาม วิ่งไปทางหู วิ่งไปทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ วิ่งพล่านๆ พล่านๆ ตลอดเวลา มันมีความสุขเสียที่ไหนที่วิ่งพล่านๆอย่งนั้น เป็นหมาถูกน้ำร้อนเลยนะ วิ่งไปเรื่อย มีแต่ความทุกข์นะ

สติปัญญาแก่รอบนะ โอ้.. ปล่อยวางจิตได้ เขาวางเองนะ อย่าไปอตุริวางนะ บางคนนะ ฮ่า ฮ่า ต่อไปนี้ผมจะวางจิตนะ บ้าไปเลยนะ มีสติไว้ก่อน อย่าเพิ่งปล่อยวางทุกสิ่งที่ทุกอย่าง จิตเขาวางของเขาเอง ห้ามไปจงใจวาง ส่วนเรานั้นมีหนาที่เจริญสติเจริญปัญญาให้มาก..ไป แล้วพอถึงเวลาเขาวางของเขาเอง


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
แผนที่ : 1 2 3
แสดงธรรมที่ วัดสวนสันติธรรม
เมื่อวันเสาร์ที่ ๗ เดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๕๖ ก่อนฉันเช้า
FILE : 560907B
CD : สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๕๑
ระหว่างนาที่ที่ ๗ วินาทีที่ ๑๙ ถึง นาทีที่ ๙ วินาทีที่ ๑๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ลักษณะของจิตที่เป็นกุศล

mp 3 (for download) : ลักษณะของจิตที่เป็นกุศล

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : เพ่งมากๆนะ ไม่ได้กินหรอก เครียด ปฏิบัติธรรมแล้วเครียด ผิดแน่นอน จิตที่เครียดเป็นอกุศลนะ เป็นโทสะมูลจิต ผิดแน่นอน จิตที่แข็งๆเป็นอกุศลนะ จิตที่เป็นกุศลนะ จะต้องเบา ถ้าหนักๆแน่นๆ ไม่ใช่ จิตที่เป็นกุศลมีลหุตา มีความเบา มีมุทุตา มีความอ่อนโยนนุ่มนวล มีปาคุญญตา คล่องแคล่วว่องไว ถ้าทื่อ…ทื่อทั้งวันนะ ไม่ใช่จิตที่เป็นกุศล จิตที่เป็นกุศลมีกัมมัญญัตตา ควรแก่การงาน มีสภาวะอะไรที่ต้องรู้ต้องเห็น ก็รู้ก็เห็น ไม่ใช่แกล้งไม่รู้ไม่เห็น จิตที่เป็นกุศลนะ มีอุชุตา ซื่อตรงในการรู้สภาวธรรมนะ สภาวะอะไรเกิดขึ้นก็สักว่ารู้ว่าเห็นไป จิตที่เป็นกุศลไม่มีราคะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ เนี่ยสำรวจกายใจเรานะ

นักปฏิบัติจำนวนมากเลย ที่ลงมือปฏิบัติแล้วเกิดอกุศลจิต เริ่มตั้งแต่อยากปฏิบัติ เนี่ยจิตมีโลภะ ก็ลงมือปฏิบัตินะ บังคับตัวเองไปเรื่อยเลย ด้วยอำนาจของโลภะ บังคับเดินจงกรมตั้งนาน นั่งสมาธิตั้งนาน จิตไม่สงบสักที มันสงบไม่ได้นะ เพราะจิตยังมีกิเลสรุนแรงย้อมอยู่ผลักดันอยู่ พอไม่สำเร็จนะโทสะก็เกิด หรือมีโลภะอยากปฏิบัติก็ลงมือบังคับตัวเอง บังคับตัวเองแล้วเครียดขึ้นมา โทสะก็เกิด เพราะฉะนั้นลงมือปฏิบัติแล้วพัฒนาโลภะโทสะอุตลุดไปหมดเลยนะ หรือนั่งสมาธิแล้วเคลิ้มขาดสติลืมเนื้อลืมตัวไป นั่นพัฒนาโมหะนะ หรือว่านั่งสมาธิแล้วก็ออกนอก เห็นโน่นเห็นนี่นะ จิตฟุ้งซ่าน นั่นก็เป็นโมหะอีกแบบหนึ่ง เพราะฉะนั้นเวลาลงมือปฎิบัติต้องระวังนะ เพราะจะปฏิบัติจนไปอบายภูมิก็ได้นะ ถ้าปฏิบัติไม่ดี ปฏิบัติไม่ถูก

เพราะฉะนั้นต้องรู้ทางสายกลางให้แม่น แล้วการปฏิบัติจะง่าย ถ้าจิตเผลอไป รู้ทัน ถ้าบังคับตัวเองอยู่ เพ่งกายเพ่งใจอยู่ คอยรู้ทัน จิตจะตั้งมั่น ถ้าจิตตั้งมั่นเนี่ยจะไม่ไหลไปทางเผลอจะไม่ไหลไปทางเพ่ง จิตกลายเป็นแค่ผู้รู้ผู้ดู จิตที่ตั้งมั่นจะมีความเบา มีความนุ่มนวลอ่อนโยน มีความคล่องแคล่วว่องไว ซึ่อตรงในการรู้อารมณ์ จิตที่ตั้งมั่นอยู่ ไม่มีราคะไม่มีโทสะนะ เนี่ยค่อยๆสังเกตไปเรื่อย


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
เมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๖
Track: ๙
File: 550722
ระหว่างนาทีที่ ๒๖ วินาทีที่ ๔๑ ถึง นาทีที่ ๒๙ วินาทีที่ ๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ถ้าไม่รู้แจ้งอริยสัจจ์ ก็ยังไม่ปล่อยวาง

mp 3 (for download) : ถ้าไม่รู้แจ้งอริยสัจจ์ ก็ยังไม่ปล่อยวาง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ใจลึกๆมันจะรู้สึกอยู่ตลอดเลยว่า อะไรน้อ..ที่ยังไม่รู้ มีสิ่งบางสิ่งที่ยังไม่รู้อยู่ เพราะไม่รู้สิ่งนี้แหละ จิตถึงไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ลึกๆมันจะรู้สึกอย่างนี้อยู่ตลอดนะ

ภาวนาบางวัน บางครั้งบางคราว จิตปล่อยวางจิต พอจิตปล่อยวางจิตเสร็จแล้วไม่นานนะ ก็ไปหยิบฉวยจิตขึ้นมาดูต่อ เมื่อไหร่จะวางได้ ยกตัวอย่างไปหยิบพัดนี่ขึ้นมา แล้วก็มาคร่ำครวญ เมื่อไหร่จะวางได้ ทำยังไง(วะ)จะวางได้ น่ะ เนี่ย มันโง่อยู่อย่างนี้ มันโง่อยู่อย่างนี้ โอ๊ย..มันยากนะ กว่ามันจะเข้าใจ กว่าจะรู้นะว่าไม่รู้อะไรทำให้ไม่วาง ไม่รู้แจ้งอริยสัจจ์ ความไม่รู้แจ้งอริยสัจจ์นั่นแหละ เรียกว่าอวิชา

เพราะฉะนั้นทางที่จะหลุดพ้นนะ ก็คือ ต้องทำวิชาให้เกิด อวิชาก็จะดับไป วิชาคือความรู้แจ้งอริยสัจจ์ ข้อที่ ๑ รู้ทุกข์ ทุกข์คือกายกับใจ รูปกับนาม หน้าที่ของเราต้องรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริงเรื่อยไป การภาวนามีเท่านี้เอง การทำวิปัสสนากรรมฐานก็คือ การที่มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง เห็นไตรลักษณ์ของกายของใจ ความจริงก็คือไตรลักษณ์นั่นเอง ดูอย่างนี้เรื่อยไป

พอมันรู้แจ้งนะ กายกับใจเป็นไตรลักษณ์แจ่มแจ้ง เรียกว่ารู้ทุกข์แจ้ง ทุกข์ล้วนๆเลยไม่เห็นดีวิเศษอะไรเลย จิตจะสลัดคืนกายคืนใจให้โลก หมดความยึดถือกายยึดถือใจ พอไม่ยึดถือกายไม่ยึดถือใจปั๊บนะ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ สมุทัยจะถูกละอัตโนมัติ ตัณหาจะไม่มีอีกแล้ว

ตัณหามันคือความอยากให้กายให้ใจเป็นสุข อยากให้กายให้ใจพ้นทุกข์ พอไม่ยึดกายไม่ยึดใจก็ไม่มีความอยากที่จะให้มันเป็นสุข ไม่มีความอยากให้มันพ้นทุกข์นะ ตัณหาไม่มี เมื่อตัณหาไม่มี ตัณหาไม่เกิด ตัณหาดับสนิทไม่มีอีกแล้วนะ นิโรธคือนิพพานก็ปรากฎ พระนิพพานคือความสิ้นตัณหา ขณะจิตที่รู้แจ้งนิพพานนั้นแหละ รู้ทุกข์ ละสมุทัย แจ้งนิพพานขึ้นมา ขณะนั้นแหละคือการเกิดอริยมรรคนะ

เส้นทางเดินของพระอริยะทั้งหลายท่านก็เดินอย่างนี้นะ ไม่เผลอไม่เพ่ง รู้กายรู้ใจไป ไม่ไปหลงติดอยู่ที่ใดที่หนึ่ง คอยรู้เรื่อยๆไป วันหนึ่งก็ถึง เกิดความเข้าใจความเป็นจริงของกายของใจก็วาง รู้ตามความเป็นจริงจึงเบื่อหน่าย เพราะเบื่อหน่ายจึงคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น หลุดพ้นก็จะรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์คือการประพฤติปฏิบัติจบแล้ว กิจที่ควรทำ-ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่จะทำเพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้นไม่มีอีกแล้ว งานในทางศาสนาพุทธเป็นงานที่มีเวลาสิ้นสุด ไม่เหมือนงานในโลกที่ไม่มีวันสิ้นสุดนะ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันศุกร์ที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๒ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๑
Track: ๙
File: 520731A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒๘ วินาทีที่ ๕๘ ถึง นาทีที่ ๓๑ วินาทีที่ ๔๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ข้ามทะเลทั้งสี่ แล้วจะถึงจิตหนึ่ง (๓) ทะเลภพ

mp 3 (for download) : ข้ามทะเลทั้งสี่ แล้วจะถึงจิตหนึ่ง (๓) ทะเลภพ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์: ถัดจากนั้นเหลืออีกสองทะเลนะ คือทะเลของภพ และทะเลของอวิชา เรียกว่า ภวะโอฆะ กับ อวิชาโอฆะ โอฆะคือภพ โอฆะคืออวิชา ห้วงน้ำ

ภพคืออะไร ภพคือการทำงานของจิต สังเกตมั้ยพวกเราภาวนา เห็นมั้ย จิตทำงานทั้งวันทั้งคืน หมุนจี๋ จี๋ จี๋ ทั้งวันทั้งคืน เห็นมั้ยจิตเดี๋ยวก็วิ่งพล่านๆไปทางตา เดี๋ยววิ่งพล่านๆไปทางหู วิ่งพล่าน ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ทำงานทั้งวันทั้งคืน ไม่เคยหยุดพักนะ

จิตนี้สร้างภพสร้างชาติหมุนติ้วๆอยู่ภายในตลอดวันตลอดคืน จะข้ามมันไม่ใช่ง่ายนะ แค่เห็นมันยังยากเลย ภาวนากว่าจะเห็นจิตเข้าไปทำงานตรงนี้ยังยากแสนเข็ญเลย รู้สึกมั้ย นะ จะข้ามทะเลของภพได้นะ ภพนี้เหมือนทะเลที่น้ำเชี่ยว เพราะหมุนจี๋ จี๋ จี๋ ทั้งวันทั้งคืนนะ เดี๋ยวซัดไปทางโน้นซัดไปทางนี้ นะ กระแสน้ำนี้รุนแรง กระแสน้ำที่ซัดจิตใจเราวิ่งไปวิ่งมา พล่านๆทำงานไปในภพก็คือ ตัณหา นั่นเอง ตัณหาเป็นเหมือนคลื่นลูกใหญ่เลย เหมือนกระแสน้ำเชี่ยวที่ซัดเราไป ซัดไปไม่รู้ทิศทางเลยนะ สร้างภพไปเรื่อย เดี๋ยวไปเกิดที่ตา เกิดที่หู เกิดที่จมูก ที่ลิ้น ที่กาย ที่ใจ จะข้ามภพข้ามชาติได้ ก็ต้องละตัณหาได้


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๘ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๐ หลังฉันเช้า


สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๙
File: 500408B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๔๔ ถึง นาทีที่ ๑๓ วินาทีที่ ๒๐

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตซึมๆทื่อๆ

mp 3 (for download) : จิตซึมๆทื่อๆ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

โยม : เมื่อวานก็มีความรู้ว่ารู้สึกตัวอยู่ แต่มันไม่โปร่งเหมือนทุกครั้งเจ้าค่ะ ก็เอ๊…เป็นอะไร เราเผลอก็ไม่ใข่ ก็รู้แต่มันไม่โปร่งน่ะเจ้าค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ใจทื่อๆอยู่

โยม : เจ้าค่ะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : คือบางครั้งโมหะมันแทรก มันมีหลายสภาวะ อันนึงก็คือ จงใจประคองไว้เล็กๆ จงใจไปดูอะไรอย่างนี้ ก็ไม่โปร่ง อีกอันนึงคือ โมหะมันแทรกเข้ามา หรืือบางครั้งเกิดจากร่างกายก็ได้ เช่น มันง่วงมันอิ่มอะไรนี้ ก็จะซึมๆอยู่นิดนึง แต่ว่าไม่ต้องไปเกลียดมัน เราปฏิบัติไม่ใช่เอาสุข ไม่ใช่เอาสงบ ไม่ใช่เอาดี แต่ปฏิบัติให้เห็นว่า สภาวะธรรมทั้งหลายทั้งปวง เป็นของไม่เที่ยง ของเป็นทุกข์ ของบังคับไม่ได้

งั้นกระทั่งกิเลสที่เกิดขึ้น มันก็สอนธรรมะเราได้ ถ้าเราดูเป็น ถ้าเราดูไม่เป็นนะ ก็ถูกกิเลสครอบงำบ้าง ไปต่อสู้กับกิเลสบ้าง คล้ายๆถ้าไม่คล้อยตามไปก็ต้องโดดเข้าไปสู้กัน อันนี้หลงแล้ว หลงกลแล้ว แท้จริงแล้วสภาวะต่างๆเกิดขึ้น กระทั่งกิเลสเกิดขึ้นนะ เกิดแล้วก็ดับทั้งสิ้น แล้วดูออกมั้ย มันเกิดก็เกิดเอง การที่กิเลสนะมันพยายามจะมาครอบงำเรา ครอบงำจิตใจดูเหมือนน่ากลัว ในขณะเดียวกันมันก็เปิดเผยจุดอ่อนของมันให้เราเห็นเหมือนกัน จุดอ่อนที่สำคัญก็คือ มันแสดงไตรลักษณ์ให้เราเห็น กิเลสจะผุดขึ้นมาห้ามไม่ได้นะ ไม่ได้เชิญเลย อยู่ๆก็เกิดขึ้นมาเอง มีเหตุมันก็มีนะ ไม่ใช่ตัวเรา มันไม่ใช่เรา

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๓๐ กรกฏาคม พ.ศ.๒๕๔๙ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๒
File: 490730A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๒ วินาทีที่ ๖ ถึง นาทีที่ ๔ วินาทีที่ ๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เนื้อแท้ของพุทธศาสนา คือ สัมมาทิฏฐิ

mp 3 (for download) : เนื้อแท้ของพุทธศาสนา คือ สัมมาทิฏฐิ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : มาเรียนเรื่องรูปธรรมนามธรรมของตัวเอง เรียนจนมันเห็นความจริง มันไม่มีตัวเรา จริงๆมันไม่มีตัวเรามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่อาศัยจิตวิปลาส จิตวิปลาสคือคิดผิด สัญญาวิปลาสคือหมายผิด ทิฎฐิวิปลาสคือ(ความ)เห็นผิด ค่อยๆสะสมสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา เกิดความเห็นผิดว่ามีตัวมีตนขึ้นมา มันมาจากคิดผิดก่อน หมายรู้ผิดๆ คิดผิด ก็เลยรู้สึกสำนึกผิดๆ เห็นผิด มันสะสมความเห็นผิดมาตลอดในสังสารวัฏฏ์นี้ เพราะฉะนั้นความเห็นผิดนี้แหละ เป็นกิเลสที่ร้ายที่สุดเลย ความเห็นผิดนี้ชื่อว่า “อวิชา”

ค่อยๆฝึก มีศีลขึ้นมานะ สู้กิเลสหยาบๆได้ ที่ทำให้พฤติกรรมทางกายทางวาจาไม่เรียบร้อย มีสมาธิขึ้นมานะ สู้กิเลสอย่างกลาง คือพวกนิวรณ์ทั้งหลายที่ทำให้จิตไม่เรียบร้อย มีปัญญาสู้กับความโง่ ความไม่รู้ ความเข้าใจผิด เป็นกิเลสที่ละเอียดที่สุด เพราะฉะนั้นที่เราฝึก สิ่งที่ได้คือหายโง่

ไม่ใช่ว่าฝึกแล้วได้อะไรมา ไม่ได้ฝึกแล้วเสียอะไรไป ไม่ใช่ว่าฝึกไปสำเร็จนะ แล้วเสียขันธ์ ๕ ไป เราไม่ได้เสียขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ของเรามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่ได้ฝึกแล้วได้มรรคผลนิพพานมา ได้ครอบครองพระนิพพาน เป็นเจ้าของพระนิพพาน ฝึกแล้วไม่ได้อะไรมาไม่เสียอะไรไป ได้ความรู้ความเข้าใจ เสียความโง่ไป

เพราะฉะนั้นเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนาจริงๆคือตัวสัมมาทิฎฐิเท่านั้นเอง ความเห็นถูก ถ้ามีความเห็นถูกนะ ก็คิดถูก หมายถูก มันไม่ยากอะไรหรอกนะ ทุกวันนี้จมอยู่ในความทุกข์ก็เพราะคิดผิด หมายผิด เห็นผิด มาเรียนรู้ความจริงของธาตุของขันธ์ให้มาก ถ้าไม่มีการเรียนรู้ความจริงของธาตุของขันธ์ ของอายตนะ ของกายของใจ ของรูปของนาม อะไรพวกนี้นะ ยังไม่ได้ชื่อว่าเจริญปัญญาเลย

ถ้าไม่ได้เจริญปัญญาจะล้างความเห็นผิดไม่ได้ ปัญญาเป็นตัวล้างความเห็นผิด ศีลทำให้กายวาจาเรียบร้อย สมาธิทำให้จิตใจเรียบร้อย ปัญญาทำลายความเห็นผิด ทำให้เกิดความเห็นถูก

เพราะฉะนั้นถ้าใครเขาถามเรานะ อะไรเป็นเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนานะ ตอบไปอย่างองอาจกล้าหาญเลยนะ สัมมาทิฎฐิ สัมมาทิฎฐินั้นแหละคือพระพุทธศาสนา เนื้อแท้ของพระพุทธศาสนา


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันศุกร์ที่ ๒๗ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๕ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๓
Track: ๒๐
File: 550127.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๔ วินาทีที่ ๕๗ ถึง นาทีที่ ๘ วินาทีที่ ๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ความปรุงแต่งมี ๓ อย่าง

mp 3 (for download) : ความปรุงแต่งมี ๓ อย่าง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ :ความปรุงแต่งมี ๓ อันเคยเรียนมั้ย อวิชชาปัจจยาสังขารา สังขารคือความปรุงแต่งมี ๓ อย่าง ปรุงแต่งฝ่ายชั่วปรุงแต่งอกุศลนะ ปรุงแต่งฝ่ายดีเช่นปรุงแต่งการปฏิบัติธรรมขึ้นมา ทำโน้นทำนี้ขึ้นมา เพื่อให้จิตมันดีให้จิตมันสุขมันสงบ เนี่ยปรุงแต่งฝ่ายดี รากเหง้าของมันก็คืออวิชชานั่นแหล่ะ

ถามว่าปรุงแต่งฝ่ายดีแล้วได้อะไร ได้เป็นคนดีได้เป็นเทวดาได้เป็นพรหม ได้มรรคผลมั้ย ไม่ได้ เพราะอวิชชาไม่กระเทือนเลย อวิชชาสอนให้เราปรุงแต่ง อวิชชาคือความไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้ว่ากายนี้ใจนี้เป็นตัวทุกข์ไม่ใช่ตัวเรา เราคิดว่าเป็นตัวเราเป็นตัวสุขเป็นตัวดี งั้นเราก็เลยปรุงแต่งต่างๆขึ้นมาเพื่อหาความสุขมาให้ตัวเอง

คนชั่วก็ไปเที่ยวหาแสวงหาอารมณ์ต่างๆ วิ่งแย่งอันโน้นแย่งอันนี้ อยากโน้นอยากนี้ไปเรื่อย คิดว่าถ้าได้อารมณ์ที่ดีมาละก็จะมีความสุข อย่างหมากัดกันแย่งตัวเมีย คิดว่าได้ตัวเมียมามีความสุขอะไรนี้ หรือคนแย่งกัน ตีกันแย่งผลประโยชน์กันกะว่าได้มาแล้วมีความสุข นี่ปรุงแต่งอย่างโลกๆเลย

พวกเข้าวัดพวกนี้จะปรุงแต่งการปฏิบัติ คือเห็นว่าลำพังการเที่ยวหาอารมณ์ที่เพลิดเพลินพอใจเนี่ยยังไม่ให้ความสุขที่แท้จริง ถ้าเราบังคับกายบังคับใจควบคุมมันไว้ได้แล้วเราจะมีความสุข เพราะงั้นพวกเราจะเริ่มมาปฏิบัติธรรมด้วยการเริ่มบังคับตัวเอง จิตไม่สงบบังคับให้สงบ จิตไม่ดีจะทำให้มันดีให้ได้ นี่ปรุงแต่งฝ่ายดีจะได้เป็นคนดี ไม่นิพพานหรอก

อีกพวกนึงฉลาดไปอีกเห็นว่าตราบใดที่ยังต้องรู้อารมณ์อยู่นะจิตยังกระเทือนอยู่ ถ้ายังกระทบแล้วต้องกระเทือน พวกนี้ฝึกเข้าอรูปเรียกอาเนญชาภิสังขาร ฝึกหลีกเลี่ยงการกระทบอารมณ์

เพราะนั้นเนี่ยวิธีหาความสุขมันเลยมี ๓ แบบ อันนึงกระโจนเข้าไปคลุกกับโลกเลย อันที่สองรักษาจิตใจของเราไว้ อันที่สามหลีกเลี่ยงการกระทบไม่รับรู้อะไรซักอย่างเลย เนี่ยเป็นวิธีหาความสุขของคนในโลก รากเหง้าของมันคืออวิชชา คิดว่าตัวเรามีจริงๆจะหาความสุขมาให้ตัวเรา

ถ้าเราเจริญสติเจริญปัญญารู้ลงที่กายรู้ลงที่ใจ กายนี้ใจนี้ไม่ใช่เราเนี่ย ล้างความเห็นผิดไป ล้างอวิชชาไป มันก็หมดความปรุงแต่ง


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๙ กรกฏาคม พ.ศ.๒๕๔๘ หลังฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๙
Track: ๘
File: 480709B.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๕๘ ถึง ชั่วโมงที่ ๑ วินาทีที่ ๒๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ทางวิปัสสนา (๔) จะพ้นทุกข์ถาวร ต้องเจริญปัญญา

mp3 for download : ทางวิปัสสนา (๔) จะพ้นทุกข์ถาวร ต้องเจริญปัญญา

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ทางวิปัสสนา

ทางวิปัสสนา

หลวงพ่อปราโมทย์ : ทุกวันนี้ที่เราต้องเวียนว่ายตายเกิดก็เพราะเราไม่ฉลาด เรามีอวิชา มีความไม่รู้ ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่เรียกว่า “ตัวเรา” นั่นเอง

เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากพ้นทุกข์ถาวรนะ ไม่ใช่แค่ทำทาน ไม่ใช่แค่รักษาศีล ไม่ใช่แค่การนั่งสมาธิ ทำทาน รักษาศีล นั่งสมาธิ ก็ดี ข่มกิเลสได้บ้าง ข่มจิตใจได้บ้าง อะไรอย่างนี้ แล้วจิตใจสงบ จิตใจสบาย ได้ชั่วครั้งชั่วคราว เดี๋ยวข่มไม่ไหวกิเลสก็มาอีก ก็ต้องแก้ปัญหากันเป็นคราวๆไป

ถ้าเราอยากจะพ้นทุกข์ถาวรต้องมาเจริญปัญญา เพราะความไม่รู้ เป็นรากเหง้า ของการปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวง ถ้าทำลายความไม่รู้ได้ตัวเดียว จิตหายโง่ตัวเดียว จิตไม่หลงความปรุงแต่ง ถ้าจิตไม่หลงความปรุงแต่งก็จะไม่ไปหลงว่าตัวเรามีอยู่จริงๆ ไม่หลงยึดในกายในใจนี้

550409.10m27-11m21

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา
ศรีราชา ชลบุรี

แสดงธรรมที่ ห้องสุวรรณภูมิบอลรูม ชั้น ๒ อาคารบี
บจก. เตียวฮงสีลม บางพลี
วันจันทร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕
ระหว่างเวลา ๑๓:๐๐ – ๑๕:๐๐ น.

File: 550409.mp3 (ไทย)
File: 550409.mp3 (สหรัฐอเมริกาและยุโรป)
เสียงพระธรรมเทศนา ระหว่างนาที่ ๑๐ วินาทีที่ ๒๗ ถึง นาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๒๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ธรรมะจะสามัคคีโค่นล้มกิเลสได้ ต้องอาศัยสมาธิ

mp3 (for download) : ธรรมะจะสามัคคีโค่นล้มกิเลสได้ ต้องอาศัยสมาธิ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ธรรมะจะสามัคคีโค่นล้มกิเลสได้ ต้องอาศัยสมาธิ

ธรรมะจะสามัคคีโค่นล้มกิเลสได้ ต้องอาศัยสมาธิ

หลวงพ่อปราโมทย์ : ตัวที่จะทำให้ธรรมะสามัคคีกันคือตัวสมาธิ สมาธิเนี่ยเป็นภาชนะเป็นที่รองรับองค์ธรรมฝ่ายกุศลทั้งหมดเลย ให้รวมเข้ามาในจุดเดียวกันคือรวมลงมาที่จิต ไปรวมที่อื่นก็ไม่ได้นะ นั่นสมาธิออกนอกจิตไปรวมอยู่ที่อื่นนะธรรมะไม่สามัคคีกัน

ธรรมะจะสามัคคีได้เนี่ยอาศัยพลังของสมาธิในระดับฌานขึ้นไป ตั้งแต่ปฐมฌานเลยจิตรวมลงที่จิต งั้นฌานแท้ๆนี่จิตไม่ไปรวมอยู่ที่อื่นนะ จิตรวมลงที่จิต แล้วสติสมาธิปัญญาอะไรต่ออะไรนะ คุณงามความดี โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ อิทธิบาท อะไรต่ออะไรนะ มันจะเกิดร่วมกันที่จิต เกิดพร้อมๆกันที่จิต เพราะธรรมะสามัคคีกันได้ถึงจะโค่นล่มกิเลสได้

กิเลสนะสามัคคีกันมาตลอดเลยรักกันเหนียวแน่นนะ มีหมัดตามมาเป็นชุดๆเลยเวลากิเลสมา อย่างเป็นต้นว่าวันไหนเราฟุ้งซ่านตามใจกิเลสนะ ไปเดินห้างเล่นฟุ้งซ่านดูอะไรเพลินไป เดี๋ยวราคะก็เกิดแล้ว เห็นอันนู้นก็อยากได้เห็นอันนี้ก็อยากได้ พออยากได้แล้วไม่มีสตางค์จะซื้อนะ โทสะก็เกิดแล้ว ไม่สบายใจ กิเลสเล่นเป็นทีมเลยนะ อาศัยความฟุ้งซ่านของจิตนะมายืนพื้นเลย กุศลก็ต้องอาศัยสมาธิเป็นตัวยืนพื้นไว้ถึงจะประชุมลงได้ เนี่ยธรรมะกับอธรรมนะมันสู้กันมาอย่างนี้ตลอดเวลา

แต่คนในโลกนี้มันแพ้ไม่ภาวนาปฏิบัติให้สมควรแก่ธรรม จิตเลยไม่รวมลงที่จิต ศีลสมาธิปัญญาและธรรมฝ่ายดีทั้งหลายไม่ประชุมพร้อมๆกัน ต่างคนต่างมา ไม่สามัคคี อกุศลเนี่ยโอ้โหสามัคคีกันมากเลย สังเกตมั้ยช่วงไหนฟุ้งซ่านมากนะ ราคะอะไรงี้แรง ช่วงไหนราคะมากสังเกตมั้ยต่อไปโทสะแรง สังเกตมั้ยโทสะแรงอีกหน่อยเซื่องซึมถัดจากนั้น หมดแรงแล้วซึมๆไปหน่อย พอซึมได้ที่มีเรี่ยวมีแรงฟุ้งซ่านอีกแล้ว โอ้ เล่นไม่มีเลิกเลยนะ มันวางแผนพร้อมๆกันนะ วนเวียนผลัดกันชกก็มีนะ รุมกันชกก็มีนะ

งั้นพวกเราต้องมาพัฒนากุศลของเราให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท เห็นมั้ยท่านไม่ได้บอกให้พัฒนากุศลนะ ท่านไม่ได้กำหนดไว้แค่นั้น ท่านบอกให้เราเนี่ยพัฒนากุศลให้ถึงพร้อม ถึงพร้อมคือกุศลต้องมีครบเลย ทุกชนิดเลย คือความไม่ประมาท ถ้าประมาทคือขาดสติ ต้องมีสติ ถ้าไม่มีสติไม่มีกุศลหรอก

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรม ณ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
อ. ศรีราชา จ.ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๔

CD: พระธรรมเทศนา สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๓
File: 541205

ระหว่างนาทีที่  ๓ วินาทีที่ ๓๖ ถึงนาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๔๑

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จะละกิเลสตัวไหนก่อนดี?

mp 3 (for download) : จะละกิเลสตัวไหนก่อนดี?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

จะละกิเลสตัวไหนก่อนดี?

จะละกิเลสตัวไหนก่อนดี?

หลวงพ่อปราโมทย์ : ไม่มีอะไรดี ไม่มีอะไรวิเศษ สะอาดหมดจดเหมือนธรรมะหรอก

ในโลกเต็มไปด้วยของสกปรกโสมมนานาชนิด เกิดจากกิเลสทั้งหมดเลย เรามาภาวนาเนี่ย ช่วยตัวเองได้ คนไหนภาวนาก็ช่วยตัวเองได้ คนไหนไม่ภาวนาไม่เปิดใจให้ธรรมะ ธรรมะก็เข้าไปช่วยไม่ได้ ไปล้างกิเลสให้ใครไม่ได้ เราต้องล้างกิเลสของตัวเราเอง

วิธีจะล้างกิเลสก็สำรวจดู สำรวจใจ กิเลสไม่ได้อยู่ที่อื่นหรอก กิเลสอยู่ที่ใจเรานี่เอง เพราะฉะนั้นคอยรู้ทันใจของเราไป กิเลสอะไรโผล่ขึ้นมารู้ทัน กิเลสอะไรโผล่ขึ้นมารู้ทัน

พระเจ้าอยู่หัวเคยถามหลวงปู่ดูลย์ ว่าจะละกิเลสอันไหนก่อน ตัวไหนก่อน ถ้าเป็นพวกเราเราก็จะคิดว่า ต้องละโทสะก่อนอย่างนี้ เพราะโทสะมีโทษมาก ค่อยไปละราคะ ราคะมีโทษน้อย แล้วค่อยไปละโมหะ โมหะดูยากที่สุด มีโทษมากที่สุดเลยแต่ว่าดูยากที่สุด เราคิดว่ามี sequence จริงๆไม่ เวลาปฏิบัติจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น

ถ้าล้างโดยมรรคเนี่ย มีลำดับ เป็นขั้นๆไป ล้างสังโยชน์มีเป็นลำดับ แต่ว่าเวลาเราเจริญสติเจริญปัญญาอยู่ในชีวิตธรรมดาของเรานี่ กิเลสตัวไหนเกิดก่อนก็เอาตัวนั้นแหละ ตัวไหนเกิดขึ้นสดๆร้อนๆก็เอาตัวนั้นแหละ

(หมายเหตุ กิเลสใดเกิดขึ้นสดๆร้อนๆ ก็เอาตัวนั้น เบื้องต้น เพื่อฝึกให้เกิดสติโดยไม่ต้องจงใจ คือ คุ้นเคยที่จะมีสติระลึกรู้ทันกิเลสที่เกิดขึ้นสดๆร้อนๆไปอย่างอัตโนมัติ เบื้องกลางคืออาศัยสติที่ระลึกรู้ทันกิเลสที่เกิดขึ้นสดๆร้อนๆทำให้จิตปราศจากนิวรณ์เป็นสมาธิชนิดจิตตั้งมั่น เบื้องปลายคืออาศัยกิเลสที่เกิดขึ้นสดๆนั้นมีสติมีสมาธิเพื่อเจริญปัญญา คือ รู้ความเป็นไตรลักษณ์ของกิเลสด้วยใจที่เป็นกลาง จนถึงที่สุด จิตจะระลึกรู้ที่จิตได้เอง เกิดสติเกิดสมาธิเกิดปัญญา เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของจิตเอง กระบวนแห่งอริยมรรคจะเกิดขึ้นที่ตรงนั้น – ผู้ถอด)


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ.๒๕๔๙ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๐
Track: ๑
File: 540417.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๑ วินาทีที่ ๑๗ ถึง นาทีที่ ๒ วินาทีที่ ๕๖

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ไม่สนใจธรรมะ โอกาสชีวิตจะดีขึ้นไม่มีจริงหรอก

mp 3 (for download) : ไม่สนใจธรรมะ โอกาสชีวิตจะดีขึ้นไม่มีจริงหรอก

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ไม่สนใจธรรมะ โอกาสชีวิตจะดีขึ้นไม่มีจริงหรอก

ไม่สนใจธรรมะ โอกาสชีวิตจะดีขึ้นไม่มีจริงหรอก

หลวงพ่อปราโมทย์ : นี่คนเค้าสนใจธรรมะก็โอกาสที่ชีวิตจะดีขึ้นมันก็มี ไม่สนใจธรรมะโอกาสที่ชีวิตจะดีขึ้นไม่มีหรอก ธรรมชาติของจิตถูกกิเลสลากลงต่ำตลอดเวลา ถ้าไม่สู้กับมันก็ถูกมันลากไปเรื่อยๆ จะดีวิเศษแค่ไหนแต่ประมาทปล่อยกายปล่อยใจตามกิเลสเรื่อยไปก็ตกต่ำลงเรื่อยๆ โดยธรรมชาติเหมือนน้ำไหลลงที่ต่ำ งั้นต้องรู้จักทดน้ำเหมือนกัน ทดน้ำให้มันสูงขึ้น

มีศีลสมาธิปัญญาเป็นเครื่องมือ พระพุทธเจ้าก็สอนเครื่องมือมาให้หมดแล้ว
สามต่อสาม กิเลส ราคะโทสะโมหะสามตัว ธรรมะ ศีลสมาธิปัญญาสามตัว ใครจะชกใครหมอบยังไม่แน่ อยู่ที่พวกเราเอง พระพุทธเจ้าให้ของดีของวิเศษไว้แต่โดยธรรมชาติคนไม่เอา

คนเอาอธรรมเอาความไม่มีศีลมีธรรม เอากิเลส   เพราะใจธรรมชาติของใจไหลตามกิเลสไปเรื่อย ตามกิเลสไปเพราะมันเที่ยวหาความสุขสนุกสนานเพลิดเพลินทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ เที่ยวเพลินเล่นไปเรื่อย สนุก หาความสุข ทั้งรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะอะไรพวกนี้ เครื่องมือของกิเลสมันหลอกให้เราติดอยู่ในโลก ก็ยากที่คนๆนึงจะพ้นโลกได้

งั้นธรรมะก็มีหลายระดับ คนไหนมีบุญบารมีพอพระพุทธเจ้าก็สอนธรรมะวิธีที่จะพ้นโลกไป คนไหนบุญบารมีไม่พอท่านก็สอนธรรมะที่จะอยู่กับโลกแบบไม่ทุกข์มากนัก ทุกข์พอประมาณ วันนึงข้างหน้ามีเรี่ยวมีแรงก็จะพัฒนาตัวเองต่อไป งั้นธรรมะก็เลยมีสองระดับ ธรรมะอยู่กับโลกเรียกโลกียธรรม ธรรมะที่จะพ้นจากโลกไปสู่โลกุตรธรรม มีสองแบบไม่เหมือนกันหรอก

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี

CD: แสดงธรรมเทศนา สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๔๑
File: 540819A
ระหว่างนาทีที่ ๐ วินาทีที่ 0๒ ถึงนาทีที่ ๒ วินาทีที่ ๒๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

มีสติช่วยให้มีสมาธิได้อย่างไร ?

mp3 (for download) : มีสติช่วยให้มีสมาธิได้อย่างไร ?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : สมาธิเป็นเครื่องสู้กิเลสระดับกลางชื่อว่า “นิวรณ์” นิวรณ์มีห้าตัว แต่ทั้งห้าตัวมันเป็นความฟุ้งซ่านของจิตทั้งนั้น ถ้าฟุ้งไปชอบใจในอารมณ์ เรียกว่า “กามฉันทะนิวรณ์” ฟุ้งไปเกลียดอารมณ์ เรียก “พยาบาท” ฟุ้งจับจด ฟุ้งแล้วไม่รู้อะไรต่ออะไร สะเปะสะปะ เรียก “อุทธัจจะ” อุทธัจจะไม่อยู่ลำพังหรอก พอฟุ้งมากๆก็รำคาญใจ อุทธัจจะ เป็นโมหะ มันจะต่อด้วย “กุกกุจจะ” รำคาญใจ กุกกุจจะ เป็นโทสะนะ พอฟุ้งได้ที่ก็รำคาญ หงุดหงิด เนี่ย ถ้าจิตไม่ฟุ้ง ไม่รำคาญ ไม่หงุดหงิด ลังเลสงสัยก็เป็นความฟุ้งซ่าน คนถามกรรมฐานมากๆ ถามแล้วถามอีก คิดมาก ดูกายดูใจมันทำงานเข้าไป ไม่มีคำถาม มีน้อย คำถาม

หลวงพ่อเรียนกรรมฐานจากครูบาอาจารย์นะ เรียนจากครูบาอาจารย์ตั้งหลายสิบองค์ เข้าไปหาท่าน คำถามหลักๆเลยที่ถามนะคือที่ทำอยู่นี่ถูกมั้ย คราวก่อนท่านสอนมาอย่างนี้ ผมไปทำ อย่างนี้ถูกต้องหรือเปล่า ถ้าผิดให้ท่านบอกด้วย ถ้าถูกแล้วทำยังไงจะพัฒนาไปมากกว่านี้ ถามเท่านี้เองนะ ครูบาอาจารย์ก็ตอบเหมือนกันทุกที ดีแล้ว ทำอีก จบแล้ว ไม่มีอะไรต้องมาพิรี้พิไร ขอแถมอีกหน่อยอะไรอย่างนี้ ขอนั่งอีกนิด ไม่มี เสียเวลา

“เวลา” หมดแล้วหมดเลยนะ ซื้อไม่ได้ ทิ้งเปล่าๆ ไม่นานก็ตาย ฉะนั้นเราเอาเวลามาภาวนา ภาวนาแล้วไม่ค่อยมีคำถามเท่าไหร่หรอก ถามอะไร มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง มีเท่านี้เอง ถามมากกว่านี้ก็คิดมาก คิดเยอะไป รู้ไว้เยอะๆ รู้ทัน ทุกคนรู้จิตรู้ใจตัวเองได้อยู่แล้ว กายของเรา เราก็รู้ได้อยู่แล้ว จิตของเรา เราก็รู้ได้อยู่แล้ว รู้เอาบ่อยๆ พอเรามีสติรู้ทันนิวรณ์ที่เกิดขึ้นนะ นิวรณ์จะดับ อย่างจิตมีพยาบาทเกิดขึ้น เรามีสติรู้ทันนะ พยาบาทดับ จิตมีกามฉันทะเพลิดเพลินพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส เรามีสติรู้ทันนะ ความเพลิดเพลินพอใจคือกามฉันทะก็ดับ สงสัยขึ้นมา มีสติรู้ทัน สงสัยก็ดับ หดหู่ มีสติรู้ขึ้นมา หดหู่ก็ดับ

อาศัยสตินี่แหล่ะ มารู้ทันนิวรณ์ที่เกิดขึ้นในใจบ่อยๆ แล้วสมาธิจะเกิดขึ้นเอง นี่เป็นวิธีทำสมาธิที่สุดจะง่ายเลยนะ ไม่ใช่หลวงพ่อพูดเองด้วย มีพระสูตรที่สอง ชื่อ สามัญญผลสูตร (สูตรที่ ๒ ในคัมภีร์ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค พระสุตตันตปิฎก) พระพุทธเจ้าสอน อชาตศัตรู อชาตศัตรูเกิดมาไม่เป็นศัตรูกับใครนะ เป็นศัตรูกับพ่อเท่านั้นแหล่ะ ฆ่าพ่อตาย อชาตศัตรูไปเรียนธรรมะ พระพุทธเจ้าสอนให้รู้ทันนิวรณ์นะ รู้ทันนิวรณ์แล้วสมาธิเกิด นี่เป็นวิธีฝึกสมาธิของฆราวาส อาศัยสติรู้ทันศัตรูของสมาธิ พอจิตไม่มีศัตรูของสมาธิ จิตก็สงบเองแหล่ะ ไม่ต้องทำความสงบหรอก อย่าทำความฟุ้งซ่านก็พอแล้ว ความฟุ้งซ่านเราจะทำลายมันได้ไง ความฟุ้งซ่านเป็นกิเลส เมื่อไรมีสติ เมื่อนั้นไม่มีกิเลส นี่เป็นกฎของธรรมะเลย

ดังนั้นเรามีสติรู้ทันจิตที่ฟุ้งซ่านไป ฟุ้งไปหาอารมณ์ที่ชอบ ฟุ้งไปหาอารมณ์ที่ไม่ชอบ ฟุ้งสะเปะสะปะ จับอารมณ์ไม่ถูก ฟุ้งไปหาอารมณ์ที่ชอบเป็นกามฉันทะ ฟุ้งไปหาอารมณ์ไม่ชอบเป็นพยาบาท ฟุ้งสะเปะสะปะเป็นอุทธัจจะกุกกุจจะ ฟุ้งไปคิดมากก็ลังเลมากเป็น “วิจิกิจฉา” ฟุ้งมากหมดเรี่ยวหมดแรงลงไปแผ่หลาอยู่ หมดเรี่ยวหมดแรง ดูอะไรไม่รู้เรื่องแล้วเรียกว่า “ถีนมิทธะ” ทั้งจิตทั้งเจตสิกหมดแรง ล้วนแต่มาจากความฟุ้งทั้งนั้น

ถ้ามีสติรู้ทันจิตที่ฟุ้งไปนะ สมาธิเกิดเอง โดยเฉพาะจิตนะชอบฟุ้งไปคิด ฟุ้งไปคิดเนี่ยบ่อยที่สุด ถ้าเรารู้ทันจิตที่ฟุ้งซ่านไปคิด ความฟุ้งซ่านจะดับ จิตจะเกิดสมาธิ จิตใจจะอยู่กับเนื้อกับตัว จิตใจต้องอยู่กับเนื้อกับตัวนะ ถึงจะเจริญปัญญาได้ ถึงจะทำวิปัสสนาได้ ถ้าจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทำวิปัสสนาไม่ได้ เพราะวิปัสสนานี่คือการเรียนรู้ความจริงของรูปนาม สิ่งที่เรียกว่าตัวเรา รูปธรรมนามธรรมนี้เอง เมื่อไหร่ขาดสติเมื่อนั้นไม่รู้รูปนาม ไม่รู้รูปธรรมนามธรรมของตัวเอง ใช้ไม่ได้เลยนะ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๔ หลังฉันเช้า

CD: ๔๑
File: 540730B
ระหว่างนาทีที่ ๓ วินาทีที่ ๓๔ ถึงนาทีที่ ๘ วินาทีที่ ๔๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

เราจะปฏิบัติอะไร? ทำเพื่ออะไร? ทำอย่างไร? ทำแล้วจะได้อะไร?

เราปฎิบัติเพื่ออะไร?mp 3 (for download) : เราจะปฏิบัติอะไร? ทำเพื่ออะไร? ทำอย่างไร? ทำแล้วจะได้อะไร?

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

หลวงพ่อปราโมทย์ : ที่นี่หลวงพ่อจะเน้นสอนเรื่องการปฏิบัติให้ หลักของการปฏิบัติเราก็ต้องรู้ ว่าเราจะปฏิบัติอะไร ปฏิบัติเพื่ออะไร ปฏิบัติอย่างไร ปฏิบัติแล้วได้ผลเป็นยังไง ต้องตอบได้ชัดเจน เราจะปฏิบัติอะไร มีสองอย่างที่จะต้องปฏิบัติคือ “สมถะ” กับ “วิปัสสนา” ปฏิบัติเพื่ออะไร สมถะ ปฏิบัติเพื่อให้จิตใจมีเรี่ยวมีแรงที่จะเดินวิปัสสนา ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อจะได้เห็นนู่นเห็นนี่มีตาทิพย์มีหูทิพย์ บางคนอยากได้เจโตอยากได้ทิพจักษุ  หลวงพ่อเคยเจอนะ มีไอ้หนุ่มคนนึง มันภาวนาอยากได้ทิพจักษุ ถามว่าอยากได้ทำไม มันจะได้มองทะลุผ้าของคนอื่น มันเห็นธรรมะเป็นเรื่องอะไร จะทะลุฝาห้องของเค้าอะไรอย่างนี้ ได้เรื่องเลย มีจริงๆนะ สมถะนะ เราทำไปเพื่อให้ใจมีเรี่ยวมีแรงที่จะทำวิปัสสนา

วิปัสสนาทำไปเพื่ออะไร เพื่อให้เกิดปัญญา รู้ความจริงของกายของใจนี้ ความจริงของกายของใจคือไตรลักษณ์ ดังนั้นทำเราทำวิปัสสนาเพื่อให้รู้ความเป็นไตรลักษณ์ของกายของใจ รู้แล้วได้อะไร รู้ถึงที่สุดแล้วมันจะปล่อยวางความยึดถือกายยึดถือใจ

พระอรหันต์ไม่ใช่คนประหลาดนะ อย่าไปวาดภาพพระอรหันต์ประหลาดเกินเหตุทำอะไรก็ไม่ได้ กระดุกกระดิกก็ไม่ได้ วันๆต้องนั่งเซื่องๆเหมือนนกกระยางรอให้ปลามาใกล้ๆจะได้ฉกเอาเชื่องๆห้ามกระดุกกระดิก พระอรหันต์จริงๆก็คือท่านผู้ภาวนาจนมีปัญญา เห็นทุกข์เห็นโทษของขันธ์นะ ขันธ์ห้าเป็นทุกข์เห็นอย่างนี้ แล้วท่านปล่อยวางความยึดถือขันธ์ได้ จิตท่านแยกออกจากขันธ์ พรากออกจากขันธ์ ไม่ยึดถือขันธ์ ท่านเป็นอิสระจากขันธ์ ตัวขันธ์เป็นตัวทุกข์ เพราะฉะนั้นพระอรหันต์เลยพ้นทุกข์ พระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่นี่พ้นทุกข์ พระอรหันต์ที่ตายแล้วเค้าเรียกดับทุกข์คือขันธ์มันดับ ไม่ใช่ไปเกิดอีกนะ หลายคนวาดภาพเป็นพระอรหันต์ไปเกิดอีกไปอยู่ในโลกนิพพาน อันนั้นไม่ใช่ศาสนาพุทธหรอก พระอรหันต์ นิพพานแล้วเหมือนไฟที่ดับไปแล้ว ไฟที่ดับแล้วอยู่ที่ใหน ใครจะรู้ เพราะฉะนั้นเราภาวนานะ ภาวนาทำสมถะเพื่อให้มีแรง ทำวิปัสสนา ทำวิปัสสนาเพื่อให้เห็นความจริงของกายของใจ ถ้าเราเห็นความจริงของกายของใจได้มันจะหมดความยึดถือ ปล่อยวางได้ พอปล่อยวางได้ก็พ้นทุกข์ได้ เพราะตัวกายตัวใจตัวขันธ์นี้แหล่ะตัวทุกข์

นี่ต้องเรียนสิ่งเหล่านี้ แล้วทำยังไง เราจะทำอะไร ทำสมถะและวิปัสสนา ทำเพื่ออะไร บอกแล้ว ทำอย่างไร สมถะนี่ไม่ใช่ทำเพื่อให้เคลิ้ม วิธีทำสมถะไม่ใช่น้อมใจให้เคลิ้มให้ซึมให้นิ่ง แต่ฝึกความรู้สึกตัวขึ้นมา หายใจออกรู้สึก หายใจเข้ารู้สึก เคยได้ยินคำว่า”อานาปานสติ”มั้ย มีสตินะไม่ใช่ฝึกให้ไม่มีสติ ไม่ใช่ฝึก(เสียงกรน)คร้อกบรรลุแล้ว ฝึกให้มีสติหายใจเข้า ฝึกให้มีสติหายใจออก มีสติไปเรื่อยเลย หรือบางทีพิจารณากาย”กายคตาสติ” มีสติไล่ไปในกาย ดูอาการสามสิบสอง ดูอวัยวะต่างๆในร่างกาย มีสติ เห็นมั้ย ไม่ได้บอกให้ขาดสติเลยนะ ไม่ได้ดูเอาแก้วแหวนเงินทอง เอาวิมานสวรรค์อะไรทั้งสิ้นเลย แต่ฝึกให้มันมีสติ รู้ลมหายใจก็ให้มันมีสติ พิจารณากายก็พิจารณาด้วยความมีสติ เรียกว่ากายคตาสติ ทำอะไรๆก็มีสติ คิดถึงพระพุทธเจ้าก็คิดถึงด้วยความมีสติ หัดพุทโธ ๆ แล้วรู้สึกตัวไป นึกถึงพระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จิตของเราจะทำยังไงพุทโธ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เราไม่ได้ภาวนาให้เคลิ้มๆ ภาวนาให้รู้สึกตัว ฉะนั้นเราอย่าทิ้งสติ ครูบาอาจารย์เคยสอนบอก “สติจำเป็นในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ”

ฉะนั้นทำสมถะก็ต้องมีสตินะ แต่มีสติอยู่ในอารมณ์อันเดียวที่มีความสุข อารมณ์อันเดียว ทำไมต้องอารมณ์อันเดียว อารมณ์หลายอันแล้วก็รู้ตัวยาก ปกติจิตมันจะหนีตลอดเวลา วิ่งไปวิ่งมาตลอดเวลา พอเรามาทำสมถะนะ เรามีอารมณ์อันเดียว มาเป็นเหยื่อ เหยื่อล่อจิต อย่างถ้าจะตกปลานะ มีคนโยนเบ็ดพร้อมกันร้อยอัน ปลางงเลยจะกินอันใหนดีใช่มั้ย ว่างมาทางนี้ เอ๊ะ ไม่เอาตัวเล็กไป ว่ายทางนี้ ก็ใหญ่ไปเกินพอดี เกินคำ ไม่เอา วกไปวกมา ไม่ได้กิน ถ้ามีเหยื่ออันเดียวปลาฝูงนึงยิ่งดี มีเหยื่ออันเดียวล่อ จิตของเราปกติร่อนเร่ไปเรื่อยๆ วิ่งไปทางตา วิ่งไปทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจนะ ร่อนเร่ไปเรื่อย เที่ยวแสวงหาอารมณ์ไปเรื่อย เหมือนปลาวิ่งหาเหยื่อไปเรื่อย ว่ายไปเรื่อยๆ เราหาอารมณ์อันนึงที่ชอบใจของปลาตัวนี้มาล่อมัน ไปเอาพุทโธก็ได้ คนไหนพุทโธแล้วสบายใจเอาพุทโธ คนไหนหายใจเข้าหายใจออกแล้วสบายใจเอาลมหายใจ คนไหนดูท้องพองยุบแล้วมีความสุขก็ดูท้องพองยุบไป คนไหนเดินจงกลมแล้วมีความสุขก็เดินไป ไม่ใช่เดินทรมาน เดินไปเครียดไป เดินไปเครียดไป สมถะก็ไม่มี วิปัสสนาก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเบื้องต้นนะ หาอารมณ์ที่สบายๆ อยู่แล้วมีความสุข

อย่างหลวงพ่อนะ ฝึกอานาปานสติมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่เจ็ดขวบ พวกเราส่วนใหญ่ในห้องนี้ยังไม่เกิด หายใจแล้วมีความสุข พอจิตใจมีความสุข จิตจะสงบ จิตมันหิวอารมณ์นะ พอมันได้กินของชอบนะ มันเลยไม่ไปเที่ยวที่อื่น เอาอารมณ์มาล่อ อยู่กับพุทโธ อยู่กับลมหายใจแล้วมีความสุข จิตก็ไม่หนีไปไหน จิตเคล้าเคลียอยู่ แต่ระวังอย่างเดียว อย่าให้ขาดสติ อย่างเราหายใจไป ถ้าใจเคลิ้มก็รู้ทันว่าเคลิ้ม หายใจไปใจฟุ้งซ่านหนีไปคิดเรื่องอื่น รู้ว่าใจฟุ้งซ่านไป ใจก็มีความสุข เคล้าเคลีย สงบอยู่กับลมหายใจ จนกระทั่งลมหายใจมันสว่างขึ้นมา หายใจไปเรื่อยๆ เวลาจะเข้าฌาน ไม่ใช่รู้ลมหายใจหรอกจะบอกให้ พวกเรามั่วๆนะ หายใจแล้วเข้าฌานรู้ลมหายใจแล้วเข้าฌาน ไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอก

ลมหายใจเบื้องต้นเรียกว่า บริกรรมนิมิต รู้ลมไปเรื่อย สบาย จิตใจมีความสุข มันจะสว่างขึ้นมา ความสว่างมันเกิดขึ้นนะ ใจมันสงบลงมา ในทางร่างกายเวลาจิตสงบลงมา เลือดจะมาเลี้ยงสมองส่วนหน้านี้ เลือดจะมาเลิ้ยงตรงนี้เยอะ มันจะให้ความรู้สึกที่สว่างขึ้นมา จิตมันก็สว่างนะ กายมันก็สว่างขึ้นมา ผ่องใส ความสว่างเกิดขึ้นแล้วเนี่ย เอาความสว่างนี้มาเป็นนิมิตแทนลมหายใจได้ ต่อไปความสว่างมันเข้มข้นขึ้นนะ เป็นดวงขึ้นมา ให้เล็กก็ได้ ให้ใหญ่ก็ได้ จิตใจก็มีความสุข สนุก มีความสุขอิ่มเอิบเบิกบาน มีปีติขึ้นมา เข้าฌาน ไม่ใช่หายใจรู้ลมแล้ว (เสียงกรน คร้อก) บอกว่าหายใจจนลมระงับ ถามว่าลมระงับยังไง ลืมไปเลย หลับไปแล้ว บอกว่าไม่มีลมหายใจแล้ว ไม่ใช่นะ

เพราะฉะนั้นหลักของการทำสมถะนะ ก็อย่าทิ้งสติ มีสติไปเรื่อย เวลาจิตรวมก็รวมด้วยความมีสติ ไม่รวมแบบขาตสติ วูบๆวาบๆหรอก รู้เนื้อรู้ตัวตลอดสายของการปฏิบัติเลย รวมลงไปลึกเลย จนร่างกายหายไปเลย ลมหายใจก็หาย ร่างกายก็หาย โลกทั้งโลกก็หายไปหมดเหลือจิตอันเดียว ก็ยังไม่ขาดสตินะ จิตดวงเดียวอย่างนั้น เด่นอยู่อย่างนั้น ไม่ลืมเนื้อลืมตัว ทำไมต้องมีจิตขึ้นมา โดดเด่นขึ้นมา เพื่อเราจะได้เอาไว้ต่อวิปัสสนา

ฉะนั้นบางคนทำไม่ถึงฌานก็ไม่เป็นไรนะ แค่หัดพุทโธ พุทโธๆ ไป ค่อยๆดูไป พุทโธเป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า เห็นมั้ย ใจนั้นค่อยตั้งมั่นขึ้นมา อย่างนี้ใช้ได้ หายใจไปเรื่อยๆ หายใจเข้าหายใจออก อะไรก็ว่าไปเถอะ หายใจไปแล้วเห็นร่างกายมันหายใจ จิตเป็นคนดู อย่างนี้นะถึงจะทำสมถะ เพื่อจะต่อวิปัสสนา คือหายใจไปแล้วมีจิตเป็นคนรู้คนดูขึ้นมา ดูท้องพองยุบไปนะ เห็นร่างกายมันพองเห็นร่างกายมันยุบ จิตเป็นคนดู

เพราะฉะนั้นบทเรียนเรื่องการทำสมาธิเนี่ย ในทางศาสนาพุทธท่านถึงใช้คำว่า “จิตตสิกขา” ทำสมาธิจนกระทั่งเราเห็นจิตของเรา จิตตั้งมั่นขึ้นมาเป็นผู้รู้ผู้ดู จิตที่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูเนี่ยแหล่ะ พร้อมที่จะไปเดินวิปัสสนาต่อแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าคนไหนจะทำสมถะนะ ก็อย่าให้ขาดสติ หายใจไปเห็นร่างกายหายใจ จิตเป็นคนดู หายใจไปจิตแอบไปคิด รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน ก็มีจิตอีกคนนึงเป็นคนดู เฝ้ารู้ไปจนกระทั่งจิตเป็นผู้รู้ผู้ดูขึ้นมา อย่างนี้เรียกว่าเราทำสมถะเป็น เวลาบางช่วงบางครั้งบางคราวจิตก็เข้าพักสงบ รู้เนื้อรู้ตัวอยู่นะ สงบ ไม่แส่ส่ายไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สงบไม่คิดไม่นึกอะไร ใจว่างสบายสว่าง อันนี้ทำสมถะเต็มที่

ต่อไปก็หัด นั่งสมาธิไปแล้วเห็นจิตเคลื่อนไหวรู้ไปเรื่อยจนจิตตั้งขึ้นมา ตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา อย่างนี้ดี จะเอาไว้ต่อวิปัสสนา นี้พอเราหัดภาวนาไปนะ พุทโธๆ เราเห็นเลย พุทโธเป็นของถูกรู้ จิตเป็นผู้รู้พุทโธ หายใจออกหายใจเข้านะ หายใจไป จนกระทั่งเห็นเลยร่างกายมันหายใจ จิตเป็นผู้รู้ว่าร่างกายหายใจ มีจิตที่เป็นผู้รู้ขึ้นมา จะเดินจงกลมยกเท้าย่างเท้าเห็นร่างกายมันเดินไป จิตเป็นผู้รู้ผู้ดู ต่อไปพอผู้รู้ผู้ดูมันหายแว้บไป คือมันขาดสติเมื่อไรมันหายเมื่อนั้น สติมันระลึกได้เองเพราะมันเคยรู้จักผู้รู้ผู้ดูเนืองๆ ฉะนั้นเราจะฝึกจนกระทั่งสามารถรู้สึกตัวอยู่ในชีวิตประจำวันได้เนืองๆ เมื่อไรเป็นผู้หลงนะ ก็ขาดผู้รู้ เมื่อไรเป็นผู้รู้ก็ไม่เป็นผู้หลง บางทีก็เป็นผู้รู้ บางทีก็หลงเป็นผู้คิด บางทีก็เป็นผู้รู้ บางทีก็เป็นผู้เพ่ง

พอเรามาอยู่ในชีวิตประจำวัน เราเห็นตัวผู้รู้เค้าเกิดดับไปเรื่อยๆ เนี่ย เฝ้ารู้เฝ้าดูอย่างนี้เรื่อยๆ พอใจมันเป็นคนรู้คนดูขึ้นมาได้ มันจะเห็นร่างกายไม่ใช่ตัวเรา ร่างกายเป็นวัตถุ ร่างกายเป็นก้อนธาตุ ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไป จะเห็นเวทมาทั้งหลายไม่ใช่ตัวเรา ความสุขความทุกข์ทั้งหลาย ความไม่สุขไม่ทุกข์ทั้งหลาย ผ่านมาผ่านไป เพราะฉะนั้นเราค่อยๆฝึกนะ จนใจของเรามันตั้งมั่น รู้เนื้อรู้ตัวเรื่อยๆ แต่ไม่ได้ตั้งเอาไว้จนแข็งๆรู้ตัวตลอดเวลา อย่างนั้นใช้ไม่ได้ ต้องรู้บ้างเผลอบ้างนะ ถึงจะเห็นว่าตัวรู้เองก็เกิดๆดับๆ

สมัยก่อน หลวงพ่อไปเรียนกับครูบาอาจารย์ เมื่อยี่สิบสามสิบปีก่อนโน้น เข้าวัดไหนครูบาอาจารย์พูดแต่คำว่า”ผู้รู้” ท่านยังสอนด้วยซ้ำไปว่า ศาสนาพุทธ “พุทธ”แปลว่าอะไร พุทธ (อ่าน พุท-ธะ) แปลว่า”รู้” พุทธ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ฝึกให้ใจเป็นผู้รู้ ใจของเราชอบเป็นผู้คิด ใจของเราชอบเป็นผู้หลง เราฝึกให้ใจเป็นผู้รู้ ทำยังไงใจจะเป็นผู้รู้  ถ้ารู้ทันสภาวะที่กำลังปรากฎนะ ใจจะเป็นผู้รู้ขึ้นมา เช่นเผลอไปรู้ว่าเผลอ ใจก็จะเป็นผู้รู้ขึ้นแว้บนึง เป็นผู้รู้ตรงขณะไหน ขณะที่รู้ว่าเผลอ ถัดจากนั้นอาจจะเป็นผู้เพ่ง ใจโกรธขึ้นมานะ รู้ว่าโกรธ ขณะที่โกรธนะ ขณะนึง ขณะที่รู้ว่าโกรธนี่แหล่ะ ใจเป็นผู้รู้ขึ้นมาแล้ว ถัดจากนั้นอยากให้หายโกรธนี่ ใจมีอกุศลแล้ว มีความอยากเกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นเราดูใจเราไปเรื่อยนะ ไม่ใช่ผู้รู้ต้องเที่ยงถวร ผู้รู้ไม่เที่ยงหรอก ผู้รู้เองก็เกิดดับ

ครูบาอาจารย์องค์นึงสอนดีมากเลยคือ หลวงปู่หล้า ภูจ้อก้อ บอกเลยว่า ผู้ใดเห็นว่าผู้รู้เที่ยงนะ เป็นมิจฉาทิฐิ จิตผู้รู้ก็ไม่เที่ยงแต่ว่าต้องมีอยู่อาศัยไว้ใช้ปฏิบัติเอา ของเราสังเกตสิ เดี๋ยวใจก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวก็เป็นผู้คิด เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวก็เป็นผู้หลง เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวก็เป็นผู้เพ่ง เมื่อไหร่รู้สภาวะตรงความเป็นจริง ใจก็เป็นผู้รู้ขึ้นมาแว้บนึง เอาแค่แว้บเดียวพอนะ ไม่ต้องตั้งอยู่เป็นชั่วโมงๆ คนที่ตั้งเป็นชั่วโมงๆได้ต้องพวกที่เค้าทรงฌาน ผ่านฌานมาเต็มที่แล้ว เต็มภูมิอย่างน้อยได้ฌานที่สองแล้ว ได้ฌานที่สองใจจะเด่น ออกจากฌานมา ยังเด่นอยู่เป็นวันๆเลย อาศัยสมาธิอย่างนี้ตามรู้ดูกายดูใจได้นาน พวกเราไม่ได้ทรงฌานเนี่ยสมาธิจะอยู่แว้บเดียวๆเรียกว่า “ขณิกสมาธิ” แต่อาศัย ขณิกสมาธิ เนี่ยแหล่ะทำมรรคผลนิพพานให้เกิดได้ เพราะสมาธิที่ใช้ทำวิปัสสนาจริงๆก็คือ ขณิกสมาธิ นี่แหล่ะดีที่สุดเลย รองลงมาก็คือตัว อุปจาร (คำเต็ม อุปจารสมาธิ) เพราะฉะนั้นเราค่อยๆฝึกนะ ให้ใจมันตื่นขึ้นมา

วิธีง่ายที่สุดเลย ทำฌานไม่ได้ ทำยังไงใจจะตื่น ใจตื่นก็ตรงข้ามกับใจที่ไม่ตื่น ใจที่ไม่ตื่นคือใจหลับ ใจหลับได้ใจก็ฝันได้ ความฝันของใจก็คือความคิด ถ้าเมื่อไหร่รู้ว่าฝันนะเมื่อนั้นจะตื่น เวลาที่ใจไหลไปคิด ถ้าเมื่อไหร่พวกเรารู้ว่าจิตแอบไปคิดนะ เราจะตื่นขึ้นชั่วขณะนึง รู้ทันว่าจิตไหลไปคิด ขณะที่รู้นั่นน่ะตื่น ไม่เฉพาะหลงไปคิดนะ โกรธขึ้นมาขณะที่รู้ว่าโกรธ ขณะนั้นก็ตื่นเหมือนกัน แต่ตัวนี้ดูยากกว่า ใจของเราหลงคิดทั้งวัน มันดูง่ายกว่า อย่างจะดูจิตที่โกรธนะ แล้วก็ตัวรู้ว่าโกรธ วันนี้ยังไม่โกรธใครเลยเนี่ย จะภาวนายังไง แต่มีมั้ยวันใหนชั่วโมงไหนที่ไม่คิดมีมั้ย ไม่มีเลย จิตที่คิดคือจิตฟุ้งซ่าน เป็นจิตมีโมหะเค้าเรียกว่า “อุทธัจจะ” โมหะชนิด อุทธัจจะ จิตมันฟุ้งซ่าน เป็นจิตที่เกิดบ่อยที่สุดเลยจิตฟุ้งซ่านเนี่ย

เราเอาตัวที่เกิดบ่อยเนี่ยแหล่ะมาหัดทำกรรมฐาน เราจะได้ทำกรรมฐานบ่อยๆ เพราะฉะนั้นจิตไหลไปคิดแล้ว อ้อ หลงไปแล้ว มีคำว่า “แล้ว” นะ ทำไมต้องมี แล้ว ด้วย หมายถึงว่า หลงไปก่อน ไม่ได้ห้ามหลง หลงไปก่อนแล้วรู้ว่าหลง หลายคนภาวนาผิดนะ ไปจ้องรอดู ไหน เมื่อไหร่จะหลง เมื่อไหร่จะหลง จ้องใหญ่ ขณะที่รอดูนั่นหลงเรียบร้อยแล้วนะ ไม่มีวันรู้เลยว่าหลงเป็นยังไงเพราะหลงไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นให้มันหลงไปก่อนให้มันเผลอไปคิดก่อน แล้วก็ค่อยรู้ว่าเผลอไป หลงไป ให้มันโกรธไปก่อน ให้มันโลภไปก่อน แล้วก็รู้ว่ามันโกรธ​รู้ว่ามันโลภ นี่หัดรู้อย่างนี้บ่อยๆรู้ไปแล้วจะได้อะไร เห็นมั้ย คำสอนในศาสนาพุทธละเอียดนะ จะทำอะไร จะทำเพื่ออะไร จะทำอย่างไร ทำอย่างไรบอกแล้วนะ อย่างถ้าจะดูจิตดูใจเนี่ย ตามดูไป ให้สภาวะเกิดแล้วก็ตามรู้ไป หลงไปก่อนแล้วรู้ว่าหลง โกรธไปก่อนแล้วรู้ว่าโกรธ ตามดูไปเรื่อยๆ เราจะทำอะไร จะทำเพื่ออะไร จะทำอย่างไร ทำแล้วได้ผลอะไร ถ้าเราตามดูไปเรื่อย เราจะเห็นเลย เดี๋ยวจิตก็หลงเดี๋ยวจิตก็รู้  เดี๋ยวหลงเดี๋ยวรู้ นานๆจะมีอย่างอื่นแทรก เดี๋ยวโลภขึ้นมาเราก็รู้ หลงแล้วรู้ หลงแล้วรู้ อ้าว เดี๋ยวโกรธขึ้นมา อีกแล้ว นานๆจะมีโลภแทรก นานๆจะมีโกรธแทรกที แต่หลงนี่มันยืนพื้นเลย มันเป็นกิเลสยืนพื้นเลย

ดังนั้นเราคอยรู้ทันเรื่อยๆ ไม่ใช่รู้เพื่อจะไม่ให้หลง แต่รู้เพื่ออะไร รู้เพื่อจะรู้ว่าเมื่อกี้จิตเป็นอย่างหนึ่ง เดี๋ยวนี้จิตเป็นอีกอย่างหนึ่ง เมื่อกี้จิตหลงตอนนี้จิตรู้ เมื่อกี้จิตโลภตอนนี้จิตรู้ เมื่อกี้จิตหลงตอนนี้จิตรู้ ไม่ใช่ฝึกเพื่อจะไม่ให้โลภ ไม่ให้โกรธ ไม่ให้หลง จะฝึกเพื่อให้เห็นว่า เมื่อกี้เป็นอย่างนึง เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนึง นี่คือการเห็นความเป็นไตรลักษณ์ของสภาวะธรรมนั่นเอง เห็นมั้ยเมื่อกี้จิตหลง ตอนนี้จิตหลงดับไปแล้ว เกิดจิตที่รู้ขึ้นมา เห็นมั้ยเมื่อกี้เป็นจิตโกรธ ตอนนี้เกิดเป็นจิตที่รู้ จิตโกรธดับไปแล้ว จิตที่รู้อยู่ไม่นาน เกิดจิตหลงขึ้นมาแทนอีกแล้ว เดี๋ยวก็หลง เดี๋ยวก็รู้ เดี๋ยวก็โลภ เดี๋ยวก็รู้ เดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็รู้ ฝึกไปเรื่อยๆ

ไม่ใช่ฝึกเอาดี ไม่ใช่ฝึกปฏิเสธ สิ่งที่ไม่ดีแต่ฝึกจนเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาให้จิตรู้นี้ เป็นของชั่วคราวทั้งสิ้น จิตโลภก็โลภชั่วคราว จิตโกรธก็โกรธชั่วคราว จิตหลงก็หลงชั่วคราว ทำไมหลงชั่วคราวเพราะมีตัวรู้มาคั่น มีจิตรู้มาคั่น เราก็เลยเห็นว่าหลงชั่วคราว ถ้าเราไม่มีจิตรู้เลยมันก็เลยเห็นว่าหลงชั่วคราว ถ้าเราไม่มีจิตรู้เลย มันก็จะมีแต่จิตหลง หลงทั้งวัน หลงทั้งคืน เราจะรู้สึกว่าหลงแล้วเที่ยง จะไม่เห็นหรอกว่ามันเป็นไตรลักษณ์ แต่เรามีรู้ขึ้นมานะ เพื่อจะเห็นหลงมันขาดเป็นท่อนๆ หลงไปหนึ่งนาทีแล้วรู้สึกตัวแว้บ เราเห็นเลยชีวิตที่หลงนะมันจบไปแล้ว มันเกิดชีวิตใหม่ที่รู้สึกตัว เสร็จแล้วหลงไปอีกห้านาที ก็รู้สึกอีกทีนึง หลงไปอีกชั่วโมงรู้สึกอีกที ต่อไปฝึกไปเรื่อยๆนะ หลงสามวินาทีรู้สึก หลงสองวินาทีรู้สึก ยิ่งฝึกเก่งนะยิ่งหลงบ่อย หลงแว้บรู้สึก ฝึกไปเรื่อย ไม่ใช่ฝึกไม่ให้หลง ไม่ได้ฝึกห้ามหลง ไม่ได้ฝึกที่จะให้รู้ตลอดเวลา แต่ฝึกเพื่อให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาแล้วล้วนแต่ดับทั้งสิ้น

ปัญญาแก่รอบต่อไปอีก ก็จะเห็นอีกว่า จิตจะรู้หรือจิตจะหลงนะ ห้ามมันไม่ได้ บังคับมันไม่ได้ นี่คือการเห็นอนัตตา เราสั่งมันไม่ได้ มันไม่ใช่เราหรอก จิตจะหลง มันก็หลงของมันเอง จิตจะโลภ ก็โลภของมันเอง จิตจะโกรธ ก็โกรธของมันเอง จิตจะเป็นยังไงมันก็เป็นของมันอย่างนั้นแหล่ะ จิตจะรู้ขึ้นมา ก็รู้ได้เอง จงใจรู้ก็ไม่ใช่อีกแล้ว แต่เราก็ต้องฝึกจนกระทั่งมันได้รู้ขึ้นมานะ เพราะฉะนั้นเบื้องต้นนี่ฝึกให้มันมีรู้ก่อน

บางคนได้ยินหลวงพ่อพูด หลวงพ่อเล่าให้ฟังนะว่า ตอนหลวงพ่อไปหาหลวงปู่ดุลย์ครั้งสุดท้าย สามสิบหกวันก่อนท่านมรณะภาพ หลวงปู่ดุลย์สอนหลวงพ่อ พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้ ออกจากหลวงปู่ดุลย์นะ อีกวันไปหาหลวงพ่อพุธ หลวงพ่อพุธก็บอกท่านไปหาหลวงปู่ดุลย์มา หลวงปู่ดุลย์สอนอย่างเดียวกันนี้ บอก เจ้าคุณการปฏิบัติจะยากอะไร พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้ สอนอย่างนี้ พอได้ยินอย่างนี้นะเลยพยายามทำลายผู้รู้ทั้งๆที่ผู้รู้ยังไม่มีเลย มีแต่ผู้หลงแต่หาทางทำลายผู้รู้ สติแตกสิ

ตอนนี้อย่าเพิ่งทำลายผู้รู้นะ ไม่ใช่เวลาทำลายผู้รู้ เอาไว้ให้ได้พระอนาคาก่อนแล้วค่อยพูดเรื่องทำลายผู้รู้ ตอนนี้เรายังไม่ได้ เราก็ยังไม่ทำลาย เราต้องมีผู้รู้ไว้ก่อน สังเกตมั้ยเดี๋ยวจิตก็รู้ เดี๋ยวจิตก็หลง เดี๋ยวจิตก็โลภ คอยรู้สึกไปเรื่อย รู้ัมันจะมีทีละแว้บ มีรู้อย่างนี้บ่อยๆ มีรู้ขึ้นมาเพื่อตัดตอนชีวิตให้ขาดเป็นช่วงๆ ชีวิตตะกี้หลง ชีวิตตรงนี้รู้ เห็นมั้ยหลงต้องใหญ่หน่อย รู้ต้องนิดเดียว เป็นธรรมชาติอย่างนั้น ไม่ใช่ชีวิตตะกี้หลง ชีวิตเดี๋ยวนี้รู้ ปัจจุบันไม่โตขนาดนี้ คำว่าปัจจุบันน่ะเล็กนิดเดียว ชิวิตที่รู้ลงมาคือชีวิตที่อยู่กับปัจจุบันได้ ขณะแว้บเดียวต่อหน้าเท่านั้น เล็กๆ ไม่มีรู้ยาวเท่านี้ (หลวงพ่อวาดมือ) รู้เที่ยงสิรู้อย่างนี้ รู้เที่ยงก็มิจฉาทิฐิ จริงๆรู้เกิดวับก็ดับ วับก็ดับ ดังนั้นเราฝึกนะจนกระทั่งเรารู้สึกขึ้นมา

วิธีที่จะให้รู้ขึ้นมาก็คือ คอยไปหัดรู้ทันเวลาใจหลงไปคิด อันนี้เป็นการบ้านที่ง่ายๆเลย เพราะจิตที่หลงคิดคือจิตที่เกิดบ่อยที่สุด จิตโลภจิตโกรธอะไรนี่มีน้อยนะ จิตหลงเนี่ยมีทั้งวันเลย เพราะในขณะที่โลภ ในขณะที่โกรธเนี่ยต้องมีหลงประกอบอยู่ด้วย ถ้าไม่หลงจะไม่มีโลภ ถ้าไม่หลงจะไม่โกรธ เพราะฉะนั้นจิตหลงเนี่ยเป็นตัวสาหัสสากันเลย ถ้าเราเรียนเรื่องจิตหลงได้ เราจะภาวนาได้ทั้งวัน

กรรมฐานนะ เราควรจะเลือกกรรมฐานซึ่งมันเกิดบ่อยๆ เราจะได้ดูบ่อยๆ อย่างใจเราหลงเนี่ยหลงทั้งวัน แล้วก็รู้ ใจหลงไปแล้วรู้  มันจะเห็นสลับกันเร็ว เคยมีนะ ตอนอยู่เมืองกาญฯ มีหนุ่มคนนึงมาถามหลวงพ่อ ผมใช้สิ่งอื่นนอกจากในสติปัฏฐานได้มั้ย ที่จะมาเป็นอารมณ์กรรมฐาน ถามว่าจะใช้อะไร ถ้าฟ้าร้องแล้วผมจะรู้สึกตัว ปีนึงมันร้องกี่ครั้งนะ นานมาก บางวันก็ไม่ร้องตั้งหลายเดือน แสดงว่าตลอดมาเนี่ยเอ็งไม่มีสติเลยใช่มั้ย เอ็งจะมีสติตอนหน้าฝนอย่างเดียว อย่างงี้ใช้ไม่ได้

พวกเราไปดูสิอารมณ์ในสติปัฏฐานที่พระพุทธเจ้าให้ไว้นะ เป็นอารมณ์ที่เกิดตลอดเวลา หายใจออก หายใจเข้านี่ หายใจทั้งวันมั้ย ถ้าหายใจออกรู้สึกตัว หายใจเข้ารู้สึกตัว ก็รู้สึกตัวทั้งวัน ยืน เดิน นั่ง นอน มีทั้งวันใช่มั้ย ไม่ยืนก็เดิน ไม่เดินก็นั่ง ไม่นั่งก็นอน อะไรนี้ เวียนไปนี้ ถ้า ยืน เดิน นั่ง นอนรู้สึกตัว ก็รู้สึกตัวได้เกือบทั้งวันแล้ว ยกเว้นอิริยาบถประหลาดๆ เช่น กระโดดอะไรนี้นะ หรือไปว่ายน้ำ เป็นอิริยาบถ แปลกๆไป ท่านก็สอนล็อกไว้อีกอันนึงเรื่องสัมปชัญญะ เคลื่อนไหวแล้วรู้สึก ก็เคลื่อนไหวแล้วก็หยุดนิ่ง หยุดนิ่งแล้วก็เคลื่อนไหว ถ้าหยุดนิ่งก็รู้สึก เคลื่อนไหวก็รู้สึก ก็รู้สึกตัวได้ทั้งวันแล้ว อารมณ์ที่พระพุทธเจ้าให้ไว้นะเกิดทั้งวัน อารมณ์เวทนาล่ะ มีทั้งวันมั้ย สุข ทุกข์ เฉยๆก็หมุนอยู่อย่างนี้ทั้งวันใช่มั้ย ถ้าสุขก็รู้ตัว ทุกข์ก็รู้ตัว เฉยๆก็รู้ตัว ก็คือรู้ตัวได้ทั้งวัน ดูจิตดูใจล่ะ จิตหลงไปแล้วรู้ เกิดได้ทั้งวัน หลงทั้งวัน ยกเว้นบางคนนั้นขี้โลภ เจออะไรมันก็อยากตลอดเวลาเลย ความอยากเกิดถี่ยิบเลยทั้งวัน พวกนี้ก็เอาความอยากเป็นวิหารธรรม เป็นเครื่องอยู่เดี๋ยวมันอยากแว้บอยากดู รู้ทัน อยากฟังรู้ทัน อยากคิดรู้ทัน พวกโลภมากนะ ดูอยากเป็นวิหารธรรม มีจิตที่อยากกับจิตที่ไม่อยาก คู่เดียวก็พอแล้ว เกิดทั้งวันแล้ว คนไหนขี้โมโหนะ อะไรนิดนึงก็โมโห อะไรนิดนึงก็ขัดใจ ก็เอาจิตที่มีโมโหนี่แหล่ะมาเป็นวิหารธรรม จิตโกรธขึ้นมาก็รู้ ขณะที่รู้ว่าโกรธนั้นคือจิตที่รู้ จิตนั้นมันโกรธ เดี๋ยวก็โกรธอีก เดี๋ยวก็รู้ เดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็รู้ เห็นมั้ยมันจะเกิดทั้งวัน

เพราะฉะนั้นอารมณ์กรรมฐานที่เราใช้นั้นต้องเป็นอารมณ์ที่เกิดทั้งวัน เราจะได้มีสติได้ทั้งวัน หายใจออกรู้สึกตัว หายใจเข้ารู้สึกตัว เผลอไปรู้สึกตัว รู้ รู้ทันว่าเผลอ ก็รู้สึกตัว ก็เป็นจิตที่รู้ขึ้นมา ก็รู้ว่ามีจิตที่รู้อยู่ ทุกอย่างเกิดดับ หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงตลอด เวลา เราทำไปเพื่อให้เห็นว่าทุกอย่างเกิดแล้วดับ ไม่ใช่ภาวนาเอาดีเอาสุขเอาสงบเช่น เราเห็นว่าร่างกายที่หายใจออก เกิดขึ้นมาแล้วดับไป กลายเป็นร่างกายที่หายใจเข้า ร่างกายที่หายใจเข้าเกิดแล้วก็ดับ กลายเป็นร่างกายที่หายใจออก ร่างกายที่ยืน ที่เดิน ที่นั่ง ที่นอนนี่ ก็คือร่างกายที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ หรือความสุข ความทุกข์ ความเฉยๆนะ ก็แสดงความหมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ความหลงไปกับความรู้สึก หลงแล้วรู้ หลงแล้วรู้ ก็แสดงความเกิดดับ หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ ภาวนาเพื่อให้เห็นสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้ภาวนาเอาดีเอาสุขเอาสงบอะไรหรอกนั่นตื้นไป แต่ภาวนาเพื่อให้เห็นไตรลักษณ์ มันมีแต่ความไม่เที่ยง ในกายในใจนี้ มีแต่ความทนอยู่ไม่ได้ในสภาวะ อันใดอันหนึ่ง อยู่ไม่ได้ตลอดหรอก ไม่นานก็ต้องเสื่อมไป

มีแต่เรื่องบังคับไม่ได้นะ สั่งไม่ได้ ร่างกายก็ไม่ใช่เรานะ เป็นแค่วัตถุอันนึง จิตใจก็เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง สั่งมันไม่ได้ นี่ภาวนาอย่างนี้ สุดท้ายจะได้อะไรขึ้นมา จะเห็นเลยว่า ทั้งกาย ทั้งใจ ทั้งขันธ์ห้านี้เป็นทุกข์เป็นโทษทั้งหมดเลยนะ ไม่ใช่ของดีของวิเศษหรอก อย่างร่างกายนะ ประคบประหงมมันอย่างดีเลย ให้มันมีความสุข ไม่นานเลยมันก็ทุกข์อีกแล้ว นี่อย่างนี้ดูไปเรื่อย มันเอื่อมระอา มันไม่ยึดกายแล้ว จิตใจก็เหมือนกันนะ อุตสาห์ทำความสงบเข้ามา ไม่นานก็ฟุ้งอีกแล้ว ทำดียังไงเดี๋ยวก็แย่ขึ้นมาอีกแล้ว มีแต่ของไม่เที่ยงนะ เห็นแล้วอิดหนาระอาใจ ในที่สุดไม่ยึดจิตใจด้วย

สุดท้ายไม่ยึดทั้งกายไม่ยึดทั้งใจ ก็ไม่ยึดสิ่งใดในโลกนะ จิตก็หลุดพ้นจากความยึดถือ เรียกว่าวิมุตตินะ จิตหลุดพ้น หลุดแล้วจะได้อะไร ได้เห็นนิพพาน แต่ไม่เป็นเจ้าของนิพพานนะ นิพพานไม่เป็นของใคร นิพพานเป็นธรรมดาของโลกอยู่อย่างนั้น เป็นธรรมะประจำโลกอยู่อย่างนั้น แต่ว่าผู้ใดไปเห็นนิพพานผู้นั้นมีความสุขนะ จิตที่ไปรู้นิพพานนั้นมีบรมสุขที่สุดเลย มันพ้นความดิ้นรน พ้นความปรุงแต่ง พ้นความหิวโหย พวกเราค่อยๆฝึกนะ

วันนี้เทศน์มาตั้งแต่เช้าเนี่ยเรื่องอะไรบ้าง หวังว่าการปฏิบัติต้องรู้นะว่าเราจะทำอะไร ก็มีสมถะกับวิปัสสนา ทำเพื่ออะไร ทำสมถะนะก็เพื่อให้มีกำลังไปทำวิปัสสนา หรือว่าบางครั้งก็ใช้พักผ่อนนิดๆหน่อยๆ พอมีเรี่ยวมีแรงสดชื่นแล้วก็ไปทำวิปัสสนา ทำอย่างไรนะ สมถะ เนี่ย ให้จิตไปอยู่ในอารมณ์ที่สบายแล้วจิตจะสงบ วิปัสสนานะให้ตามรู้ความเปลี่ยนแปลงของกายของใจไป ใจเป็นแค่คนรู้คนดูไปเรื่อย โลภขึ้นมาแล้วรู้ โกรธขึ้นมาแล้วรู้ ดูไปเรื่อย รู้แล้วได้อะไร ทำแล้วได้อะไร ถ้าทำสมถะก็ได้ตัวรู้ขึ้นมา ทำวิปัสสนาก็ได้ปัญญาเห็นความจริงของกายของใจ ได้เห็นความจริงแล้วก็หมดความยึดถือ ปล่อยวาง เข้าถึงบรมสุขที่แท้จริง


สวนสันติธรรม
CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๑
Track: ๑๓
File: 520809A.mp3
ระหว่างนาทีที่ ๕ วินาทีที่ ๔ ถึง นาทีที่ ๓๒ วินาทีที่ ๘

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

จิตที่มีโมหะ

mp3 (for download) : 460331A_moha

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

จิตที่มีโมหะ

จิตที่มีโมหะ

หลวงพ่อปราโมทย์ : โลภะโทสะนี่เห็นง่าย มันหยาบ อย่างโมหะนี่ ใจมันซึมลงไปหน่อยๆ ใจไม่กระปรี้กระเปร่าหรือใจฟุ้งไปนะ อยากปฏิบัติ กำหนดนู่น กำหนดนี่ ทำอย่างนั้นอย่างนี้ เราไม่รู้ว่านั่นน่ะฟุ้งซ่าน เพราะว่าการปฏิบัติจริงๆ เราทำแค่ว่าเราระลึกรู้ทุกอย่างที่ปรากฎตามที่มันเป็น พอเราระลึกรู้ทุกอย่างที่ปรากฎตามที่มันเป็นจริงๆแล้ว มันจะเห็นว่าไม่มีตัวตน เห็นไตรลักษณ์เพราะไม่มีตัวตน

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อวันจันทร์ ที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๔๖ ก่อนฉันเช้า


CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๒
File: 460331A
ระหว่างนาทีที่ ๔ วินาทีที่ ๑๐ถึง นาทีที่ ๔ วินาทีที่  ๕๕

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นธรรม

mp3 (for download): หากยังไม่เห็นขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ ก็ยังไม่เห็นธรรม

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นธรรม

ไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นธรรม

หลวงพ่อปราโมทย์ : กิเลสอย่างหยาบ คือ ราคะ โทสะ โมหะ สู้ด้วยศีล กิเลสอย่างกลาง คือ ความฟุ้งซ่านนานาชนิดของจิต สู้ด้วยสมาธิ ศีลทำให้กายวาจาเรียบร้อย สมาธิทำให้ใจสงบเรียบร้อย

แค่นี้ไม่พอ กิเลสยังไม่ได้หมดแค่นี้ ลำพังนั่งสมาธิยังไม่เห็นนิพพานหรอก เพราะยังเหลือกิเลสอีกชนิดหนึ่ง กิเลสชั้นละเอียด กิเลสชั้นละเอียดคืออะไร ความโง่ ความไม่รู้ ตัวโมหะ ตัวอวิชา ความไม่รู้แจ้ง ไม่รู้จริง ไม่รู้อะไร ไม่รู้ว่าตัวเราไม่มี ไม่รู้ว่าขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา ไม่รู้ว่าไม่มีเราในขันธ์ ๕ คิดว่ามีเรา ไม่รู้ว่าขันธ์ ๕ เป็นตัวทุกข์ พอไม่รู้ว่าขันธ์ ๕ เป็นตัวทุกข์ จิตก็เข้าไปยึดถือขันธ์ ๕ ไปหยิบฉวยขันธ์ ๕ ขึ้นมาครอบครอง

ถ้าเมื่อไรมีปัญญาแจ่มแจ้ง รู้ว่าขันธ์ ๕ เป็นทุกข์นะ จิตจะวางขันธ์ ๕ วางเอง ไม่ต้องเจตนาวาง ไม่มีใครบังคับจิตให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้ จิตบรรลุมรรคผลนิพพานเองเมื่อจิตมีปัญญาแจ่มแจ้งว่าขันธ์เป็นตัวทุกข์ (ไมได้หมายความว่า การบรรลุมรรคผลนิพพานไม่มีเหตุให้เกิด เป็นความบังเอิญ แต่หมายถึง ไม่มีใครไปสั่งหรือบังคับให้จิตบรรลุมรรคผลนิพพานได้ หากแต่เมื่อใดที่จิตสะสมปัญญาได้มากพอแล้ว ปัญญาที่เกิดจากการเห็นไตรลักษณ์ตามความเป็นจริงที่มากพอนั้นแหละ จะเป็นเหตุให้จิตบรรลุมรรคผลนิพพาน หาใช่การบังคับ การประคองจิต จะเป็นตัวเหตุให้จิตบรรลุมรรคผลนิพพาน – ผู้ถอด)

เห็นทุกข์นั้นแหละ ถึงจะเห็นธรรม เคยได้ยินครูบาอาจารย์พูดมั้ย เห็นทุกข์คือเห็นธรรม ถ้าไม่เห็นทุกข์ เราไม่เห็นทุกข์ของอะไร ทุกข์อยู่ที่ไหน ทุกข์อยู่ที่ขันธ์ ๕ ตราบใดที่ไม่เห็นทุกข์ของขันธ์ ๕ ไม่เห็นว่าขันธ์ ๕ เป็นตัวทุกข์นะ เรานั่นแหละจะไปยึดฉวยเอาขันธ์ ๕ ขึ้นมา จิตนี้จะไปหยิบฉวยเอาขันธ์ ๕ เหมือนที่ว่าไปหยิบแก้วน้ำ เอามาถืออยู่อย่างนี้ทั้งวันทั้งคืนนะ เป็นภาระมากเลย

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่บริษัท ดอกบัวคู่
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๔

CD: แสดงธรรมนอกสถานที่ บริษัท ดอกบัวคู่
File: 540409A
ระหว่างนาทีที่  ๒๑ วินาทีที่ ๐๐ ถึง นาทีที่ ๒๒ วินาทีที่ ๓๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

วิธีรับมือกับกิเลสอย่างหยาบ

mp3 (for download): วิธีรับมือกับกิเลสอย่างหยาบ

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

วิธีรับมือกับกิเลสอย่างหยาบ

วิธีรับมือกับกิเลสอย่างหยาบ

หลวงพ่อปราโมทย์ : พระพุทธเจ้าสอนธรรมะที่แสนอัศจรรย์ อัศจรรย์มากเลย สามารถถอดถอนกิเลสได้ กิเลสนั้นมีตั้งแต่หยาบๆ กิเลสอย่างหยาบๆเรียกว่า ราคะ โทสะ โมหะ ใครรู้จักมั้ย

ราคะเป็นกิเลสตระกูลไหน ตระกูลที่ดึงเข้าตัว ยกตัวอย่างเรารักผู้หญิงคนหนึ่ง เราอยากให้เขามาอยู่กับเรา

โทสะเป็นกิเลสชนิดที่ผลักออกจากตัว ไม่ชอบหน้าคนนี้อยากผลักให้กระเด็นให้หายไป

โมหะ
เป็นกิเลสที่ฟุ้งซ่าน ที่ลังเล สงสัย หมุนไปหมุนมา หมุนซ้ายหมุนขวา ตัดสินใจไม่ได้ เป็นประเภทรักพี่เสียดายน้อง พวกโมหะนะ ไม่รู้จะเอาอะไรดี จับอะไรไม่ถูก งงไปหมดแล้ว นี่พวกตระกูลโมหะ

กิเลสนะมันมี อย่างหยาบๆเนี่ย มีราคะ โทสะ โมหะ กิเลสอย่างหยาบๆเนี่ย ถ้าเกิดขึ้นในใจเราแล้ว ครอบงำจิตใจได้ เราจะทำผิดศีล คนทำผิดศีลได้ เมื่อตะกี้นี้ขอศีล ขอด้วยปาก ขอตามประเพณี แต่จะรักษาศีลได้หรือเปล่าเนี่ย ยากมากที่เราจะรักษาศีลได้ เราจะรักษาศีลไม่ได้เพราะอะไร เพราะกิเลสมันมาครอบงำจิต คนไหนที่กิเลสครอบงำจิตก็ผิดศีลง่าย ถ้ากิเลสไม่ครอบงำก็ไม่ผิดศีลหรอก

ยกตัวอย่าง คนเราจะฆ่าเขาจะตีเขา หรือจะด่าเขา ใจมันต้องมีโทสะ เห็นมั้ย ใจมีโทสะ ถ้าจิตมีโทสะเกิดขึ้นมา เรามีสติรู้ทันนะ โทสะครอบงำจิตไม่ได้ ไม่ฆ่าใคร ไม่ตีใคร ไม่ด่าใคร ศีลอัตโนมัติมันจะเกิดขึ้น

เพราะฉะนั้นการรักษาศีลนะ จะรักษาได้ดี ถ้าเรารักษาที่ใจนะ ไม่ใช่รักษาด้วยปากนะ ไม่ใช่รักษาที่กาย ที่วาจา ร่างกายไม่ทำผิดศีล วาจาไม่ทำผิดศีล แต่ใจยังทำผิดศีลอยู่ กิเลสครอบงำใจอยู่เรื่อยๆ แป๊บเดียวก็เผลอไปทำผิดศีลทางกายทางวาจาได้

ยกตัวอย่างราคะเกิดขึ้นที่ใจ เราไม่มีสติรู้เท่าทันมัน ราคะมันครอบงำจิตได้ เดี๋ยวเราก็อาจไปเป็นลักขโมยเขา มันโลภขึ้นมาแล้วมันลักขโมยเขาก็ได้ ไปผิดศีลเป็นชู้กับเขาก็ได้ มีก๊งมีกิ๊กอะไรขึ้นมาก็ได้ เพราะราคะครอบงำใจ

ถ้าเรามีสติรู้ทันนะ มีสติรู้ทัน ราคะเกิดขึ้นที่จิต ราคะไม่ได้เกิดที่อื่น ราคะไม่ได้เกิดที่มือที่เท้าที่ปาก มัวแต่ระวังที่มือที่เท้า ไม่ระวังที่ใจ สู้กิเลสไม่ไหว เพราะฉะนั้นถ้าอยากสู้กิเลสได้นะ มีศีลจริงๆนะ รักษาจิตไว้ ไม่ใช่รักษาแค่กายวาจา

แต่เมื่อเรารักษาจิตได้ กิเลสครอบงำจิตไม่ได้ กายวาจาเราจะเรียบร้อย เรียกว่ามีศีล เพราะฉะนั้นเราต้องรักษาจิตนะ คนทำผิดศีลเพราะว่ากิเลสมันครอบงำจิตได้ ก็ค่อยๆสังเกตเอา เพราะฉะนั้นวิธีรักษาศีลได้ดีที่สุดก็คือ รักษาจิตของตนเอง คอยรู้ทัน กิเลสอะไรเกิดคอยรู้ทัน กิเลสเกิดคอยรู้ทัน

มันมีความจริงอยู่ข้อหนึ่ง ความจริงอันนี้ เป็นกฎของธรรมะ เรียกธรรมนิยาม กฎของธรรมะก็คือ กุศลกับอกุศลจะเกิดพร้อมกันไม่ได้ ถ้าเมื่อไหร่จิตเรามีสติ เมื่อนั้นจิตจะไม่มีอกุศลแน่นอน ราคะโทสะ โมหะ เกิดขึ้นไม่ได้ในขณะที่เรามีสติอยู่

แต่เราขาดสติบ่อย นึกออกมั้ย วันๆหนึ่งเรามีสตินิดเดียว แต่ขาดสติมาก เพราะฉะนั้นโอกาสที่กิเลสจะเกิดเนี่ย เกิดได้ทั้งวันเลย เราต้องมาต่อสู้นะ อย่ายอมแพ้มัน ต้องตั้งใจรักษาศีล ไม่ใช่อาราธนาแต่ปาก ต้องมีสติรู้ทันใจของเราเองไป กิเลสอะไรเกิด รู้ทัน กิเลสอะไรเกิด รู้ทัน

ไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะรู้ทันกิเลส ความโลภ ใครไม่รู้จักว่าความโลภเป็นอย่างไร มีมั้ย ใครไม่เคยโลภมีมั้ย ใครไม่เคยโกรธมีมั้ย ใครไม่เคยฟุ้งซ่าน ใครไม่เคยหดหู่ ใครไม่เคยลังเลสงสัยมีมั้ย ไม่มีหรอก ทุกคนเคยเจอมาแล้วทั้งนั้น นี่กิเลสนานาชนิดเรารู้จักอยู่แล้วทั้งนั้น เพียงแต่เราละเลยที่จะรู้มัน

เราปล่อยให้มันเกิดแล้วมันครอบงำจิตใจของเราได้ มันก็มาครอบงำพฤติกรรมทางกายทางวาจา ทำผิดศีลขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นเราอาศัยสตินี่ล่ะ คอยรู้ทันใจของตัวเองบ่อยๆนะ ศีลอัตโนมัติจะเกิดขึ้น ศีลจะเกิดขึ้นเอง ถ้าศีลเกิดขึ้น กิเลสชั่วหยาบ คือ ราคะ โทสะ โมหะ เนี่ย ครอบงำใจไม่ได้ นี่เราสู้ไปได้ยกหนึ่งแล้วนะ

กิเลสหยาบๆสู้ด้วยศีล จะมีศีลได้ดีต้องมีสติรักษาจิต

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่บริษัท ดอกบัวคู่
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๔

CD: แสดงธรรมนอกสถานที่ บริษัท ดอกบัวคู่
File: 540409A
ระหว่างนาทีที่  ๙ วินาทีที่ ๕๔ ถึง นาทีที่ ๑๔ วินาทีที่ ๒๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

มีปัญญารู้ทุกข์แจ่มแจ้งนั้นแหละอริยมรรค

mp3 (for download): มีปัญญารู้ทุกข์แจ่มแจ้งนั้นแหละอริยมรรค

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

มีปัญญารู้ทุกข์แจ่มแจ้งนั้นแหละอริยมรรค

มีปัญญารู้ทุกข์แจ่มแจ้งนั้นแหละอริยมรรค

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าเรามีปัญญาเกิดขึ้นอย่างแท้จริงจะทำลายตัณหาไป ตัณหามันเกิดจากโง่ ตัณหามาไหน มาจากโง่ มาจากอวิชชานั่นเอง ตราบใดที่ยังมีอวิชชา มีความไม่รู้แจ้ง ไม่รู้แจ้งในอะไร อวิชชาไม่ใช่ไม่รู้แจ้ง ว่า กฟผ. อยู่ตรงไหน จะเลี้ยวรถยังไง นั่นไม่ใช่อวิชชา เป็นความไม่รู้ธรรมดา อวิชชาคือความไม่รู้อริยสัจ ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้สมุทัย ไม่รู้นิโรธ ไม่รู้มรรค ไม่รู้ว่าขันธ์ ๕ เป็นตัวทุกข์ เราเห็นว่าขันธ์ ๕ เป็นตัวเรา เป็นของดีของวิเศษ เราไม่เคยเห็นขันธ์ 5 เป็นตัวทุกข์ ไม่รู้สมุทัย

ตัณหาเกิดขึ้นในใจ ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น ใจเกิดความยากตลอดเวลาไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็น อย่างเดี๋ยวก็อยากดู เดี๋ยวก็อยากฟัง อยากได้กลิ่น อยากลิ้มรส อยากกระทบสัมผัสทางกาย อยากคิด อยากนึก อยากปรุง อยากแต่งทางใจ ตัณหามี ๖ ช่องนะ ๖ ช่องทาง ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าเรามันเกิดขึ้นมาเราก็ไม่รู้ไม่เห็น มันครอบงำใจของเรา ใจก็จะดิ้นรน ปรุงแต่ง ใจก็จะทุกข์ขึ้นมา นี่มีตัณหาก็มีทุกข์ขึ้นมา

จะล้างตัณหาได้ต้องให้เห็นความจริง รู้ทุกข์ให้แจ่มแจ้ง รู้ขันธ์ให้แจ่มแจ้ง คือมีปัญญานั่นเอง ถ้ามีปัญญารู้ทุกข์แจ่มแจ้งแล้ว ก็จะละสมุทัยอัตโนมัติ ถ้าละสมุทัยได้เมือไหร่ก็แจ้งนิโรธ คือแจ้งพระนิพพานเมื่อนั้นอัตโนมัติ เกิดขึ้นในขณะเดียวกัน ในขณะจิตที่รู้ทุกข์แจ่มแจ้ง ขณะนั้นแหละคือขณะแห่งอริยมรรค ตอนที่รู้ทุกข์นั่นแหละเกิดอริยมรรค ตอนที่รู้ทุกข์นั่นแหละละสมุทัย ละความอยากเด็ดขาด ตอนที่ละสมุทัย ตอนที่รู้ทุกข์ละสมุทัยเกิดอริยมรรค ขณะนั้นแหละแจ้งนิโรธ คือ แจ้งพระนิพพาน นั่นทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เวลาแจ้ง แจ้งในขณะจิตเดียว ไม่ใช่ว่าวันนี้รู้ทุกข์ พรุ่งนี้ไปละสมุทัย มะรืนไปแจ้งนิโรธ มะเรื่องไปเจริญมรรคนะ ไม่ใช่เวลาเกิดเกิดในขณะจิตเดียว เรียกว่า “มรรคสมังคี” รวมพลังลงมาในจุดเดียวกัน รวมลงที่จิตจุดเดียว ไม่ไปอยู่ที่อื่นหรอก

นี่เราต้องเจริญปัญญาให้มาก การที่เรามีสติ คอยระลึกรู้ความจริงของกายของใจเรื่อยไป ของรูปนามนั่นเอง มันจะทำลายความเห็นผิดเป็นลำดับ ลำดับไป ทำลายความโง่นั่นเอง หายโง่เมื่อไหร่ ตัณหาจะไม่เกิด

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
ตำบลบางกรวย อำเภอบางกรวย นนทบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันจันทร์ที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๔

CD: แสดงธรรมนอกสถานที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
File: 540530
ระหว่างนาทีที่  ๙ วินาทีที่ ๒๒ ถึง นาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๕๔

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ไม่มีอะไรเป็นศัตรูของเราเท่ากับกิเลสในใจเราเอง

mp3 (for download): ไม่มีอะไรเป็นศัตรูของเราเท่ากับกิเลสในใจของเราเอง

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ไม่มีอะไรเป็นศัตรูของเราเท่ากับกิเลส

ไม่มีอะไรเป็นศัตรูของเราเท่ากับกิเลส

หลวงพ่อปราโมทย์: เราคอยมารู้กายรู้ใจนะ รู้เข้ามาให้ถึงใจจริงๆ กิเลสจะเคลือบแฝงเข้ามาในใจเราไม่ได้ ถ้ารู้ไม่ทันนะ กิเลสจะแฝงเข้ามาในใจนะ ใจก็ตกเป็นทาสของกิเลส หาความสุขไม่ได้ ไม่มีอะไรเป็นศัตรูของเราเท่ากับกิเลสเลย มันทำใจเราให้เร่าร้อนขึ้นมา แผดเผานะ พระพุทธเจ้าบอกว่ามันเป็นไฟ ไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะ โลภขึ้นมา รักขึ้นมา ก็ทุกข์นะ ทุกข์เพราะความรัก โกรธขึ้นมาก็ทุกข์เพราะความโกรธ หลงไปนั้นไม่ค่อยจะรู้ทุกข์หรอก หลง.. หลงเผลอๆเพลินๆ อันนี้ดูยาก

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันพุธที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๙

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๑๗
ลำดับที่  ๑
File: 491129
ระหว่างนาทีที่ ๑๑ วินาทีที่ ๓๔ ถึง นาทีที่ ๑๒ วินาทีที่ ๑๒

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

ความเป็นตัวเราเป็นแค่ภาพลวงตา ไม่มีจริงหรอก

mp3 for download : ความเป็นตัวเราเป็นแค่ภาพลวงตา ไม่มีจริงหรอก

Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.

ความเป็นตัวเราเป็นแค่ภาพลวงตา ไม่มีจริงหรอก

ความเป็นตัวเราเป็นแค่ภาพลวงตา ไม่มีจริงหรอก

หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าเราเห็นสภาวะ กระจายสิ่งที่เรียกว่าตัวเราออกมา มันจะเป็นตัวสภาวะ

ทุกวันนี้เราคิดว่า “ตัวเรา” มีอยู่จริงๆ นี่ อันนี้คือตัวเรา นี่ความรู้สึกของเรา นั่นอะไรต่ออะไรของเรา พอมีตัวเรา มันมีตัวเขา มีของๆเราขึ้นมาด้วย มีของๆเขาขึ้นมาด้วย มันมีตัวเราจริงๆ พอตัวเรานี้แปรปรวนไป ไม่ได้อย่างใจ ก็มีความทุกข์ขึ้นมา

แต่ถ้าแยกออกไป สิ่งที่เรียกว่าตัวเรา ก็คือสภาวะนั่นเอง สภาวะที่เป็นรูปธรรม ที่เป็นนามธรรม เราจะเห็นเลยว่ารูปธรรมก็ไม่ใช่ตัวเรา นามธรรมก็ไม่ใช่ตัวเรา มันจะแยกออกไป มันจะเห็นว่าไม่มีตัวเรา

คล้ายๆรถยนต์ มีรถยนต์อยู่คันหนึ่ง เราคิดว่ามีรถยนต์จริงๆ เรามาถอดออกเป็นชิ้นๆ อันนี้ลูกล้อ ลูกล้อก็ไม่ใช่รถยนต์ ใช่ไหม พวงมาลัยก็ไม่ใช่รถยนต์ ตัวถังก็ไม่ใช่รถยนต์นะ เบาะก็ไม่ใช่รถยนต์ เบรคก็ไม่ใช่รถยนต์ กันชนก็ไม่ใช่รถยนต์ หลอดไฟสายไฟ ไม่ใช่รถยนต์สักอันเดียว เห็นไหม ถังน้ำมันก็ไม่ใช่รถยนต์ ดูไปๆเราก็รู้ อ๋อ..รถยนต์เป็นแค่ภาพลวงตา

นี่ถ้าเราสามารถแยกกายแยกใจออกไป เราก็จะเห็น ความเป็นตัวเราเป็นแค่ภาพลวงตา ไม่มีจริงหรอก ทุกวันนี้เราสำคัญมั่นหมายว่ามันมีตัวเราจริงๆ พอตัวนี้มันแก่ ร่างกายมันแก่ เราก็ว่าเราแก่ ร่างกายมันเจ็บ เราก็ว่าเราเจ็บ ร่างกายมันตาย เราก็ว่าเราตาย มันมีเราขึ้นมา

พอมีเรา เรารักมัน หวงแหนมัน อยากให้มันดีตลอด อยากให้มันสุขตลอด มันอยู่ไม่ได้เราก็กลุ้มใจ ใจก็มีความทุกข์ขึ้นมา เนี่ย เพราะไม่เห็นความจริงว่ามันไม่ใช่เรา ไปคิดว่ามันเป็นเราขึ้นมา ก็มีความทุกข์

จิตใจก็เหมือนกันนะ เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย เราก็สำคัญผิด ยกตัวอย่างจิตมันโกรธ เราก็สำคัญผิดว่าเราโกรธ จิตมันโลภเราก็สำคัญผิดว่าเราโลภ จิตมันหลงนะ จิตมันไปคิด เราก็สำคัญผิดว่าเราคิด นี่สำคัญผิด

พอมันเป็นเราขึ้นมา เราก็อยากให้จิตนี้มันเป็นเราขึ้นมา เราก็อยากให้จิตมีแต่ความสุขความสบาย มีแต่กุศลอะไรอย่างนี้ คนดีก็อยากให้เป็นกุศลทั้งวัน พอมันไม่เป็นอย่างที่ต้องการนะ มันก็ทุกข์แล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่มันจะดีตลอด เป็นไปไม่ได้ที่จะสุขตลอด เป็นไปไม่ได้ที่จะสงบตลอด พอมันแปรปรวนขึ้นมา เราก็ทุกข์

แต่ถ้าเราเห็นความจริง จิตก็เป็นแค่สภาวะอันหนึ่ง ไม่ใช่เราหรอก จิตมันโลภไม่ใช่เราโลภ จิตมันโกรธไม่ใช่เราโกรธ จิตมันหลงไม่ใช่เราหลง เห็นอย่างนี้เรื่อยๆ ต่อไปมันโกรธขึ้นมาก็ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับเรา จิตมันโกรธต่างหาก ไปยุ่งอะไรกับมัน จิตมันโลภไปยุ่งอะไรกับมัน จิตมันสุขไปยุ่งอะไรกับมัน จิตมันทุกข์ไปยุ่งอะไรกับมัน จะเห็นว่ามันไม่ใช่เรา เห็นขันธ์มันไม่ใช่เรา

ฝึกมากเข้าๆ เห็นขันธ์มันทำงานของมันเอง ไม่ใช่เราเลย เพราะฉะนั้นเมื่อมันไม่ใช่เรานะ ขันธ์มันจะแก่ ขันธ์มันจะเจ็บ ขันธ์มันจะตาย ขันธ์มันจะพลัดพรากจากสิ่งที่มันรัก ขันธ์มันจะเจอสิ่งที่มันไม่รัก ขันธ์มันจะอยากแล้วมันไม่สมอยาก ขันธ์มันจะเหี่ยวแห้งใจ เศร้าโศกเสียใจ เป็นเรื่องของขันธ์ทั้งหมดเลยนะ เราไม่เกี่ยว เราค่อยๆฝึกไปนะจนกระทั่งเราสามารถไม่เกี่ยวกับมันได้

เบื้องต้นจะไม่เกี่ยวกับกายก่อน พวกเราที่ฝึกกับหลวงพ่อสักช่วงหนึ่ง สักเดือนหนึ่ง บางคนเริ่มเห็นแล้ว ร่างกายมันแยกออกไปต่างหาก ร่างกายเป็นสิ่งที่ใจไปรู้เข้า ร่างกายเป็นสภาวะอันหนึ่ง ร่างกายไม่ใช่ตัวเราหรอก ต่อไปเวลาจะเจ็บจะแก่จะตายอะไรขึ้นมา จะเห็นร่างกายมันแก่มันเจ็บมันตาย ไม่ใช่เราแล้ว หัดดูอย่างนี้เรื่อยๆ มีสติ รู้สึกตัว เห็นสภาวะมันทำงาน


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๒

CD: สวนสันติธรรม แผ่นที่ ๓๐
File: 520418.mp3
ลำดับที่ ๑
ระหว่างนาทีที่ ๒ วินาทีที่ ๔๕ ถึง นาทีที่ ๖ วินาทีที่ ๔๙

เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓

ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่

สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่

ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่

คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่

Page 1 of 212